เริ่มตั้งแต่ตอนม. 3 เราก็ทำเกรดให้ดีขึ้นทุกอย่างเพื่อที่จะลงโควต้าของโรงเรียนนี้พอเราได้โควต้าของโรงเรียนนี้เราก็ได้เรียนที่นี่ต่อตอนม 4 ตอนม 3 เราก็ได้วางแผนต่างๆนานาว่าเราอยากเรียนอันนี้เราจบไปเราต้องได้เรียนอันนี้เราก็เลยได้ลงสอบเข้าม 4 ที่นี่ต่อแทนที่จะไปปวช. ที่พ่อแนะนำมาพอต่อม 4 ที่นี่ก็เป็นแบบออนไลน์เราก็ได้เรียนไปเกรดมันก็ค่อนข้างที่จะตกเพราะว่ามันเป็นแบบออนไลน์เพราะเวลาเรียนเราโดนใช้ไปทำนู่นทำนี่ตลอดจนทำให้เกรดเราดรอปลงเกดเปิดมาเริ่มแรกมันดีมากพอเทอมที่ 2 เหมือนใช้เยอะไปหน่อยมันก็เลยดรอปลงเยอะมากเพราะว่าม 4 เทอม 2 เราได้มาดูแลตาที่เขาไม่สบายหรือเขาพิการนั่นแหละค่ะทุกคนเราก็มาดูแลตาเช็ดถูอาบน้ำให้เปลี่ยนแพมเพิสให้เราดูแลตาดีมากจนช่วงนั้นน่ะหมอบอกว่าอาการตาดีขึ้นเราดีใจมากตอนนั้นเราคุยเล่นกับตาทุกวันด้วยแล้วเราก็ให้กำลังใจตาทุกวันแต่พอเรากลับมาอาการตาก็ฟื้นแล้วก็เสียชีวิตลงนะคะ ต่อมาตม 5 เปิดเทอมมาเราดีใจมากเราได้เจอเพื่อนได้เจอทุกๆอย่างที่มันดีเรารู้สึกดีมากที่เราเจอเพื่อนแบบนี้แต่มันก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรากับเพื่อนในกลุ่มทะเลาะกันเองก็คือเรื่องงานกลุ่มตอนนั้นเรากำลังมีไฟในการเรียนด้วยความที่ว่าเรามีไฟอยู่คนเดียวแต่เพื่อนเราอ่ะไม่ได้มีไฟด้วยทำให้เราพูดกดดันเพื่อนมากเกินไปจนทำให้เรากับเพื่อนแตกหักกันแล้วก็มาทะเลาะกันเรื่องงานการแสดงของห้องเราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเราก็เลยได้กลายเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้แล้วทีนี้จะเจอเหตุการณ์ที่ว่าคุยไม่ลงตัวแล้วก็ทำให้เสียผลประโยชน์ไปเยอะมากก็คือเราก็ได้ไปบอกเพื่อนแต่เราบอกเพื่อนไม่ชัดเจนเราก็ได้ขอโทษขอโพยและชดใช้เงินให้เขาโดยการที่ว่าเราจะผ่อนให้วันละ 50 ทุกวันและเก็บ 20 ไว้กินเองแต่พอเราผ่อนได้ประมาณ 3 วันเพื่อนก็มาบอกว่าแม่ของเขาไม่เอาเงินแล้วถือว่าช่วยในการแสดงของลูกตัวเองโอเคเราก็ขอบคุณแม่ของเพื่อนไปและเราก็ขอโทษเพื่อนไปด้วยตอนนี้เรารับผิดเพราะว่าเราพูดไม่ชัดเจนด้วยความที่ว่าเราเป็นคนพูดน้อยแต่การที่ว่าทำให้เราได้กลายเป็นผู้กำกับเพราะว่าเพื่อนน่ะในห้องไม่มีใครสนใจมีงานพวกนี้เลยจนเรากับเพื่อนอีก 4-5 คนต้องมากระเตื้องขึ้นอีกทั้งห้องก็เลยทำให้เกิดประเด็นนี้ขึ้นมาจบม 5 ต่อมาก็ม 6โรงเรียนได้มีการหามหาวิทยาลัยและให้วิทยาลัยมาแนะแนวให้กับโรงเรียนเราเห็นดังนั้นเราก็เลยกระเตื้องตัวเองให้ไปคุยกับพ่อว่าเราอยากไปเรียนมหาลัย เขาก็ได้พูดกับมาว่า"เรียนไปทำไมเสียตังค์ตั้งหลายบาทไม่มีตังค์มาส่งเป็นล้านๆหรอกนะ!"เขาพูดกับเราแบบตะคอกคือพ่อเราอ่ะเป็นคนที่ถ้าพูดถึงเรื่องเงินเขาจะขมวดคิ้วและตะคอกใส่เรากลับมาตลอด เราก็เลยตอบกลับเขาไปว่า"ก็เราอยากเรียนเราจะส่งตัวเองเรียนเอง" พอเขาได้ยินอย่างนั้นเขาก็บอกมาว่า"เออ!อยากเรียนก็เรียนไป"อย่างหัวเสีย หลังจากนั้นเราก็ไม่พูดอะไรอีกเลยเราก็เลยเดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเองเขาก็ขึ้นมาอีกว่า "รู้งี้ไม่น่ามีลูกเลยถ้าไม่มีลูกอ่ะกูสบายไปแล้ว" เราได้ยินดังนั้นเราก็ร้องไห้ออกมาเพราะว่าเราอยากที่จะเรียนมหาลัยมากๆเพราะว่าคณะที่เราจะเรียนมันเป็นคณะที่สามารถทำให้ครอบครัวอยู่ได้สบายเราสามารถเลี้ยงได้ทั้งครอบครัวซึ่งครอบครัวเราไม่มีใครสนับสนุนเราที่จะเรียนเลยหลายคนก็ได้มาพูดกับเราว่าเออดรอปเรียนไปสักปีนึงไหมแล้วค่อยกลับมาเรียนเราก็บอกว่า"ก็คิดไว้อย่างนั้นแหละถ้าไม่ติดมหาลัยเลยมันก็คงต้องดรอปแต่ถ้าติดก็จะหาเงินมาจ่ายเขาให้ได้และอยากที่จะเรียนมันให้ได้แม้ว่าเราจะทำยังไงก็ตาม"ยกเว้นเรื่องผิดกฎหมายนะทุกคน) พอเราพูดไปแบบนั้นหลายคนก็ไปพูดกับพ่อเราพ่อเราก็ชอบพูดมาบ่อยๆว่าเรียนมหาลัยไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกหลายคนเรียนไม่ตรงสายอ่ะเราเข้าใจเราก็เลยศึกษาค้นคว้าการตลาดว่าการตลาดต้องการอาชีพแบบไหนมากในอนาคตสรุปแล้วมันก็เป็นอาชีพที่เรากำลังจะเรียนซึ่งเรารู้สึกว่ามันคุ้มค่าถ้าเราจะเรียนเราก็เลยยังด้นด้านที่จะเลือกเรียนต่อ(เราลืมบอกว่าพ่อแม่เราแยกทางกันพ่อเรามีแม่เลี้ยงและแม่เราก็มีพ่อเลี้ยงเหมือนกันพ่อกับแม่เราได้แยกทางกันไปตอนเราอยู่ป 3ตั้งแต่ที่พ่อเราคบกับแม่เลี้ยงมาเรารู้สึกว่าพ่อเราเปลี่ยนไปเยอะมากจากหน้าเป็นหลังมือ)ต่อที่เรื่องของเราเลยนะคะเพราะจบม 6 เราก็ได้มาหางานทำกับพี่สาวเราได้ยื่นไปประมาณ 10 กว่าที่ไม่มีที่ไหนเรียกเราเลยเรารู้สึกท้อมากจนที่เราบอกว่าถ้าเดือนนี้ไม่มีงานหรือไม่ได้งานก็จะส่งกลับบ้านพอเราได้ยินดังนั้นน่ะเรารู้สึกตัวสั่นมากแล้วเราก็อยากจะร้องไห้ตรงนั้นเลยแต่ว่าเราทำไม่ได้ถ้าเราร้องไห้ออกไปพี่สาวเราจะบอกว่าเราไม่โตร้องไห้แบบนี้ไม่มีทางโตได้หรอกแต่เราก็คิดกลับกันว่าถ้าเราโตแล้วเราร้องไห้ไม่ได้เลยมันจะกดดันเกินไปหรือเปล่ามันจะมากเกินไปไหมแต่เราก็จะคิดนะทุกคนเราก็ไม่ได้ไปพูดอะไรกับเขาหรือโต้เถียงอะไรกับเขาทุกคนหลายคนในครอบครัวเราพูดดูหมิ่นและดูถูกเราไว้เยอะมากจนเราไม่อยากกลับไปอยู่ตรงนั้นแล้วมันก็มีคนที่ทำให้เราคิดถึงนั่นแหละแต่ว่าเราก็ไม่อยากกลับไปเพราะว่ามันบั่นทอนจิตใจจนมันทำให้เราไม่กล้าออกจากห้องไม่อยากจะไปไหนมาไหนกับใครแล้วเราก็กลัวว่าถ้าเราทำอย่างนี้ไปเราก็จะโดนด่าทำอย่างนั้นไปไม่ถูกใจเราก็จะโดนด่าเราก็เลยกลายเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมันมีช่วงนึงที่ทำให้เราติดโทรศัพท์มากๆเพราะว่าเราต้องการเซฟโซนในจอแล้วก็มีคนที่ให้เซฟโซนกับเราได้ก็คือเพื่อนหลายๆคนที่เราได้รู้จักใน facebook ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นและติดโทรศัพท์หนักมากช่วงนั้นเราถึงกับไม่ออกจากห้องเลยถ้าไม่ออกมากินข้าวจนอาเราได้มาทักเราว่าออกไปจากห้องบ้างเดี๋ยวก็จะเป็นโรคซึมเศร้าตายเอานะเราก็เลยออกมาจากห้องแล้วก็ได้ออกมาอยู่นิ่งๆอ่ะทุกคนแบบไม่ได้คุยกับใครมากช่วงนั้นมันเป็นอะไรที่แย่มากแล้วเราก็ค่อยๆปรับแล้วก็ออกมาคุยกับทุกคนในครอบครัวมากขึ้นแต่ก็เหมือนเดิมจนเราก็รู้สึกเริ่มชินกับมันแล้วก็อยู่เงียบๆของเราต่อไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราไม่อยากกลับไปบ้านนั้น ก็ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่กำลังหางานต่อไปค่ะทุกคนแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อเพราะว่าเราเรียนมหาลัยมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆนานาที่มากมายเราก็ไม่ได้งานสักทีจนเราเริ่มรู้สึกท้อมากเราอยากทำงานมากๆแม้ว่ามันจะหนักแต่ขอให้มันได้เงินเราก็จะทำ ถ้าเป็นทุกคนทุกจะทำยังไงกับเหตุการณ์พวกนี้แล้วถ้าเกิดแบบนี้แล้วทุกคนจะทำยังไงกันคะ เรารู้สึกท้อแท้จนเรากินข้าวแทบจะไม่ลงแล้วอ่ะ
ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้วค่ะ รับฟังและให้คำปรึกษาหน่อยค่ะ