ในวันที่เราสอบไม่ติดหมอ

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกในพันทิปของเราถ้าผิดพลาดอะไรก็ขอโทษด้วยนะคะ

เราอยากเป็นหมอค่ะ อยากเป็นมาตลอดตั้งแต่จำความได้และไม่เคยเปลี่ยนความคิดเลยค่ะ จนกระทั่งเมื่อปี 65 คะแนน A-level เราไม่ผ่านเกณฑ์กสพท.ค่ะ เพราะว่าเราทำคะแนนเคมีได้ไม่ดีเอาเสียเลย

ที่จริง เราก็พอรู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะตอนม.ปลายเราไม่เข้าใจอะไรในเนื้อหาวิชาเคมีเลยค่ะ ด้วยช่วงนั้นโควิดเพิ่งมาใหม่ ๆ เรียน Zoom ของที่โรงเรียนไม่เข้าใจเลยค่ะ ตอนนั้นพวกที่เรียนพิเศษก็ยังไม่ได้ปรับมาเป็นออนไลน์กันสักเท่าไหร่ด้วย พออะไร ๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง เราก็รู้สึกว่ามันลนไปหมด เรียนอะไรแบบเร่ง ๆ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลยค่ะ

ตอนที่รู้ว่าไม่ได้หมอแล้วเรารู้สึกว่าหัวมันตื้อไปหมดเลยค่ะ เราไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อ เราไม่มีความสนใจในคณะหรือสายอาชีพอื่น ๆ เลยค่ะ แล้วก่อนหน้านั้นไม่กี่วันพ่อก็เพิ่งโกรธน้องไปเรื่องที่น้องสอบไม่ติดม.ต้นโรงเรียนสตรีวิทย์ จนตอนที่ผลสอบเราออกพ่อก็ยังโกรธน้องอยู่เลยค่ะ

ต้องเท้าความก่อนว่าพ่อเราเป็นคนหัวโบราณ เคร่ง จริงจัง และเป็นคนประหยัดมากค่ะ ตั้งแต่เด็กพ่อเราต่อต้านสิ่งบันเทิงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพลง หนัง การ์ตูน ซีรีย์ ละคร นิยาย เกม การไปเที่ยว ฯลฯ อะไรก็ตามที่มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และเสียเงินพ่อจะไม่ให้ทำเลยค่ะ ตั้งแต่เด็กเราเลยตามอะไรที่เพื่อนคุยกันไม่ทันเลยค่ะ เพื่อนดูอะไร ปิดเทอมไปเที่ยวไหนมาอะไรแบบนี้ พ่อเรามองว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระที่ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ค่ะ เขาบอกอยู่ตลอดว่าบ้านเราไม่ได้มีเงินมาก ขยับไปเที่ยวไหนก็เสียเงินเป็นหมื่น สิ่งเดียวที่พ่อเราจ่ายได้มีแค่เรื่องบ้านกับเรื่องเรียนเท่านั้นค่ะ

เรามีน้องสาว 2 คน อายุห่างกับเรา 4 ปีกับ 8 ปี น้องคนเล็กของเราเป็นคนที่แตกต่างจากคนในบ้านมากค่ะ น้องไม่ค่อยตามพ่อแม่สักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเป็นเด็กเจนอัลฟ่าและเป็นลูกคนเล็กด้วยเลยถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ อยากได้อะไรต้องได้ต่างจากเรามากเลยค่ะ น้องเราขออะไรพ่อแม่ก็ได้ตลอด อย่างขอเล่นโรลเลอร์เบลดที่เราเคยขอพ่อมาตลอดและไม่เคยได้เพราะพ่อมองว่าเสียเวลาและอันตรายแต่น้องขอได้ภายในอาทิตย์เดียว การขอไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่เราไม่เคยได้รับอนุญาต หรือแม้กระทั่งการขอมีสมาร์ทโฟนตั้งแต่อยู่ประถมทั้งที่เราเพิ่งมีสมาร์ทโฟนของตัวเองครั้งแรกตอนม.ปลายไปแล้ว

เราถามที่บ้านเหมือนกันว่าทำไมยอมให้น้องง่าย ๆ ไปหมด เขาก็บอกว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่อยากให้น้องโตมาเป็นเหมือนเราที่ตามอะไรในสังคมไม่ทัน ไม่มีเพื่อน ไม่กล้าแสดงออก เราก็เข้าใจได้เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ

พอน้องคนรองจะไปลองสอบเข้าม.ปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดม น้องคนเล็กเราก็จะเอาด้วยเพราะไม่อยากอยู่โรงเรียนเก่าคนเดียว แต่วันสอบของม.ต้นมันชนกับวันมอบตัวของโรงเรียนเก่า เท่ากับว่าถ้าสอบไม่ติดต้องเสียค่าแลกเข้าโรงเรียนใหม่ค่ะ พ่อเลยให้น้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าค่ะ และถามอยู่ตลอดว่ามั่นใจไหมว่าจะติด ถ้าไม่มั่นใจก็อยู่โรงเรียนเดิมไปจนจบม.6 ถ้าสอบไม่ติดขึ้นมาพ่อจะให้ไปเรียนโรงเรียนวัด (น้องเราเรียนโรงเรียนราชินีบน) แต่เราก็ยังยืนยันว่าจะไปสอบ

