สวัสดีค่ะ กระทู้นี้ อยากจะมาแบ่งปันการศึกษาในมุมมองของเรา แล้วก็อยากให้เพื่อนๆพี่ๆ มาแบ่งปันเส้นทางการศึกษากันนะคะว่า รู้สึกยังไงกับเส้นทางการเรียนของตัวเอง
เริ่มจากตั้งแต่มัธยมค่ะ หลังจากจบประถม6 จากโรงเรียนเอกชนทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ของเราส่งไปเรียนพิเศษเยอะมาก เพื่อที่จะได้สอบเข้าโรงเรียนรัฐ มัธยม ที่มีชื่อเสียงและสอบยากหลายแห่ง ส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบการแข่งขันตั้งแต่นั้นมา แต่ในความเป็นจริงตอนนั้น ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องแหกตาตื่นเช้ามาใน weekend ที่ควรจะได้พัก ไปเรียนพิเศษทั้งวัน ได้เรียนแต่อะไรที่ไม่ชอบ ทั้งยากและไม่เข้าใจ จนสุดท้ายเราเรียนไม่ไหวเพราะไม่ได้หัวดีด้วยแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบเรียนวิชาอะไรมั้ย พยายามบอกพ่อแม่อยากเลิกเรียน แต่ก็โดนบังคับให้อดทนจนหมดคอร์ส สรุปเราสอบเข้าโรงเรียนนั้นไม่ได้ แต่ไปได้ที่ที่นึงที่ชื่อเสียงอาจจะไม่ดีมากในตอนนั้น เพราะพึ่งย้ายมาเปิดใหม่แถวบ้าน แต่เป็นโรงเรียนรัฐมัธยมทั่วไปนี่แหละค่ะ เกรดม.1-2 เราไม่ดีเลย แย่มาก เกรด 1 ก็มี จนแม่ส่งไปเรียนพิเศษอีกรอบนึง แต่รอบนี่เรียนเป็นรายวิชา อังกฤษ-คณิต ทำให้เกรด2วิชานั้นของเรา ดีขึ้นแบบกระโดดจนจบมัธยมต้น (เกริ่นก่อนว่า ตลอดมัธยมต้น มีวิชาแนะแนวที่ครูจะสอนเรื่องข้อมูลการเข้ามหาลัยตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งปวดหัวมากกกก จำใจทำงานส่งเช่น พอร์ต แต่เราไม่ชอบเลย ไม่รู้เป็นคนเดียวมั้ย เพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กกิจกรรมจะหาผลงานก็ยากแน่ๆ) ต่อค่ะ เกรดที่ดีขึ้นทำให้พ่อแม่ใจดีกับเราขึ้นมาบ้างค่ะ ยอมรับฟังความต้องการของเราบ้าง เราต่อมัธยมปลายที่เดิมเลือกสาย ศิลป์-คำนวณ เพราะเป็นวิชาที่เราทำเกรดได้ดีที่สุดและรู้สึกว่าเรียนแล้วก็ไม่แย่ ไม่ถึงกับชอบแต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ ดีกว่าวิทย์เคมีชีวะหรือสังคม เกรดก็ดีขึ้นเรื่อยๆเพราะยังเรียนพิเศษที่เดิมอยู่ จนมาถึง
ช่วงโควิด
เราได้เรียนที่โรงเรียนแค่ ม.4 เทอม1 ได้เล่นกับเพื่อนห้องใหม่แค่เทอมเดียว พอเทอม2 ก็เริ่มมีข่าวโควิด โรงเรียนให้สลับ on-site online ครึ่งห้อง เราอดทนเรียนจนขึ้นม.5 เทอม1 ทีนี่เรียนออนไลน์ทั้งห้อง เพราะโควิดแรงมากๆตอนนั้น ทีนี้ก็ปวดหัวเลย เรียนไม่รู้เรื่อง เน็ตหลุด เน็ตช้า เสียงสะดุด ระบบมันยังไม่เสถียร