คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เรื่อง "สยาม" พระนิพนธ์ของ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล
โดย จุลลดา ภักดีภูมินทร์
ฉบับที่ 2677 ปีที่ 52 ประจำวัน อังคาร ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549
ก็บังเอิญได้พบพระนิพนธ์ของ หม่อมเจ้า (หญิง) พูนพิศมัย ดิศกุล ท่านมิได้ทรงนิพนธ์เรื่อง "สยาม" โดยตรง หากแต่มีคำนี้อยู่ในเรื่องเมื่อเสียเขตแดนให้แก่ฝรั่งเศส และอังกฤษ อันเป็นพระนิพนธ์จากปาฐกถาของท่าน เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒
ในที่นี้ขอประทานเชิญมาเฉพาะตอนที่ต้องเสีย ๔ เมืองทางใต้ให้แก่อังกฤษ ซึ่งท่านทรงเล่าเรื่องราวอย่างฟังง่ายอ่านง่าย ดังนี้
"เหตุที่เสียเมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู และเมืองปาลิสไป ก็เพราะเมืองเหล่านี้อยู่ใกล้ทะเล ซึ่งอำนาจปืนเรือรบยิงถึง เรือรบมีอำนาจมากในสมัยนั้น เพราะยังไม่มีเรือบินอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง พ่อค้าอังกฤษรู้จักขายของเก่ง เจ้าผู้ครองนครต่างก็สนุกในการซื้อของเพลิดเพลินจนมีหนี้ วิธีใช้หนี้ของเขาในเวลานั้น ก็คือเก็บภาษีตามหมู่บ้านใช้ แต่ก็ไม่มีผล เมื่อหนี้มากขึ้น พ่อค้าก็จะล้มละลาย ต้องร้องเรียนแก่ทางกงสุลให้ช่วย เมื่อเรื่องถึงกงสุลก็กลายเป็นการเมืองไป กงสุลต้องเข้าดูว่า ทำไมจึงไม่มีเงินใช้หนี้ ลงท้ายก็คือ เพราะจัดการไม่ดี (คงหมายถึงจัดการเรื่องในบ้านเมืองโดยเฉพาะ เรื่องการเศรษฐกิจ ทำนองนั้น - จุลลดาฯ)
จนถึงวันหนึ่งราชทูตอังกฤษในเมืองไทย ก็ถือจดหมายของเจ้าผู้ครองนคร ๔ รัฐนี้ ถึงรัฐบาลอังกฤษ บอกว่าเต็มใจให้ให้อังกฤษปกครองทั้ง ๔ เมือง นำไปยื่นแก่เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศของเรา
เราควรจะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อเจ้าของท้องที่เขาขอไปเอง ส่วนการภายในเราก็ไม่ได้เข้าไปปกครอง นอกจาก ๓ ปี ก็ได้ราชบรรณาการครั้งหนึ่งเท่านั้น
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึง ทรงพระราชดำริว่า ไหน ๆ เราก็เอาไว้ไม่ได้ เมื่อจะเสียก็ขอให้ได้อะไรบ้างก็ยังดี จึงทรงขอให้แลกกับเอาคนในสัปเยก (บังคับ) ฝรั่งมาขึ้นศาลไทย เพราะการมีศาลกงสุลนั้นใน ๑๐๐ คดี เราจะได้ชนะสัก ๑ แพ้ ๙๙ คดีเสมอไป ทั้งเป็นเหตุให้ก่อการวิวาทอยู่เสมอด้วย
เมื่อตกลงกันแล้ว เขาก็เรียกให้เราออกไปสำรวจเขตแดน ซึ่งทางเขาขีดเส้นมาตามที่ราษฎรพูดภาษามลายูอยู่ รวมทั้งปัตตานี นราธิวาส ตากใบ และยะลา