แต่น้องเราไม่เอาเรื่องเรียนเลยค่ะ วัน ๆ อยู่แต่กับหน้าจอไอแพด หน้าจอมือถือ คุยกับเพื่อนเป็นชั่วโมง ๆ ตอนกลางคืนก็แอบคลุมโปงเล่นมือถือ ที่บ้านไม่รู้จะทำยังไงกับน้องแล้วค่ะ พยายามถามทุกวันว่าเรียนบ้างไหม แบบนี้ไม่ติดหรอก ไม่ต้องไปสอบดีกว่า แต่น้องยืนยันว่าติด จะไปสอบค่ะ และผลที่ออกมาก็ไม่ติดจริง ๆ ค่ะ พ่อโกรธมาก เพราะเขาเตือนแล้วแต่น้องก็ยังจะไม่สอบและจะเอาน้องเข้าโรงเรียนวัดจริง ๆ จนแม่กับย่าร้องไห้สงสารน้องอย่าให้น้องไปอยู่โรงเรียนวัดแถวบ้านนะ ไม่ใช่ว่าโรงเรียนวัดไม่ดีหรอกนะคะ แต่แม่กับย่ามีความคิดว่าโรงเรียนวัดมันไม่มีแอร์ ไม่มีข้าวกลางวันให้ น้องที่สบายมาตลอดชีวิตอยู่ไม่ได้หรอก เราก็งง แล้วจะให้เสียค่าแลกเข้าใหม่เหรอ (ค่าแรกเข้าหลักแสนค่ะ) สุดท้ายย่าบอกจะจ่ายให้น้องเองเรื่องเลยจบ แม้ว่าพ่อจะโกรธมาก ๆ
เราไม่ชอบการตัดสินใจของแม่กับย่าเลย แม่บอกว่าแม่กลัวเหตุการณ์นี้จะเกิดซ้ำมากเพราะผลสอบเรากำลังจะออกหลังจากนี้ไม่กี่วัน แม่ไม่รู้ว่าพ่อจะเป็นยังไงเลยถ้าคะแนนไม่ติดหมออย่างที่หวัง

เราเครียดมากค่ะ เรากลัวผลคะแนนที่จะออกมา กลัวว่าสิ่งที่ทำมาตลอดมันจะไร้ความหมาย และก็ใช่ค่ะ เราสอบไม่ติดค่ะ ตอนนั้นคือเราคิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ เราไม่เคยนึกถึงเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลยค่ะ แต่ที่เรากลัวที่สุดคือความรู้สึกพ่อค่ะ เรากลัวเขาเสียใจ กลัวเขาผิดหวัง เขาเสียเงินค่าเรียนพิเศษให้เรามากมายทั้งที่เขาประหยัดเงินขนาดนั้น เราไม่กลัวที่พ่อจะโกรธ ดุเรา ด่าเรา เรากลัวแค่ว่าเขาจะเสียใจ

แต่พ่อในวันนั้นไม่ได้เป็นเหมือนที่ที่บ้านกลัวเลยค่ะ พ่อบอกไม่เป็นไร เราพยายามที่สุดแล้ว ผลจะออกมายังไงพ่อก็ไม่ว่า ตอนนั้นเราร้องไห้หนักมากค่ะแต่ก็ร้องได้ไม่นานเพราะต้องมาวางแผนชีวิตต่อ

คะแนนของเราไม่ถึงหมอแต่โชคดีที่การสอบหลาย ๆ วิชาไว้ทำให้เราสามารถเลือกคณะได้หลากหลายค่ะ เราไม่มีคณะอะไรในใจ พ่อแม่จึงเลือกเอาคณะที่จบมาแล้วมีงานมั่นคงทำและเน้นมหาลัยที่อยู่ในกรุงเทพ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องไปไหนไกลบ้าน ไม่ต้องไปอยู่หอ มีเวลาอ่านหนังสือสอบซิ่วหมออีกครั้ง (เราอยากซิ่วเอง ไม่ได้มีใครบังคับ) พ่อกับแม่เลือกเป็นสัตวแพทย์ จิตวิทยา บัญชี นิติศาสตร์ค่ะ และเราก็ติดนิติศาสตร์ภาคพิเศษของมศวค่ะ

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่ามศวมีนิติศาสตร์ด้วย เราเองก็ไม่รู้ค่ะ คนที่เลือกคือแม่ ที่มศวเพิ่งเปิดภาควิชานิติศาสตร์ได้ไม่นาน เราเข้าไปเป็นปี 4 รุ่นแรกของภาคค่ะ แม่เลือกให้เรียนเป็นภาคพิเศษที่เรียนตอนเย็นค่ะ ตอนเช้าจะได้เอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบซิ่วหมอปี 66 ต่อ