บวกกับช่วงมัธยมปลายทุกคนต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัยกันแล้ว ข้อมูลเส้นทางเข้ามหาลัย วิชาแนะแนวก็เข้มข้นเรื่อยๆ ต้องมานั่งเรียนระบบ ต้องสอบอะไรบ้าง สมัครยังไง คือมันเยอะมากค่ะตอนนั้นเราปวดหัวมากๆ เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบทางนี่เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงแต่เราไม่ชอบเลย มันดูวุ่นวายจังเลย ท้อ เหนื่อย ที่เราต้องมาทำแบบนี่จริงๆหรอ ต้องเลือกคณะแล้วหรอ แต่เรายังไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น รู้แค่ว่าชีวิตนี้ต้องไปเรียนพิเศษ ไม่รู้ว่าชอบอะไรเลย จนสุดท้ายได้ไปรู้จักสอบเทียบ GED เราตัดสินใจสอบเลย ช่วงนั้นม.5 เรียนออนไลน์มีเวลาว่างบ้าง เพราะเราก็แอบโดดไม่เข้า zoom ไปนั่งอ่านหนังสือ 555 เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าเราสอบ GED มาเราอาจจะได้ไปเรียนที่ตปท หรือถ้าในไทย เราก็มีเวลาอ่านหนังสือสอบเยอะกว่าเพื่อนๆ ช่วงนั้นเราโดนทั้งเพื่อนดูถูก ทั้งครูดูถูก ไม่มีใครเห็นด้วยกับเรา ไม่มีใคร support ความคิดเราเลยนอกว่าพ่อกับแม่ ปกติแล้วพวกท่านไม่ใช่คนหัวโบราณเปิดรับทุกอย่าง แต่เขาไม่ค่อยมีความรู้เยอะค่ะ เลยรู้แค่ว่าเรียนต้องเก่งสอบเข้าได้ที่ดังๆแค่นั้น เราดีใจมากที่ได้เห็นมุมมองของพ่อแม่ที่เขาเปิดใจรับฟังเรื่องสอบเทียบของเรา เราตั้งใจภายใน3-4เดือน เราสอบเทียบได้วุฒิ GED มาแล้วตอนนั้นจบ เทอม1 พอดี เราไปฉีดวัคซีนโควิดที่โรงเรียนมีให้ สอบกับเขียนใบลาออก วันนั้นภูมิใจในตัวเองมากๆ กลายเป็นลูกรักผอ.แบบงงๆ แต่อาจารย์ก็ยังยิ้ม(ดูถูก)เราอยู่ดีค่ะ แต่เราไม่สนใจ แฮ่
มหาลัย
ช่วงอ่านสอบเทียบ เราก็หาที่เรียนไปด้วย มีมหาลัยไทยด้วยนะคะ แต่คิดว่าตัวเองคงไม่ไหวกับการวิ่งสอบแน่นอน เราพอมีต้นทุนที่ให้เรามีสิทธิ์เลือกบ้างงั้นเราขอเลือกทางอื่น จะไปสิงคโปร์ดีมั้ย แต่มันต้องใช้เงินเป็นก้อนๆใหญ่ บ้านเราไม่ได้มีขนาดนั้น สงสารคุณพ่อมากค่ะ แต่อีกมุมเราก็สงสารตัวเองเหมือนกัน หัวเราไม่ดีเลย สรุปมาเจอที่นึงพอดีค่ะ เป็นปริญญา2+1 เรียนในไทย2ปี ไปต่ออังกฤษแค่ปีเดียว คือปีสุดท้าย ได้รับปริญญาที่นั่น เหมือนเรียนมาตั้งแต่ปี1 เราสนใจมาก แต่ๆๆ!!! มันดันมีแค่การโรงแรม-บริหารน่ะสิ เด็กเป็ด 100% เพราะถึงเราจะสอบเทียบมาจะเข้ามหาลัย เราก็ยังไม่รู้ว่าเราชอบอะไรกันแน่ แค่รู้ว่าเรียนอังกฤษรอดก็ไปอินเตอร์เลยแล้วกัน โอเคดูค่าเทอมแล้ว สูงจริงๆ แต่มันแบ่งจ่ายเป็นงวดย่อยๆ เรานำไปเสนอพ่อว่าไหวมั้ย พ่อบอกโอเคร ตอนนั้นดีใจมากกก ชั้นหลุดพ้นแล้วโว้ยยยยย