JJNY : ศาลปค.สั่งปรับป.ป.ช.│ทัวร์กลับลำลง ‘เรวัช’ แรงมาก! หลังคลิปหลุด│ชี้ปมฟ้อง"โน้ต อุดม"│เมียนมาตีชิ่ง ‘ทักษิณ’ ดอดถก

ศาลปค. สั่งปรับป.ป.ช. ไม่ยอมเปิดสำนวนสอบคดีนาฬิกา‘บิ๊กป้อม’ วีระ ลุยฟ้องทุจริต
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8223238
 
ศาลปกครอง สั่งปรับ ป.ป.ช. ปมไม่ยอมเปิดสำนวนสอบคดีนาฬิกา ‘บิ๊กป้อม’ ให้ครบถ้วน ระบุหากยื้อ มีสิทธิ์เจอยึดทรัพย์สิน ด้านวีระ จ่อฟ้องศาลทุจริตเอาป.ป.ช.เข้าคุก
 
เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) โพสต์ข้อความพร้อม คำสั่งศาลปกครองกลาง ฉบับลงวันที่ 2 พ.ค.2567 ที่มีคำสั่งปรับเงิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ถูกฟ้องที่ 1 และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องที่ 2 รายละ 5,000 บาท โดยให้ชำระค่าปรับต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งศาล

โดยระบุด้วยว่า หากไม่ชำระค่าภายในกำหนด ศาลอาจมีคำสั่งให้มีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าของรัฐต่อไป และให้ทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. 224/2566 ที่ให้เปิดเผย
 
รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลัก ฐานเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  และ รมว.กลาโหมขณะนั้น จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรทราบจากการไม่แสดง ว่ามีนาฬิกาข้อมือและแหวนประดับหลายรายการ ต่อ ป.ป.ช.
 
รวมถึงเปิดเผยความคิดเห็นของพนักงาน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทุกคนที่รับผิดชอบในการ ไต่สวนดังกล่าว และรายงานการประชุมคณะ กรรมการ ป.ป.ช.ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิด เผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ให้ถูกต้องครบถ้วนแก่นายวีระ สมความคิด ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งนี้

โดยศาลระบุ เหตุผลถึงการมีคำสั่งดังกล่าวว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองให้ถูกต้องครบถ้วนและล่าช้าเกินสมควร โดยไม่มีเหตุอันสมควร
 
ศาลปกครองจึงมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ชำระค่าปรับต่อศาล ตามมาตรา 75/4 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ประกอบข้อ 4 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปรับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองให้ถูกต้องครบถ้วนหรือปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร 2560
 
นายวีระ ระบุข้อความว่า คำสั่งดังกล่าวส่งมาถึงในช่วงเย็นวันที่ 8 พ.ค.67 วันที่รอคอยมาถึงแล้ว และหลังจากนี้ จะทำการยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริต เพื่อนำผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไปรับโทษในคุก เพราะคำสั่งศาลปกครองกลางดังกล่าว คือหลักฐานที่ยืนยันว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ได้กระทำความผิดจริง ตามที่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองรีบบังคับคดีกับผู้ถูกฟ้องทั้งสอง
 
กรณีผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีเจตนาท้าทายอำนาจศาลปกครอง ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ทั้งๆที่คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่ยอมให้เอกสารที่เกี่ยวกับการตรวจสอบกรณีนาฬิกา 22 เรือนของพล.อ.ประวิตร ทั้ง 3 รายการแก่ตน
 
ต่อมาศาลปกครองกลาง ต้องเรียกคู่ความทั้งสอง มาไต่สวนอีกครั้งในวันที่ 16 ก.พ.67 ในที่สุดศาลปกครองกลางก็มีคำสั่งลงวันที่ 2 พ.ค.67 โดยสรุปว่า ที่ผ่านมาผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองให้ถูกต้องครบถ้วน และล่าช้าเกินสมควร โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งลงโทษให้ปรับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง และบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา ภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับทราบคำสั่งนี้ ใกล้คุกเข้าไปทุกทีแล้ว

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02M9TtqPyeBiURVHpH1KjimSpU21HTLbcKQoB7BsAyKwfrVfjUVz5V5r8313hrPkVql&id=100003292227570
 

 
ทัวร์กลับลำลง ‘เรวัช’ แรงมาก! หลังคลิปหลุดแนะคนดังทำกับ ‘โน้ส’ ไม่ให้มีหลักฐาน?
https://www.dailynews.co.th/news/3415186/

ชาวเน็ตนั่งรถทัวร์กลับลำลง "พล.ต.ท.เรวัช" หลังแนะอาจารย์คนดัง ให้สั่งเด็กมากระทำกับ "โน้ส อุดม" ยังไงไม่ให้มีพยานหลักฐาน?

