เลือดที่ไหลออกมา... เกิดจากเส้นเลือดภายในโพรงจมูกแตก
ที่อาจเป็นเพราะเส้นเลือดในโพรงจมูกเปราะบางแตกง่ายด้วยปัจจัยต่างๆ
เช่น อากาศที่เปลี่ยน (ร้อนเกินไป, หนาวเกินไป, แห้งเกินไป) สั่งน้ำมูกแรงเกินไป
ผลข้างเคียงจากอาการภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง หรือเกิดจากการแคะ แกะ เกาในโพรงจมูกอย่างรุนแรง
หรือเกิดอุบัติเหตุในบริเวณที่ใกล้เคียงกับจมูก เป็นต้น
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
เลือดกำเดาไหล...อย่าเพิ่งตกใจ
“เลือดกำเดาไหล” หรือ “Epistaxis” เป็นภาวะเลือดออกทางจมูก ที่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน
ภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหน้า มักจะไม่ค่อยรุนแรง
ภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหลังโพรงจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่ใหญ่กว่าด้านหน้า
จึงทำให้มีอาการรุนแรงกว่า มีเลือดออกปริมาณมากกว่า และสามารถทำให้มีเลือดออกทางปากได้ด้วย
ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วภาวะเลือดออกทางจมูกที่มาจากด้านหลังโพรงจมูก
มักมีสาเหตุมาจากอันตรายที่ร้ายแรงกว่าภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหน้า

สาเหตุที่ทำให้เลือดกำเดาไหลนั้น
เลือดกำเดาที่เกิดจากสาเหตุทั่วไป อากาศแห้งอันเกิดจากสภาพอากาศร้อน ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
หรือ อากาศในสิ่งแวดล้อม อาคารสถานที่หรือที่อยู่อาศัยร้อนจัด ทำให้เส้นเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกแห้ง
จับตัวเป็นเกร็ด และแตกออกเมื่อถูกสัมผัสแรง ๆ การแกะหรือแคะจมูกแรง ๆ การจามแรง ๆ หรือการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
ภาวะโรคในจมูก เลือดกำเดาไหลเพราะภาวะโรคในจมูก คือ อาจเกิดจากการที่ “มีก้อนในจมูก”
หรือ “ก้อนเนื้องอกบริเวณหลังโพรงจมูก” รวมถึงการติดเชื้อต่างๆ ที่ทำให้มีแรงดันขึ้นไปทำให้เกิดอาการคัดจมูกหรือจาม
จนเส้นเลือดฝอยแตก และเกิดเป็นเลือดกำเดาไหลออกมา หรืออาจเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุ ถูกกระแทกจนกระดูกหัก
ผนังจมูกคด ก็ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ รวมถึงการใช้ยาพ่นสเตียรอยด์รักษาภูมิแพ้ ถ้าพ่นไม่ถูกวิธี
ก็อาจทำให้ผนังจมูกบางและเป็นเหตุให้เลือดออกได้เช่นกัน
เลือดกำเดาไหลเพราะความผิดปกติของร่างกาย
ได้แก่ คนที่มีโรคประจำตัว เป็นโรคเลือดที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
เลือดออกง่าย หยุดยาก โดยมักจะเป็นตามเยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุจมูก หรือว่าไรฟัน รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
คนที่เป็นโรคตับหรือคนที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดต่างๆ ก็มีโอกาสเลือดกำเดาออกได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
หลังการผ่าตัดจมูก ผ่าตัดผนังกั้นโพรงจมูก การผ่าตัดไซนัส หรือ หลังการทำศัลยกรรมจมูก
ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา
การใช้แอมโมเนีย ซี่งเป็นสารระเหยที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณระบบทางเดินหายใจ
การสอดสายให้ออกซิเจนผ่านทางจมูก การใส่สายให้อาหารทางจมูก การใช้ยาแอสไพรินเกินขนาด
การนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในโพรงจมูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก
ทั้งนี้เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกจนเลือดกำเดาไหลนั้น ถือเป็นปลายเหตุที่เกิดจากความผิดปกติในร่างกาย
ที่ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและเลือดออก ซึ่งสาเหตุก็อาจเป็นได้ทั้งมีก้อนที่จมูก หรือมีปัญหาโรคเลือดก็ได้
จำเป็นต้องหาสาเหตุให้พบ เพราะปกติเส้นเลือดคนเรานั้นจะไม่แตกง่ายๆ ยกเว้นแต่มีสาเหตุกระตุ้นให้แตก
เช่น ไปกระแทก เกิดอุบัติเหตุ หรือขาดวิตามินต่างๆ อย่างวิตามินเค ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ง่าย

