ต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เนื่องจากสงกรานต์ที่ผ่านมาน้องสาวของคุณแม่กลับมาเที่ยวที่ประเทศไทยพร้อมกับลูกชายในรอบ 5 ปีจึงมีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันทำให้มีอะไรหลาย ๆ อย่างคลี่คลายมากขึ้นและรู้ต้นสายปลายเหตุของปัญหามากขึ้น

น้องเจเดนลูกชายของน้องสาวกับน้องไทม์ลูกชายของคุณแม่เองด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันก็จะสนิทกันมากพอสมควรเวลาเจอกันก็จะคุยกันพากันไปเล่นแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมเพราะน้องไม่ลงมาหาไม่คุยเล่นกันเหมือนเดิม ช่วงทานข้าวกลางวันก็คุยกันกับน้องสาวสารทุกข์สุกดิบถึงเรื่องงานเรื่องน้อง แต่คุณแม่ไม่รู้ว่าน้องเจเดนฟังภาษาไทยรู้เรื่องเพราะปกติน้องไม่พูดภาษาไทยเลยมารู้ทีหลังตอนน้องจะกลับแล้วค่ะ น่าจะเป็นช่วงนี้ที่น้องเก็บรายละเอียดเพราะที่ผ่านมาไม่เคยเล่าหรือบอกเลยค่ะ

ช่วงเวลาที่ไปเที่ยวด้วยกันน้องยังคงใส่หูฟังอยู่ตลอดแต่คุณแม่คิดว่าน้องยอมเปิดให้บ้างแล้ว ไปเที่ยวทะเลคุณแม่เลือกที่พักโปรดที่น้องมักจะเลือกเป็นประจำเพราะติดทะเลมีหาดส่วนตัว ส่วนมากน้องก็จะอยู่แต่ที่พักพอตกกลางคืนน้องก็จะไปเดินเล่นริมทะเล ไปนั่งอยู่เงียบ ๆ คนเดียว พอคืนที่สองน้องเจเดนก็เดินไปนั่งอยู่ข้าง ๆ นั่งอยู่ด้วยกันสักพักไม่รู้ว่าคุยอะไรกันหรือเปล่า จู่ๆ น้องก็วิ่งไล่กันคุณแม่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของน้องแบบนี้มานานมาก ๆ คืนต่อมาน้องก็ยังคงไปนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่เดิมเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้น้องเจเดนเดินมาบอกคุณแม่ว่าพี่น่าจะอยากได้คนนั่งเป็นเพื่อน โดยไม่ต้องมีบทสนทนาอะไรแค่ให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างๆ เสมอคุณแม่ก็เดินตามไปนั่งข้าง ๆ เงียบ ๆ มองท้องฟ้าเหมือนที่น้องกำลังมองอยู่ ผ่านไปสักพักใหญ่คุณแม่สังเกตว่าน้องเริ่มเหล่มองคุณแม่เป็นระยะ ๆ เหมือนอยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูดออกมาจนเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่น้องเริ่มพูดกับคุณแม่ก่อน น้องบอกว่าคุณแม่เข้าไปข้างในเถอะครับเดี๋ยวจะไม่สบาย อีกสักพักน้องจะเข้าไปครับ คุณแม่จึงเดินเข้าด้านในก่อนสักพักน้องก็เดินเข้ามา จนคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายน้องยอมนั่งทานข้าวโต๊ะเดียวกันแต่ยังคงใส่หูฟังเหมือนเดิมนั่งทานเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งตอนกลางคืนน้องก็ยังคงไปนั่งที่เดิมเหมือนเดิมตอนแรกคุณแม่ลังเลกลัวว่าลูกจะอึดอัดไม่กล้าเดินตามไป จนน้องเจเดนส่งสายตาว่าให้ตามออกไปคุณแม่จึงตัดสินใจเดินไปนั่งข้าง ๆ น้องเหมือนเดิมน้องยังคงมองท้องฟ้าเหมือนเดิมโดยครั้งนี้ไม่ได้หันมามองคุณแม่แต่น้องกลับถามคุณแม่ว่าถ้าน้องเล่าบางอย่างให้คุณแม่ฟัง สัญญาได้ไหมครับว่าจะไม่โกรธใคร จังหวะนั้นคุณแม่ชะงักไปเลยค่ะ แล้วน้องก็เล่าสิ่งที่น้องเก็บอยู่ในใจมานานหลายปี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือช่วงปลายปี 64 ต้นปี 65 คุณพ่อกับคุณแม่ต้องไปทำงานต่างประเทศเกือบ 1 เดือนจึงไม่ได้พาน้องไปด้วยเนื่องจากปัญหาในหลาย ๆ ด้านรวมไปถึงน้องจะต้องเรียนถึงแม้ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์แต่ยังคงต้องไปสอบที่โรงเรียนซึ่งตรงกับที่น้องจะต้องสอบด้วย พอถึงวันสอบน้องก็ไม่ไปสอบเลยสักวัน วันแรกคุณครูแจ้งมาคุณแม่ก็สอบถามน้องว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า รวมไปถึงสอบถามพี่เลี้ยงและคนขับรถว่าน้องไม่สบายไหม ซึ่งน้องก็ไม่ได้เป็นอะไร เคาะเรียกแล้วก็ไม่มีเสียงตอบรับ ซึ่งน้องก็รับปากคุณแม่ว่าจะไปตามสอบและไปสอบตามปกติแต่ก็ไม่ยอมไป พอกลับมาคุณแม่ก็ขอคุยกับน้องอยากฟังเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าแต่น้องก็ไม่ตอบบอกแต่ว่าเดี๋ยวจะไปตามสอบติดต่อกับคุณครูเองด้วยสถานการณ์เรียนออนไลน์คุณครูก็ตามเด็กได้ยาก แล้วโทรหาคุณแม่แต่คุณแม่ไม่ได้รับสายเพราะติดงานหน้างานอยู่จึงโทรไปหาคุณพ่อเรื่องจึงแดงขึ้นด้วยความโมโห น้องเล่าว่าคุณพ่อเข้าไปหาน้องในห้องตะคอกใส่และผลักน้องว่าด้วยคำที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งน้องไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้จึงทำตัวไม่ถูก หลังจากวันนั้นคุณพ่อก็พยายามที่จะขอโทษที่ใช้อารมณ์และพยายามเข้าหาน้อง น้องไม่กล้าเล่าให้คุณแม่ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะว่ากลัวว่าคุณพ่อคุณแม่จะทะเลาะกันซึ่งใช่ค่ะ ถ้าตอนนั้นคุณแม่รู้ก็คงจะทะเลาะกันจริง ๆ เพราะการใช้อารมณ์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอีกทั้งยังไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นอีกด้วย ตอนที่ได้ยินน้องเล่าคุณแม่สับสนไปหมดเลยค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่ผ่านมาน้องเจอกับอะไร รู้สึกยังไงรวมถึงคุณพ่อเองก็ไม่เคยเล่าเลยว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ปล่อยให้ปัญหามันบานปลายหลายปี น้องรู้ว่าน้องทำผิดน้องเข้าใจว่าคุณพ่อเองก็โกรธเพราะน้องทำพฤติกรรมที่ไม่สมควรแต่ด้วยความที่ปกติแล้วน้องจะสนิทกับคุณพ่อมาก มีอะไรก็เข้าข้างกันตลอดพอเจอแบบนี้น้องก็เริ่มก่อกำแพงและไม่รู้ว่าจะต้อง delete ความรู้สึกออกไปยังไงน้องเล่าให้คุณแม่ฟังทั้งน้ำตา เป็นสิบปีที่คุณแม่ไม่เคยเห็นน้องร้องไห้เลยความรู้สึกคนเป็นแม่ที่ไม่ได้เคียงข้างลูกในวันที่ลูกเจ็บปวดมันจุกอกแบบบอกไม่ถูกเลยค่ะ 