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทยก็ทรงพิสูจน์ตามทางพงศาวดารว่า คนที่อยู่ใน ๔ เมืองนี้เป็นไทย รากวัดของไทยก็ยังมีอยู่ ที่เรียกกันว่า "พวกสามสาม" นั้นคือ "สยามอิสลาม" เมื่อพูดเร็วตามสำเนียงทางใต้จึงเป็น "สามสาม" พวกนี้ยังพูดไทยได้ทั้งนั้น เป็นแต่เมื่อไปอยู่ในแดนมลายู ก็เลยเป็นอิสลามไป อังกฤษก็ยอมตามนี้ ๔ เมืองนี้ จึงคงเป็นเมืองของพระราชอาณาจักรสยามจนบัดนี้"
หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงได้พระนามว่า "บิดาแห่งประวัติศาสตร์" เมื่อทรงกล่าวเริ่มปาฐกถา รับสั่งว่า "ได้ฟังมาจากพ่อ ซึ่งเป็นคนมีส่วนอยู่ในคดีต่าง ๆ เหล่านั้นด้วยคนหนึ่ง"
เรื่องหนี้สินของพวกเจ้านายเจ้าบ้านผ่านเมืองนี้ มิใช่แต่เฉพาะผู้ครองนครรัฐมลายู แม้พม่าเชียงใหม่ ก็โดนทวงหนี้จนกลายเป็นเรื่องการเมืองไป
เรื่องพม่าขอเว้นเสียไม่กล่าวถึง เพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพระราชอาณาจักรสยาม
แต่เรื่องเมืองเชียงใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับพระราชอาณาจักรสยามนั้น จวนแจไปทีเดียว
ที่จริงเรื่องหนี้สินนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนคร องค์ที่ ๖ พระเจ้าตาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี แต่พวกอังกฤษมาทวงหนี้เอาในสมัย พระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ (สะกดตามจารึกในพระสุพรรณบัฏ) เจ้าครองนคร องค์ที่ ๗ พระบิดาของพระราชชายาฯ
หนี้สินนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการซื้อของ หรือส่วนพระองค์ หากแต่เกิดจากการตัดสินคดีต่าง ๆ ระหว่างพวกพ่อค้าอังกฤษกับพวกค้าขายพื้นเมือง โดยพวกอังกฤษกล่าวหาว่า เมื่อครั้งพระเจ้ากาลิโลรส ท่านใช้อำนาจปรับ และรับทรัพย์สินของพวกเขาไป ร่วมด้วยกันหลายเรื่องหลายราย
(แต่ในระหว่างพระเจ้ากาวิโลรสครองนครอยู่คงเป็นอย่างที่ว่า "หือ" ไม่ขึ้น เพราะว่าที่จริงเรื่องคนในบังคับอังกฤษเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นฝ่ายรังแกก็คงมีอยู่ไม่น้อย พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์นั้นว่ากันว่า ท่านเป็นคนดุเด็ดขาด ผู้คนกลัวกันนักหนา เมื่อจะประหารชีวิตใคร มักอุทานออกมาว่า "อ้าว" คนโทษคนนั้นเป็นหัวขาด ชาวบ้านชาวเมืองจึงพากันเรียกท่านว่า "เจ้าชีวิตอ้าว" ด็อกเต้อร์ดาเนียล แมคกิลวารี ศาสนาจารย์คริสต์ศาสนา นิกายโปรเตสแตนต์ในเชียงใหม่ บันทึกถึงพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ไว้ว่า
"ท่าน เป็นเสมือนบิดาที่น่ารัก ถึงแม้ท่านจะมีน้ำพระทัยไม่แน่นอน ปรวนแปรตามอารมณ์บ่อย ๆ ก็ตามแต่ท่านก็ยังเป็นมิตรที่ประกอบไปด้วยความเมตตากรุณา ในการบริหารราชการของท่าน บ่อยครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนักปกครองที่ดีผู้หนึ่ง ท่านเป็นคนเฉียบขาดและเหี้ยมโหด ในสมัยที่ท่านครองเมือง ไม่มีการลักเล็กขโมยน้อยเลย"
สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ พวกอังกฤษและพวกใต้บังคับอังกฤษ "หือ" ไม่ขึ้นดังกล่าวแล้ว ครั้นพระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ เป็นเจ้าครองนคร ท่านเป็นลูกเขยของพระเจ้ากาวิโลรสฯ และว่ากันว่าเป็นคนอ่อน ๆ ไม่ดุเด็ดขาดเช่นเจ้าพ่อตา พวกในบังคับอังกฤษจึงกำเริบฟ้องร้องเจ้าผู้ครองนครองค์ก่อน และเจ้านายเมืองเชียงใหม่ หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้ รวมแล้วคดีฟ้องร้องถึง ๔๒ เรื่อง ตุลาการกรุงเทพฯตัดสินยกฟ้อง ๓๐ คดี อีก ๑๑ คดี ตัดสินให้เชียงใหม่จ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๗๒,๘๑๒ บาท เจ้าครองนครไม่มีเงินชำระหนี้เพียงพอ ขอผ่อนชำระ ฝ่ายกงสุลอังกฤษ คือ มิสเตอร์น้อกซ์ (Knox) นอกจากไม่ยอมแล้วยังมีท่าทีคุกคามลบหลู่พระเจ้าอินทรวิไชยานนท์
ถึงตรงนี้หากไม่ได้เงินชำระหนี้ เชียงใหม่ก็เห็นจะต้องเข้าตาจน ใช้สำนวนสมัยใหม่ไทยแกมฝรั่งตามความนิยมของสมัยนี้ ก็คงต้องว่า "เข้าล้อค" ของนายน้อกซ์กงสุลอังกฤษพอดี
พระบาทสมเด็จ พระพุทธเจ้าหลวง จึงโปรดฯให้พระคลังมหาสมบัติ ให้พระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ กู้เงินจำนวน ๓๑๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินของทางเชียงใหม่ ชำระหนี้ให้หมดสิ้นไป โดยทำสัญญาชำระคืนภายใน ๗ ปี
โดย จุลลดา ภักดีภูมินทร์
ฉบับที่ 2677 ปีที่ 52 ประจำวัน อังคาร ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549
ก็บังเอิญได้พบพระนิพนธ์ของ หม่อมเจ้า (หญิง) พูนพิศมัย ดิศกุล ท่านมิได้ทรงนิพนธ์เรื่อง "สยาม" โดยตรง หากแต่มีคำนี้อยู่ในเรื่องเมื่อเสียเขตแดนให้แก่ฝรั่งเศส และอังกฤษ อันเป็นพระนิพนธ์จากปาฐกถาของท่าน เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒
ในที่นี้ขอประทานเชิญมาเฉพาะตอนที่ต้องเสีย ๔ เมืองทางใต้ให้แก่อังกฤษ ซึ่งท่านทรงเล่าเรื่องราวอย่างฟังง่ายอ่านง่าย ดังนี้
"เหตุที่เสียเมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู และเมืองปาลิสไป ก็เพราะเมืองเหล่านี้อยู่ใกล้ทะเล ซึ่งอำนาจปืนเรือรบยิงถึง เรือรบมีอำนาจมากในสมัยนั้น เพราะยังไม่มีเรือบินอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง พ่อค้าอังกฤษรู้จักขายของเก่ง เจ้าผู้ครองนครต่างก็สนุกในการซื้อของเพลิดเพลินจนมีหนี้ วิธีใช้หนี้ของเขาในเวลานั้น ก็คือเก็บภาษีตามหมู่บ้านใช้ แต่ก็ไม่มีผล เมื่อหนี้มากขึ้น พ่อค้าก็จะล้มละลาย ต้องร้องเรียนแก่ทางกงสุลให้ช่วย เมื่อเรื่องถึงกงสุลก็กลายเป็นการเมืองไป กงสุลต้องเข้าดูว่า ทำไมจึงไม่มีเงินใช้หนี้ ลงท้ายก็คือ เพราะจัดการไม่ดี (คงหมายถึงจัดการเรื่องในบ้านเมืองโดยเฉพาะ เรื่องการเศรษฐกิจ ทำนองนั้น - จุลลดาฯ)