เลือดกำเดาไหลส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรงและผู้ป่วยสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เอง
แต่หากผู้ป่วยมีเลือดกำเดาไหลออกมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการมีเลือดออกภายในหรือโรคร้ายแรงที่มีความซับซ้อน
จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดโดยเร็ว โดยให้สังเกตอาการดังต่อไปนี้
เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ไหลมาก หรือไหลเกินกว่า 5 นาที ได้รับอุบัติเหตุหรือได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ ใบหน้า หรือจมูก
เลือดกำเดาไหลออกมาเป็นลิ่มเลือด สีตัวซีด ปากซีด รู้สึกหน้ามืด เวียนหัว คล้ายจะเป็นลม
สำลักออกมาเป็นเลือด อาเจียนออกมาเป็นเลือด หายใจลำบาก ชีพจรเต้นเร็ว
เลือดกำเดาไหลร่วมกับการคลำได้ก้อนที่คอ หรือสังเกตว่ามีก้อนในโพรงจมูก
ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกในโพรงจมูก วัณโรคหลังโพรงจมูก หรือ มะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์

เมื่อเลือดกำเดาไหล ให้หยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือยืนอยู่ก็ตาม
เพราะอาจจะมีอาการหน้ามืด หมดสติ เป็นลม ก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะกรณีที่เลือดออกในปริมาณมาก
ให้ผู้ป่วยที่มีเลือดกำเดาไหล นอนเอนตัวลง เอาอะไรหนุนศีรษะไว้ เพื่อไม่ให้ศีรษะต่ำจนเกินไป คือ ท่านอนศีรษะสูง
ลักษณะนอนเตียงผ้าใบชายหาด ซึ่งท่านอนแบบนี้เป็นการป้องกันการสำลัก หรือการไหลย้อนกลับของเลือดไปที่จมูก
ที่สำคัญ ห้ามแหงนศีรษะขึ้นเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อการทำให้สำลักเลือดได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเลือดไหลปริมาณน้อย สามารถห้ามเลือดด้วยการประคบน้ำเย็นได้ พร้อมกับบีบจมูกก่อน
จากนั้นก็ให้อมน้ำเย็นเอาไว้ จะช่วยในการห้ามเลือดได้ดี เพราะมีเส้นเลือดอยู่บริเวณเพดานปาก ทำให้เลือดหยุดเร็วกว่า
หากมีเลือดออกที่จมูกด้านหน้าในปริมาณมาก ให้บีบจมูก หายใจทางปาก แล้วรีบนำตัวผู้ป่วยพบแพทย์ทันที

เมื่อคนไข้มาพบแพทย์เนื่องจากอาการเลือดกำเดาไหลผิดปกติ แพทย์จะทำการวินิจด้วยการซักประวัติ
และตรวจด้วยการส่องกล้อง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล
แพทย์จะปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการด้วยวัสดุห้ามเลือดและยา
ในจมูกเพื่อห้ามเลือดกำเดาให้หยุดไหล จากนั้นเมื่อเลือดหยุดไหลจึงส่องกล้องเพื่อวินิจฉัย
ซึ่งเมื่อทราบแล้วว่าเกิดจากสาเหตุใด ก็วางแผนการรักษาไปตามรอยโรคที่พบ