จากกรณีดราม่า “โน้ส อุดม” ที่จัดโชว์ ทอล์กโชว์ เดี่ยว สเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรอบนี้นำเสนอผ่านแพลตฟอร์ม Netflix ปรากฏว่าขึ้นฉายเพียงไม่กี่วันกลับมีกระแสเชิงลบทันที เนื่องจากบางช่วงโชว์ได้พูดพาดพิงถึงความพอเพียง งานนี้ทำให้คนดูบางกลุ่มไม่อินตาม และได้ออกมาโพสต์วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกันกระแสรถทัวร์หันกลับทันที่ หลังจากมีบัญชีผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งออกมาโพสต์คลิป “พล.ต.ท.เรวัช” ที่กำลังนั่งพูดคุยกับอาจารย์คงดังเปิดใจติงทอล์กโชว์ ซึ่งคลิปดังกล่าวกลับมีชาวเน็ตท่านหนึ่งนำวิดีโอออกมาเผยแพร่อีกครั้งลงเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเขียนแคปชั่นระบุว่า 
 
“พี่โน้สแ-่งแค่ตลกตัวเล็กๆ ไม่มีพิษภัยทางสังคมใดๆ คนพูดถึงกับจะทำขนาดนี้เลยเหรอ ?”
 
ซึ่งคลิปดังกล่าวมีความยาว 02.44 นาที โดยเป็นคลิปนาทีที่ “พล.ต.ท.เรวัช” นั่งคุยกับอาจารย์ท่านหนึ่ง โดยกล่าวว่า 
 
ก็ให้ลูกศิษย์ของเราไปดักตีมันสิ อาจารย์เอาลูกศิษย์มา เดี๋ยวผมเทรนให้ว่าทำอย่างไรไม่ให้มีพยานหลักฐาน ทำอย่างไรไม่ให้ตำรวจจับได้ และที่อาจารย์ฝึกกระบี่กระบองมาดี ๆ ดักตี…เลย มันจะได้ไม่มีปากพูดอีก อาจารย์เอาลูกศิษย์มา เดี๋ยวผมแนะนำให้ มันจะได้จบเร็วๆ ไม่ใช่ไรมันไปก้าวล่วงพ่อหลวง ผมเองก็ไม่อยากไปยุ่งกับมันหรอก นี่ไม่ใช่สนุกปากแ-่งหาแ-ก ไอ้xตว์xงขายบัตรเปล่า xงพูดให้เขาดูฟรีแบบxเปล่า
 
หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากต่างเข้ามาคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์กันล้นหลาม
 
ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า “พล.ต.ท.เรวัช” ได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยไลฟ์สดพูดถึง “โน้ส อุดม” หลังดูเดี่ยวจบแบบเต็มๆ ยันว่าไม่มีคำพูดอะไรที่เขาทำผิดกฎหมาย ส่วนถ้านั่งดูแล้วจะขึ้นไปถีบบนเวที แค่คิดเฉยๆ ทำไม่ได้อีกด้วย…


 
"ศศินันท์" ชี้ ปมฟ้อง "โน้ต อุดม" สะท้อนปัญหาบังคับใช้ ม.112 ชัดเจน
https://www.thairath.co.th/news/politic/2784219

"ศศินันท์" สส.ก้าวไกล ชี้ กรณีฟ้อง "โน้ต อุดม" สะท้อนปัญหาบังคับใช้ ม.112 ชัด มอง พิพากษา "ไมค์ ระยอง" โทษสูงเกิน ผิดหวังรัฐบาลไม่สร้างบรรยากาศปูทางสู่นิรโทษกรรม
 
วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 11 พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นถึงสถานการณ์การใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ล่าสุด หลังเกิดกรณี ปารีณา ไกรคุปต์ แจ้งความดำเนินคดีกับ “โน้ต อุดม แต้พานิช” และศาลมีคำพิพากษาจำคุก 4 ปี ในคดีของ ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง” อดีตแกนนำกลุ่มราษฎร
 