แต่พ่อบ่นเรื่องค่าเทอมทุกครั้งที่ต้องจ่าย อย่างที่ว่า ถึงเรามีต้นทุนบ้างแต่เราไม่ได้มีขนาดนั้น ฐานะปานกลางค่ะ เข้ามาเรียนปรับพื้นฐาน เราเจอเพื่อนสังคมใหม่ ที่ค่อนข้างที่ฐานะ เรากดดันมากค่ะ นิสัยการใช้ชีวิตเขาไม่เหมือนเด็กรัฐแบบเราเท่สไหร่TT เราปรึกษาเรื่องแบบนี้กับพ่อตลอด แต่พ่อบอกดีใจเราจะได้อัพระดับชีวิตเราด้วย แล้วเราก็อัพขึ้นมาจริงๆค่ะ ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยนะคะ แต่เป็นเรื่องความคิดทัศนคติรวมถึงภาพลักษณ์และหน้าตาทางสังคม แต่เราไม่ได้เลือกคบกับกลุ่มเพื่อนที่มีดอบติดแกรมหน่อยๆหรือฟุ่มเฟือย(ในมุมมองเรา)นะคะ ช่วงเปิดเทอมเราโชคดีที่มีเพื่อนคนใหม่ๆมาเพิ่ม เราได้เจอเพื่อนที่ฐานะดีค่ะแต่นิสัยเข้ากับเราได้ พาเราไปในทางที่ดีขึ้น ตั้งการแต่งตัวการใช้ชีวิตแต่ก็พากันประหยัดไปด้วย สรุปตั้งแต่วันนั้นที่เราเข้ามาเรียน เราอยู่ไทยมาเกือบๆ3ปีได้ เพราะต่อปีสุดท้าย ใช้ทุนพอสมควรค่ะ เราสงสารพ่อที่จะตัองทำงานหนักเกินไป เราเลยค่อยๆเรียน ไม่รีบบอกให้คุณพ่อเตรียมเงินไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เราจบได้ diploma 2ปีในไทยแล้ว พร้อมกับเกรดที่สามารถขอทุนค่าเทอมมหาลัยหนึ่งใน uk ได้ 20% (แค่นั้นก็ดีใจมากแล้ว TT ) ตอนนี้เรากำลังรอไปเรียนปีสุดท้ายทำให่พ่อภูมิใจภายในปีนี้ค่ะ
สุดท้ายแล้ว เราก็ยังภูมิใจในตัวเองมากๆ ระยะเวลาที่เรียนนั้นเรามีภาวะซึมเศร้าช่วงนึงค่ะ ช่วงนั้นพึ่งเลิกกับแฟนด้วย แต่เราว่ามันไม่ใช่สาเหตุขนาดนั้น มันเป็นเพราะ เรากดดันตัวเองมากๆ เพื่อนๆหลายคน จบอินเตอร์ มาจากนอก เรื่องภาษาแบบเด็กรัฐอย่างเราอ่อนมาก เราน้อยใจตัวเองมากๆค่ะ ที่ว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่คิดว่ายังไม่ดี เราไม่ใช่คนขยันด้วย แค่เป็นคนเรื่อยๆไหลตามไปกับน้ำ แต่ก็ยังกดดันตัวเองมากๆจนเครียด เราพบจิตแพทย์ทุกเดือน มาตั้งแต่สิ้นปีก่อน แต่ตอนนี้เราดีขึ้นเรื่อยๆแล้วค่ะ เพราะว่าเราผ่านทุกวิชาจนได้ diploma มาแล้ว เลยภูมิใจในตัวเองมากๆค่ะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ถึงตอนนี้เราจะไม่รู้ว่าเส้นทางที่เราเลือกมันใช่มั้ยดีกับเราไหม แต่เราก็ยังภูมิใจดีใจกับทุกๆอย่างที่เราเลือกมาให้กับตัวเอง เราคิดแค่นี้ เพียงแต่อย่ากดดันกับตัวเองมากเกินไปเลยนะคะ เราทำเต็มที่แล้ว มันจะได้แค่ไหน คนอื่นจะดีกว่าเราแค่ไหน อย่าเอามากดดันให้ตัวเองรู้สึกแย่เลยค่ะ เรียกว่า ผลักดันดีกว่า อย่างน้อยเราเองก็ไม่เครียดด้วย
Contact สำหรับคุยกันหลังไมค์นะคะ เพราะเรื่องมหาลับเราซับซ้อนมากค่ะ ใครอยากถาม id line : boatmy