เลือดกำเดาไหล..อย่าเพิ่งตกใจ
ที่อาจเป็นเพราะเส้นเลือดในโพรงจมูกเปราะบางแตกง่ายด้วยปัจจัยต่างๆ
เช่น อากาศที่เปลี่ยน (ร้อนเกินไป, หนาวเกินไป, แห้งเกินไป) สั่งน้ำมูกแรงเกินไป
ผลข้างเคียงจากอาการภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง หรือเกิดจากการแคะ แกะ เกาในโพรงจมูกอย่างรุนแรง
หรือเกิดอุบัติเหตุในบริเวณที่ใกล้เคียงกับจมูก เป็นต้น
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
“เลือดกำเดาไหล” หรือ “Epistaxis” เป็นภาวะเลือดออกทางจมูก ที่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน
ภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหน้า มักจะไม่ค่อยรุนแรง
ภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหลังโพรงจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่ใหญ่กว่าด้านหน้า
จึงทำให้มีอาการรุนแรงกว่า มีเลือดออกปริมาณมากกว่า และสามารถทำให้มีเลือดออกทางปากได้ด้วย
ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วภาวะเลือดออกทางจมูกที่มาจากด้านหลังโพรงจมูก
มักมีสาเหตุมาจากอันตรายที่ร้ายแรงกว่าภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหน้า
เลือดกำเดาที่เกิดจากสาเหตุทั่วไป อากาศแห้งอันเกิดจากสภาพอากาศร้อน ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
หรือ อากาศในสิ่งแวดล้อม อาคารสถานที่หรือที่อยู่อาศัยร้อนจัด ทำให้เส้นเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกแห้ง
จับตัวเป็นเกร็ด และแตกออกเมื่อถูกสัมผัสแรง ๆ การแกะหรือแคะจมูกแรง ๆ การจามแรง ๆ หรือการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
ภาวะโรคในจมูก เลือดกำเดาไหลเพราะภาวะโรคในจมูก คือ อาจเกิดจากการที่ “มีก้อนในจมูก”
หรือ “ก้อนเนื้องอกบริเวณหลังโพรงจมูก” รวมถึงการติดเชื้อต่างๆ ที่ทำให้มีแรงดันขึ้นไปทำให้เกิดอาการคัดจมูกหรือจาม
จนเส้นเลือดฝอยแตก และเกิดเป็นเลือดกำเดาไหลออกมา หรืออาจเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุ ถูกกระแทกจนกระดูกหัก
ผนังจมูกคด ก็ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ รวมถึงการใช้ยาพ่นสเตียรอยด์รักษาภูมิแพ้ ถ้าพ่นไม่ถูกวิธี
ก็อาจทำให้ผนังจมูกบางและเป็นเหตุให้เลือดออกได้เช่นกัน
เลือดกำเดาไหลเพราะความผิดปกติของร่างกาย
ได้แก่ คนที่มีโรคประจำตัว เป็นโรคเลือดที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
เลือดออกง่าย หยุดยาก โดยมักจะเป็นตามเยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุจมูก หรือว่าไรฟัน รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
คนที่เป็นโรคตับหรือคนที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดต่างๆ ก็มีโอกาสเลือดกำเดาออกได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
หลังการผ่าตัดจมูก ผ่าตัดผนังกั้นโพรงจมูก การผ่าตัดไซนัส หรือ หลังการทำศัลยกรรมจมูก
ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา
การใช้แอมโมเนีย ซี่งเป็นสารระเหยที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณระบบทางเดินหายใจ
การสอดสายให้ออกซิเจนผ่านทางจมูก การใส่สายให้อาหารทางจมูก การใช้ยาแอสไพรินเกินขนาด
การนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในโพรงจมูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก
ทั้งนี้เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกจนเลือดกำเดาไหลนั้น ถือเป็นปลายเหตุที่เกิดจากความผิดปกติในร่างกาย
ที่ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและเลือดออก ซึ่งสาเหตุก็อาจเป็นได้ทั้งมีก้อนที่จมูก หรือมีปัญหาโรคเลือดก็ได้
จำเป็นต้องหาสาเหตุให้พบ เพราะปกติเส้นเลือดคนเรานั้นจะไม่แตกง่ายๆ ยกเว้นแต่มีสาเหตุกระตุ้นให้แตก
เช่น ไปกระแทก เกิดอุบัติเหตุ หรือขาดวิตามินต่างๆ อย่างวิตามินเค ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ง่าย
แต่หากผู้ป่วยมีเลือดกำเดาไหลออกมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการมีเลือดออกภายในหรือโรคร้ายแรงที่มีความซับซ้อน
จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดโดยเร็ว โดยให้สังเกตอาการดังต่อไปนี้
เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ไหลมาก หรือไหลเกินกว่า 5 นาที ได้รับอุบัติเหตุหรือได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ ใบหน้า หรือจมูก
เลือดกำเดาไหลออกมาเป็นลิ่มเลือด สีตัวซีด ปากซีด รู้สึกหน้ามืด เวียนหัว คล้ายจะเป็นลม
สำลักออกมาเป็นเลือด อาเจียนออกมาเป็นเลือด หายใจลำบาก ชีพจรเต้นเร็ว
เลือดกำเดาไหลร่วมกับการคลำได้ก้อนที่คอ หรือสังเกตว่ามีก้อนในโพรงจมูก
ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกในโพรงจมูก วัณโรคหลังโพรงจมูก หรือ มะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์
เพราะอาจจะมีอาการหน้ามืด หมดสติ เป็นลม ก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะกรณีที่เลือดออกในปริมาณมาก
ให้ผู้ป่วยที่มีเลือดกำเดาไหล นอนเอนตัวลง เอาอะไรหนุนศีรษะไว้ เพื่อไม่ให้ศีรษะต่ำจนเกินไป คือ ท่านอนศีรษะสูง
ลักษณะนอนเตียงผ้าใบชายหาด ซึ่งท่านอนแบบนี้เป็นการป้องกันการสำลัก หรือการไหลย้อนกลับของเลือดไปที่จมูก
ที่สำคัญ ห้ามแหงนศีรษะขึ้นเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อการทำให้สำลักเลือดได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเลือดไหลปริมาณน้อย สามารถห้ามเลือดด้วยการประคบน้ำเย็นได้ พร้อมกับบีบจมูกก่อน
จากนั้นก็ให้อมน้ำเย็นเอาไว้ จะช่วยในการห้ามเลือดได้ดี เพราะมีเส้นเลือดอยู่บริเวณเพดานปาก ทำให้เลือดหยุดเร็วกว่า
หากมีเลือดออกที่จมูกด้านหน้าในปริมาณมาก ให้บีบจมูก หายใจทางปาก แล้วรีบนำตัวผู้ป่วยพบแพทย์ทันที
และตรวจด้วยการส่องกล้อง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล
แพทย์จะปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการด้วยวัสดุห้ามเลือดและยา
ในจมูกเพื่อห้ามเลือดกำเดาให้หยุดไหล จากนั้นเมื่อเลือดหยุดไหลจึงส่องกล้องเพื่อวินิจฉัย
ซึ่งเมื่อทราบแล้วว่าเกิดจากสาเหตุใด ก็วางแผนการรักษาไปตามรอยโรคที่พบ