จนถึงวันหนึ่งราชทูตอังกฤษในเมืองไทย ก็ถือจดหมายของเจ้าผู้ครองนคร ๔ รัฐนี้ ถึงรัฐบาลอังกฤษ บอกว่าเต็มใจให้ให้อังกฤษปกครองทั้ง ๔ เมือง นำไปยื่นแก่เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศของเรา
เราควรจะทำอย่างไรเล่า ในเมื่อเจ้าของท้องที่เขาขอไปเอง ส่วนการภายในเราก็ไม่ได้เข้าไปปกครอง นอกจาก ๓ ปี ก็ได้ราชบรรณาการครั้งหนึ่งเท่านั้น
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึง ทรงพระราชดำริว่า ไหน ๆ เราก็เอาไว้ไม่ได้ เมื่อจะเสียก็ขอให้ได้อะไรบ้างก็ยังดี จึงทรงขอให้แลกกับเอาคนในสัปเยก (บังคับ) ฝรั่งมาขึ้นศาลไทย เพราะการมีศาลกงสุลนั้นใน ๑๐๐ คดี เราจะได้ชนะสัก ๑ แพ้ ๙๙ คดีเสมอไป ทั้งเป็นเหตุให้ก่อการวิวาทอยู่เสมอด้วย
เมื่อตกลงกันแล้ว เขาก็เรียกให้เราออกไปสำรวจเขตแดน ซึ่งทางเขาขีดเส้นมาตามที่ราษฎรพูดภาษามลายูอยู่ รวมทั้งปัตตานี นราธิวาส ตากใบ และยะลา
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทยก็ทรงพิสูจน์ตามทางพงศาวดารว่า คนที่อยู่ใน ๔ เมืองนี้เป็นไทย รากวัดของไทยก็ยังมีอยู่ ที่เรียกกันว่า "พวกสามสาม" นั้นคือ "สยามอิสลาม" เมื่อพูดเร็วตามสำเนียงทางใต้จึงเป็น "สามสาม" พวกนี้ยังพูดไทยได้ทั้งนั้น เป็นแต่เมื่อไปอยู่ในแดนมลายู ก็เลยเป็นอิสลามไป อังกฤษก็ยอมตามนี้ ๔ เมืองนี้ จึงคงเป็นเมืองของพระราชอาณาจักรสยามจนบัดนี้"
หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงได้พระนามว่า "บิดาแห่งประวัติศาสตร์" เมื่อทรงกล่าวเริ่มปาฐกถา รับสั่งว่า "ได้ฟังมาจากพ่อ ซึ่งเป็นคนมีส่วนอยู่ในคดีต่าง ๆ เหล่านั้นด้วยคนหนึ่ง"
เรื่องหนี้สินของพวกเจ้านายเจ้าบ้านผ่านเมืองนี้ มิใช่แต่เฉพาะผู้ครองนครรัฐมลายู แม้พม่าเชียงใหม่ ก็โดนทวงหนี้จนกลายเป็นเรื่องการเมืองไป
เรื่องพม่าขอเว้นเสียไม่กล่าวถึง เพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพระราชอาณาจักรสยาม
แต่เรื่องเมืองเชียงใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับพระราชอาณาจักรสยามนั้น จวนแจไปทีเดียว
ที่จริงเรื่องหนี้สินนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนคร องค์ที่ ๖ พระเจ้าตาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี แต่พวกอังกฤษมาทวงหนี้เอาในสมัย พระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ (สะกดตามจารึกในพระสุพรรณบัฏ) เจ้าครองนคร องค์ที่ ๗ พระบิดาของพระราชชายาฯ