ชีวิตเด็กเป็ด เลือกเส้นทางยังไง เมื่อไม่อยากเข้าระบบ admission การศึกษาไทย
เริ่มจากตั้งแต่มัธยมค่ะ หลังจากจบประถม6 จากโรงเรียนเอกชนทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ของเราส่งไปเรียนพิเศษเยอะมาก เพื่อที่จะได้สอบเข้าโรงเรียนรัฐ มัธยม ที่มีชื่อเสียงและสอบยากหลายแห่ง ส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบการแข่งขันตั้งแต่นั้นมา แต่ในความเป็นจริงตอนนั้น ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องแหกตาตื่นเช้ามาใน weekend ที่ควรจะได้พัก ไปเรียนพิเศษทั้งวัน ได้เรียนแต่อะไรที่ไม่ชอบ ทั้งยากและไม่เข้าใจ จนสุดท้ายเราเรียนไม่ไหวเพราะไม่ได้หัวดีด้วยแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบเรียนวิชาอะไรมั้ย พยายามบอกพ่อแม่อยากเลิกเรียน แต่ก็โดนบังคับให้อดทนจนหมดคอร์ส สรุปเราสอบเข้าโรงเรียนนั้นไม่ได้ แต่ไปได้ที่ที่นึงที่ชื่อเสียงอาจจะไม่ดีมากในตอนนั้น เพราะพึ่งย้ายมาเปิดใหม่แถวบ้าน แต่เป็นโรงเรียนรัฐมัธยมทั่วไปนี่แหละค่ะ เกรดม.1-2 เราไม่ดีเลย แย่มาก เกรด 1 ก็มี จนแม่ส่งไปเรียนพิเศษอีกรอบนึง แต่รอบนี่เรียนเป็นรายวิชา อังกฤษ-คณิต ทำให้เกรด2วิชานั้นของเรา ดีขึ้นแบบกระโดดจนจบมัธยมต้น (เกริ่นก่อนว่า ตลอดมัธยมต้น มีวิชาแนะแนวที่ครูจะสอนเรื่องข้อมูลการเข้ามหาลัยตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งปวดหัวมากกกก จำใจทำงานส่งเช่น พอร์ต แต่เราไม่ชอบเลย ไม่รู้เป็นคนเดียวมั้ย เพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กกิจกรรมจะหาผลงานก็ยากแน่ๆ) ต่อค่ะ เกรดที่ดีขึ้นทำให้พ่อแม่ใจดีกับเราขึ้นมาบ้างค่ะ ยอมรับฟังความต้องการของเราบ้าง เราต่อมัธยมปลายที่เดิมเลือกสาย ศิลป์-คำนวณ เพราะเป็นวิชาที่เราทำเกรดได้ดีที่สุดและรู้สึกว่าเรียนแล้วก็ไม่แย่ ไม่ถึงกับชอบแต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ ดีกว่าวิทย์เคมีชีวะหรือสังคม เกรดก็ดีขึ้นเรื่อยๆเพราะยังเรียนพิเศษที่เดิมอยู่ จนมาถึง
ช่วงโควิด
เราได้เรียนที่โรงเรียนแค่ ม.4 เทอม1 ได้เล่นกับเพื่อนห้องใหม่แค่เทอมเดียว พอเทอม2 ก็เริ่มมีข่าวโควิด โรงเรียนให้สลับ on-site online ครึ่งห้อง เราอดทนเรียนจนขึ้นม.5 เทอม1 ทีนี่เรียนออนไลน์ทั้งห้อง เพราะโควิดแรงมากๆตอนนั้น ทีนี้ก็ปวดหัวเลย เรียนไม่รู้เรื่อง เน็ตหลุด เน็ตช้า เสียงสะดุด ระบบมันยังไม่เสถียร บวกกับช่วงมัธยมปลายทุกคนต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัยกันแล้ว