ตลอดที่ผมอ่านประวัติศาสตร์จีน ผมสงสัยอย่างหนึ่งว่าทำไมอาณาจักรจีนในยุคต่างๆถึงไม่ลองสร้างสัมพันธไมตรี กับเหล่าชนนอกด้าน แต่กลับถือตัวเหยียดหยามว่าซงหนูว่าคนป่าเถื่อน
ซึ่งผมสงสัยว่าทำไมราชวงศ์ต่างๆ ถึงไม่ใช่วิธีแบบ ไม้อ่อน หรือซอฟพาวเวอร์ เช่น
1. ชนนอกด้านเลี้ยงวัว ซึ่งมีทั้งวัวเนื้อ วัวนม รวมถึงมีม้าสายพันธ์ดีมากมาย ก็เอาพืชพันธ์ ข้าว ไก่ สุกร สมุนไพรเครื่องเทศข้าวของต่างๆไปแลกเปลี่ยนสิ
2.ผูกสัมพันธ์กับชนนอกด้านที่เป็นเผ่าใหญ่ ส่งองค์หญิง นักปราชญ์ บัณฑิต หมอไปสอนชนนอกด่าน ทั้งการใช้อักษรจีน เช่นตั้งว่า เผ่าใดสวามิภัคดิ์ กับราชวงศ์จะได้รับการลดหย่อนภาษี และค้าขายได้สะดวก รวมถึงสิทธิพิเศษ
ในจุดนี้ผมตั้งคำถามว่า ความจริงชนนอกด้านหรือซ่งหนูที่ว่าโหดร้ายไม่มีอารยะ ความจริงแล้วเป็นการใส้ความจากชาวจีนหรือไม่ และ มีความเป็นไปได้ไหม ที่ในประวัติศาสตร์ ชนนอกด้านก็พยายามดีค้าขายปกติกับชาวจีน แต่ชาวจีนกลับไปดูถูกเหยียดยามทำให้ซงหนูเกิดไม่พอใจ เลยยกคนมาปล้นหรือพูดง่ายๆชาวจีนอาจทำเรื่องไม่ดีกับชนนอดด้านมาก่อน เลยทำให้พวกเขาตอบโต้อย่างโหดร้ายและเลยทำให้ชาวจีนมองคนพวกนี้ว่าป่าเถือน แต่ในความจริงชาวจีนต่างหากคือคนเรี่มเรื่องก่อน
ทำไมในประวัติศาสตร์จีนทำไมราชวงศ์ต่างๆถึงไม่ลองปลองดองหรือสร้างมิตร กับชนนอกด้าน
ซึ่งผมสงสัยว่าทำไมราชวงศ์ต่างๆ ถึงไม่ใช่วิธีแบบ ไม้อ่อน หรือซอฟพาวเวอร์ เช่น
1. ชนนอกด้านเลี้ยงวัว ซึ่งมีทั้งวัวเนื้อ วัวนม รวมถึงมีม้าสายพันธ์ดีมากมาย ก็เอาพืชพันธ์ ข้าว ไก่ สุกร สมุนไพรเครื่องเทศข้าวของต่างๆไปแลกเปลี่ยนสิ
2.ผูกสัมพันธ์กับชนนอกด้านที่เป็นเผ่าใหญ่ ส่งองค์หญิง นักปราชญ์ บัณฑิต หมอไปสอนชนนอกด่าน ทั้งการใช้อักษรจีน เช่นตั้งว่า เผ่าใดสวามิภัคดิ์ กับราชวงศ์จะได้รับการลดหย่อนภาษี และค้าขายได้สะดวก รวมถึงสิทธิพิเศษ
ในจุดนี้ผมตั้งคำถามว่า ความจริงชนนอกด้านหรือซ่งหนูที่ว่าโหดร้ายไม่มีอารยะ ความจริงแล้วเป็นการใส้ความจากชาวจีนหรือไม่ และ มีความเป็นไปได้ไหม ที่ในประวัติศาสตร์ ชนนอกด้านก็พยายามดีค้าขายปกติกับชาวจีน แต่ชาวจีนกลับไปดูถูกเหยียดยามทำให้ซงหนูเกิดไม่พอใจ เลยยกคนมาปล้นหรือพูดง่ายๆชาวจีนอาจทำเรื่องไม่ดีกับชนนอดด้านมาก่อน เลยทำให้พวกเขาตอบโต้อย่างโหดร้ายและเลยทำให้ชาวจีนมองคนพวกนี้ว่าป่าเถือน แต่ในความจริงชาวจีนต่างหากคือคนเรี่มเรื่องก่อน