เราไปเรียนด้วยความรู้สึกเตรียมซิ่วตลอดค่ะ เราแทบไม่ได้ตั้งใจเรียนในมหาลัยเลย เพื่อนก็ไม่ค่อยได้คบ ตอนสอบก็ใช้ความรู้ที่ได้มาจากพ่อเอาตัวรอดไปค่ะ (พ่อเราเป็นนักกฎหมาย และเขามักเอาเนื้อหากฎหมายมาคุยที่บ้านตลอด เราเลยคุ้นชินกับตัวบทกฎหมายหลายตัว เอาตัวรอดจากการสอบได้แบบงง ๆ เกรดไม่เคยต่ำกว่า C ค่ะ)

ตั้งแต่นั้นชีวิตของเราเลยไม่ตรงกับที่บ้านอีกเลยค่ะ เราอ่านหนังสือคนเดียวที่บ้านในช่วงเช้า พอบ่ายสามก็ออกจากบ้านไปมหาลัย เรียนที่มหาลัยตั้งแต่ 17:30-21:20 ค่ะ ใช่ค่ะ เลิกดึกมาก จะให้ที่บ้านมารับก็ไม่ได้เพราะแถวอโศกรถติดมากค่ะ MRT อโศกคนก็แน่นมาก ต้องรอรถ 2-3 คันถึงจะพอเบียดเข้าไปได้ค่ะ กลับถึงบ้านอย่างน้อย ๆ ก็เกือบเที่ยงคืนทุกวันเลยค่ะ ถ้าพ่อแม่ไม่ได้อยู่รอรับเราที่สถานีแถวบ้านก็คือจะไม่ได้เจอหน้าใครเลยค่ะ เพราะตารางชีวิตต่างกันมาก สุขภาพเราก็เริ่มแย่ค่ะ กินอาหารไม่ตรงเวลา นอนไม่ตรงเวลา จนเป็นโรคกระเพาะเลยค่ะ จนเรากับครอบครัวตั้งใจเด็ดขาดว่าต่อให้คราวนี้คะแนนยังไม่ถึงหมออีก ยังไงก็ต้องย้ายออกจากที่นี่ค่ะ

และในปี 67 เราก็คะแนนไม่ถึงหมออยู่ดีค่ะ อาจจะเพราะความเครียดด้วย แต่เราก็ติดคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แบบที่วางแผนไว้ค่ะ ย้ายมาที่เกษตรฯ ข้อดีก็คือเดินทางง่ายมากค่ะ นั่งรถเมล์จากบ้านมาที่มหาลัยใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีค่ะ เร็วสุดบางวันนอนเพลิน ตื่นมาเหลือเวลาแค 15 นาทีก่อนเริ่มเรียนก็ไปทันฉิวเฉียดค่ะ

สอบคราวนี้แม่ให้เราเน้นทำโจทย์อย่างเดียวค่ะ แต่เราไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย เริ่มรู้ตัวว่าพื้นฐานเราไม่แน่น เวลาสอบก็กระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ และบวกกับความเครียดที่คราวนี้เราจะเรียนนิติแบบปล่อยจอยเหมือนที่เดิมไม่ได้แล้วเพราะนี่เป็นการซิ่วครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าคราวนี้ไม่ติดอีกก็ต้องเรียนนิติที่นี่ให้จบค่ะ ดังนั้นคะแนนเราต้องดี อาจจะเพราะความเครียดที่ต้องเอาทั้ง 2 ทาง สุดท้ายผลคะแนนที่ออกมาเลยแย่แบบที่ยื่นคณะอะไรแทบไม่ได้เลยค่ะ คะแนนที่ดูดีมีแค่วิชา ชีวะ อังกฤษ ภาษาไทย สังคมค่ะ ในขณะที่เลขกับฟิสิกส์ดิ่งลงเหว

แต่พ่อกับแม่ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ เขาบอกว่าเราพยายามแล้ว มันอาจไม่ใช่ทางของเรา ไม่ได้เป็นหมอไม่ได้แปลว่าเราผิดพลาด แต่เรารู้สึกโหวงไปหมดเลยค่ะ
เราเสียดายเวลาชีวิตที่ผ่านมาค่ะ เราอยู่แต่กับเรื่องเรียนมาตลอดเพื่อที่จะสอบเข้าคณะแพทย์ แต่ตอนนี้เราต้องมาเรียนนิติที่เราไม่เคยใช้ความพยายามอะไรกับมันเลยแต่ดันได้ดีตลอด อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าถ้าสุดท้ายชีวิตเราจะมาทางนี้ทำไมเราต้องเสียเงินเสียเวลามากมายไปกับการเรียน

เรามองไม่เห็นภาพอนาคตของตัวเองเลยค่ะ รู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่เป็นเหมือนที่คิดเลยสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่เรียนนิติมันก็ไม่ได้แย่เลย

เราไม่อยากเป็นแบบนี้เลย เอาแต่ยึดติดกับความผิดพลาด ทุกวันนี้ไม่รู้สึกอยากทำอะไรเลยค่ะ เราควรทำยังไงดีคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่