ข้อมูลเส้นทางเข้ามหาลัย วิชาแนะแนวก็เข้มข้นเรื่อยๆ ต้องมานั่งเรียนระบบ ต้องสอบอะไรบ้าง สมัครยังไง คือมันเยอะมากค่ะตอนนั้นเราปวดหัวมากๆ เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบทางนี่เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงแต่เราไม่ชอบเลย มันดูวุ่นวายจังเลย ท้อ เหนื่อย ที่เราต้องมาทำแบบนี่จริงๆหรอ ต้องเลือกคณะแล้วหรอ แต่เรายังไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น รู้แค่ว่าชีวิตนี้ต้องไปเรียนพิเศษ ไม่รู้ว่าชอบอะไรเลย จนสุดท้ายได้ไปรู้จักสอบเทียบ GED เราตัดสินใจสอบเลย ช่วงนั้นม.5 เรียนออนไลน์มีเวลาว่างบ้าง เพราะเราก็แอบโดดไม่เข้า zoom ไปนั่งอ่านหนังสือ 555 เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าเราสอบ GED มาเราอาจจะได้ไปเรียนที่ตปท หรือถ้าในไทย เราก็มีเวลาอ่านหนังสือสอบเยอะกว่าเพื่อนๆ ช่วงนั้นเราโดนทั้งเพื่อนดูถูก ทั้งครูดูถูก ไม่มีใครเห็นด้วยกับเรา ไม่มีใคร support ความคิดเราเลยนอกว่าพ่อกับแม่ ปกติแล้วพวกท่านไม่ใช่คนหัวโบราณเปิดรับทุกอย่าง แต่เขาไม่ค่อยมีความรู้เยอะค่ะ เลยรู้แค่ว่าเรียนต้องเก่งสอบเข้าได้ที่ดังๆแค่นั้น เราดีใจมากที่ได้เห็นมุมมองของพ่อแม่ที่เขาเปิดใจรับฟังเรื่องสอบเทียบของเรา เราตั้งใจภายใน3-4เดือน เราสอบเทียบได้วุฒิ GED มาแล้วตอนนั้นจบ เทอม1 พอดี เราไปฉีดวัคซีนโควิดที่โรงเรียนมีให้ สอบกับเขียนใบลาออก วันนั้นภูมิใจในตัวเองมากๆ กลายเป็นลูกรักผอ.แบบงงๆ แต่อาจารย์ก็ยังยิ้ม(ดูถูก)เราอยู่ดีค่ะ แต่เราไม่สนใจ แฮ่
มหาลัย
ช่วงอ่านสอบเทียบ เราก็หาที่เรียนไปด้วย มีมหาลัยไทยด้วยนะคะ แต่คิดว่าตัวเองคงไม่ไหวกับการวิ่งสอบแน่นอน เราพอมีต้นทุนที่ให้เรามีสิทธิ์เลือกบ้างงั้นเราขอเลือกทางอื่น จะไปสิงคโปร์ดีมั้ย แต่มันต้องใช้เงินเป็นก้อนๆใหญ่ บ้านเราไม่ได้มีขนาดนั้น สงสารคุณพ่อมากค่ะ แต่อีกมุมเราก็สงสารตัวเองเหมือนกัน หัวเราไม่ดีเลย สรุปมาเจอที่นึงพอดีค่ะ เป็นปริญญา2+1 เรียนในไทย2ปี ไปต่ออังกฤษแค่ปีเดียว คือปีสุดท้าย ได้รับปริญญาที่นั่น เหมือนเรียนมาตั้งแต่ปี1 เราสนใจมาก แต่ๆๆ!!! มันดันมีแค่การโรงแรม-บริหารน่ะสิ เด็กเป็ด 100% เพราะถึงเราจะสอบเทียบมาจะเข้ามหาลัย เราก็ยังไม่รู้ว่าเราชอบอะไรกันแน่ แค่รู้ว่าเรียนอังกฤษรอดก็ไปอินเตอร์เลยแล้วกัน โอเคดูค่าเทอมแล้ว สูงจริงๆ แต่มันแบ่งจ่ายเป็นงวดย่อยๆ เรานำไปเสนอพ่อว่าไหวมั้ย พ่อบอกโอเคร ตอนนั้นดีใจมากกก ชั้นหลุดพ้นแล้วโว้ยยยยย แต่พ่อบ่นเรื่องค่าเทอมทุกครั้งที่ต้องจ่าย