ศศินันท์ ระบุว่า จากกรณีของ โน้ต อุดม ยิ่งทำให้เห็นถึงปัญหาของการนำมาตรา 112 มาใช้ในการสร้างความขัดแย้งระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ซึ่งเกิดขึ้นมาตลอดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการที่ผู้มาแจ้งความดำเนินคดีจะเป็นใครก็ได้เนื่องจากอยู่ในหมวดความมั่นคง ยิ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ประชาชนฟ้องกันเอง และมีการนำมาตรานี้มาใช้ในการกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยพร่ำเพรื่อเกินไป
 
โดยหลักแล้ว การดำเนินคดีอาญาเป็นกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิของประชาชนมากที่สุด เพราะมีอัตราโทษจำคุก จึงไม่ควรถูกนำมาใช้โดยไม่จำเป็น อย่างกรณีของ โน้ต อุดม เกิดจากเพียงแค่ใช้ถ้อยคำว่า “พอเพียง” ซึ่งเป็นการนำคำคำเดียวมาตีความให้เป็นมาตรา 112 โดยผู้ที่จะถูกดำเนินคดีไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการแสดงรูปแบบใดและระดับใดถึงเป็นความผิด
 
ศศินันท์ กล่าวต่อไปว่า ปกติแล้วตามหลักการดำเนินคดีอาญา อย่างน้อยคนที่ทำจะต้องรู้ว่าขณะที่กำลังทำสิ่งนั้นๆ ถือเป็นความผิด เช่น การฆ่าคนตาย แต่การบังคับใช้มาตรา 112 ที่ผ่านมาไม่ได้มีกรอบที่ชัดเจนขนาดนั้น จึงถูกตีความครอบคลุมในวงกว้างมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น การกระทำที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมาตรา 112 เลย ก็อาจถูกตีความให้เข้าข่ายมาตรานี้ได้
 
ส่วนกรณีคำพิพากษาของภาณุพงศ์ที่ถูกพิพากษาจำคุก 4 ปี ก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงปัญหาการใช้มาตรา 112 เช่นกัน ทั้งในประเด็นที่กฎหมายกำหนดให้คนเริ่มต้นคดีเป็นใครก็ได้ กรอบการตีความที่กว้างมาก รวมถึงอัตราโทษซึ่งมาตรา 112 แตกต่างจากกฎหมายอาญามาตราอื่นๆ เพราะมีการกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำให้จำคุก 3 ปี ทำให้ศาลไม่สามารถพิพากษาโทษที่ต่ำกว่า 3 ปีได้ ปัญหานี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับในคดีอื่นๆ เช่น คดีของอานนท์ นำภา ที่ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลเป็นผู้กล่าวเองด้วยซ้ำว่า เพราะกฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้อยู่ หมายความว่าต่อให้ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นที่จะต้องจำคุก 3 ปี แต่ก็ติดที่กรอบกฎหมาย
 
ศศินันท์ กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เห็นถึงบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ประชาชนคาดหวังให้เกิดขึ้นในรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว เพราะยังคงมีการริเริ่มคดี การดำเนินคดี การตัดสินคดี และการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกมาปรามเอง ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าบรรยากาศทางการเมืองยังไม่ดีขึ้นจากเดิม
 
จุดนี้รัฐบาลต้องเร่งคลี่คลายบรรยากาศ ซึ่งในฐานะที่ตนอยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญนิรโทษกรรมฯ ขณะที่เรากำลังพิจารณาศึกษาเรื่องการนิรโทษกรรมกันอยู่ แต่บรรยากาศทางการเมืองยังไม่คลี่คลายลง เช่นนี้แล้วการนิรโทษกรรมจะเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร
 
การทำให้บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้นจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเรื่องการนิรโทษกรรมด้วย เพราะระหว่างที่มีการศึกษา แต่อีกฟากฝั่งยังคงถูกกระทำหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ยังร้อนอยู่แบบนี้ จะไม่ได้นำไปสู่การสร้างความปรองดองสมานฉันท์อย่างที่รัฐบาลต้องการในอนาคต” ศศินันท์ กล่าว

ศศินันท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลมีหน้าที่ในการสร้างบรรยากาศให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ทำให้ประชาชนรู้สึกได้จริงๆ ว่ามีการเปลี่ยนรัฐบาลไปแล้วจากยุคเผด็จการมาเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย โดยต้องกำหนดทิศทางนโยบายให้ชัดเจนว่ารัฐบาลนี้เปิดกว้างให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ โดยจะไม่ถูกปิดปากเหมือนรัฐบาลที่แล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่