พอกลับจากทะเลคุณแม่ก็ได้คุยกับคุณพ่อว่าเกิดเรื่องเช่นนี้จริงไหม คุณพ่อเองก็แอบตกใจที่คุณแม่รู้ คุณแม่ไม่ได้โกรธที่คุณพ่อทำน้องแต่โกรธที่ไม่บอกอะไรเลย จนปัญหามันบานปลายยากที่จะแก้ น้องต้องจมอยู่กับความรู้สึกแบบนั้นไปอีกนานแค่ไหนถ้าน้องไม่ตัดสินใจเล่า คุณแม่ก็ขอให้คุณพ่อกับน้องเปิดใจคุยกัน ถึงแม้ว่าไม่ได้ดีขึ้นมากแต่ก็ได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่อง ปมที่อยู่ในใจน้องก็คลายออกได้บ้าง น้องอาจจะยังไม่พร้อมที่จะทำลายกำแพงแต่ก็ไม่ก่อกำแพงให้สูงไปกว่าเดิม คุณแม่เองก็ไม่ได้คิดจะทำลายกำแพงของน้องแต่จะอยู่ให้น้องเปิดประตูออกมาด้วยตัวเองซึ่งก็คงต้องใช้เวลา

ไม่รู้ว่าเจเดนพูดอย่างไรน้องถึงยอมเปิดใจเล่าให้คุณแม่ฟัง แต่ก็ต้องขอบคุณเจเดนที่ทำให้เจอถึงต้นเหตุของปัญหานี้ กระทู้ในวันนี้อาจจะยาวไปสักนิดแต่คงจะเป็นกระทู้สุดท้ายของคุณแม่แล้วค่ะ ขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านและให้คำแนะนำในทุก ๆ กระทู้ของคุณแม่นะคะ ขอบคุณทุกคนมาก ๆจริง ๆ ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่