อย่างที่ว่า ถึงเรามีต้นทุนบ้างแต่เราไม่ได้มีขนาดนั้น ฐานะปานกลางค่ะ เข้ามาเรียนปรับพื้นฐาน เราเจอเพื่อนสังคมใหม่ ที่ค่อนข้างที่ฐานะ เรากดดันมากค่ะ นิสัยการใช้ชีวิตเขาไม่เหมือนเด็กรัฐแบบเราเท่สไหร่TT เราปรึกษาเรื่องแบบนี้กับพ่อตลอด แต่พ่อบอกดีใจเราจะได้อัพระดับชีวิตเราด้วย แล้วเราก็อัพขึ้นมาจริงๆค่ะ ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยนะคะ แต่เป็นเรื่องความคิดทัศนคติรวมถึงภาพลักษณ์และหน้าตาทางสังคม แต่เราไม่ได้เลือกคบกับกลุ่มเพื่อนที่มีดอบติดแกรมหน่อยๆหรือฟุ่มเฟือย(ในมุมมองเรา)นะคะ ช่วงเปิดเทอมเราโชคดีที่มีเพื่อนคนใหม่ๆมาเพิ่ม เราได้เจอเพื่อนที่ฐานะดีค่ะแต่นิสัยเข้ากับเราได้ พาเราไปในทางที่ดีขึ้น ตั้งการแต่งตัวการใช้ชีวิตแต่ก็พากันประหยัดไปด้วย สรุปตั้งแต่วันนั้นที่เราเข้ามาเรียน เราอยู่ไทยมาเกือบๆ3ปีได้ เพราะต่อปีสุดท้าย ใช้ทุนพอสมควรค่ะ เราสงสารพ่อที่จะตัองทำงานหนักเกินไป เราเลยค่อยๆเรียน ไม่รีบบอกให้คุณพ่อเตรียมเงินไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เราจบได้ diploma 2ปีในไทยแล้ว พร้อมกับเกรดที่สามารถขอทุนค่าเทอมมหาลัยหนึ่งใน uk ได้ 20% (แค่นั้นก็ดีใจมากแล้ว TT ) ตอนนี้เรากำลังรอไปเรียนปีสุดท้ายทำให่พ่อภูมิใจภายในปีนี้ค่ะ
สุดท้ายแล้ว เราก็ยังภูมิใจในตัวเองมากๆ ระยะเวลาที่เรียนนั้นเรามีภาวะซึมเศร้าช่วงนึงค่ะ ช่วงนั้นพึ่งเลิกกับแฟนด้วย แต่เราว่ามันไม่ใช่สาเหตุขนาดนั้น มันเป็นเพราะ เรากดดันตัวเองมากๆ เพื่อนๆหลายคน จบอินเตอร์ มาจากนอก เรื่องภาษาแบบเด็กรัฐอย่างเราอ่อนมาก เราน้อยใจตัวเองมากๆค่ะ ที่ว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่คิดว่ายังไม่ดี เราไม่ใช่คนขยันด้วย แค่เป็นคนเรื่อยๆไหลตามไปกับน้ำ แต่ก็ยังกดดันตัวเองมากๆจนเครียด เราพบจิตแพทย์ทุกเดือน มาตั้งแต่สิ้นปีก่อน แต่ตอนนี้เราดีขึ้นเรื่อยๆแล้วค่ะ เพราะว่าเราผ่านทุกวิชาจนได้ diploma มาแล้ว เลยภูมิใจในตัวเองมากๆค่ะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ถึงตอนนี้เราจะไม่รู้ว่าเส้นทางที่เราเลือกมันใช่มั้ยดีกับเราไหม แต่เราก็ยังภูมิใจดีใจกับทุกๆอย่างที่เราเลือกมาให้กับตัวเอง เราคิดแค่นี้ เพียงแต่อย่ากดดันกับตัวเองมากเกินไปเลยนะคะ เราทำเต็มที่แล้ว มันจะได้แค่ไหน คนอื่นจะดีกว่าเราแค่ไหน อย่าเอามากดดันให้ตัวเองรู้สึกแย่เลยค่ะ เรียกว่า ผลักดันดีกว่า อย่างน้อยเราเองก็ไม่เครียดด้วย
Contact สำหรับคุยกันหลังไมค์นะคะ เพราะเรื่องมหาลับเราซับซ้อนมากค่ะ ใครอยากถาม id line : boatmy