หนี้สินนั้นก็ไม่ได้เกิดจากการซื้อของ หรือส่วนพระองค์ หากแต่เกิดจากการตัดสินคดีต่าง ๆ ระหว่างพวกพ่อค้าอังกฤษกับพวกค้าขายพื้นเมือง โดยพวกอังกฤษกล่าวหาว่า เมื่อครั้งพระเจ้ากาลิโลรส ท่านใช้อำนาจปรับ และรับทรัพย์สินของพวกเขาไป ร่วมด้วยกันหลายเรื่องหลายราย
(แต่ในระหว่างพระเจ้ากาวิโลรสครองนครอยู่คงเป็นอย่างที่ว่า "หือ" ไม่ขึ้น เพราะว่าที่จริงเรื่องคนในบังคับอังกฤษเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นฝ่ายรังแกก็คงมีอยู่ไม่น้อย พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์นั้นว่ากันว่า ท่านเป็นคนดุเด็ดขาด ผู้คนกลัวกันนักหนา เมื่อจะประหารชีวิตใคร มักอุทานออกมาว่า "อ้าว" คนโทษคนนั้นเป็นหัวขาด ชาวบ้านชาวเมืองจึงพากันเรียกท่านว่า "เจ้าชีวิตอ้าว" ด็อกเต้อร์ดาเนียล แมคกิลวารี ศาสนาจารย์คริสต์ศาสนา นิกายโปรเตสแตนต์ในเชียงใหม่ บันทึกถึงพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ไว้ว่า
"ท่าน เป็นเสมือนบิดาที่น่ารัก ถึงแม้ท่านจะมีน้ำพระทัยไม่แน่นอน ปรวนแปรตามอารมณ์บ่อย ๆ ก็ตามแต่ท่านก็ยังเป็นมิตรที่ประกอบไปด้วยความเมตตากรุณา ในการบริหารราชการของท่าน บ่อยครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนักปกครองที่ดีผู้หนึ่ง ท่านเป็นคนเฉียบขาดและเหี้ยมโหด ในสมัยที่ท่านครองเมือง ไม่มีการลักเล็กขโมยน้อยเลย"
สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ พวกอังกฤษและพวกใต้บังคับอังกฤษ "หือ" ไม่ขึ้นดังกล่าวแล้ว ครั้นพระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ เป็นเจ้าครองนคร ท่านเป็นลูกเขยของพระเจ้ากาวิโลรสฯ และว่ากันว่าเป็นคนอ่อน ๆ ไม่ดุเด็ดขาดเช่นเจ้าพ่อตา พวกในบังคับอังกฤษจึงกำเริบฟ้องร้องเจ้าผู้ครองนครองค์ก่อน และเจ้านายเมืองเชียงใหม่ หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสัมปทานป่าไม้ รวมแล้วคดีฟ้องร้องถึง ๔๒ เรื่อง ตุลาการกรุงเทพฯตัดสินยกฟ้อง ๓๐ คดี อีก ๑๑ คดี ตัดสินให้เชียงใหม่จ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๗๒,๘๑๒ บาท เจ้าครองนครไม่มีเงินชำระหนี้เพียงพอ ขอผ่อนชำระ ฝ่ายกงสุลอังกฤษ คือ มิสเตอร์น้อกซ์ (Knox) นอกจากไม่ยอมแล้วยังมีท่าทีคุกคามลบหลู่พระเจ้าอินทรวิไชยานนท์
ถึงตรงนี้หากไม่ได้เงินชำระหนี้ เชียงใหม่ก็เห็นจะต้องเข้าตาจน ใช้สำนวนสมัยใหม่ไทยแกมฝรั่งตามความนิยมของสมัยนี้ ก็คงต้องว่า "เข้าล้อค" ของนายน้อกซ์กงสุลอังกฤษพอดี
พระบาทสมเด็จ พระพุทธเจ้าหลวง จึงโปรดฯให้พระคลังมหาสมบัติ ให้พระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ กู้เงินจำนวน ๓๑๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินของทางเชียงใหม่ ชำระหนี้ให้หมดสิ้นไป โดยทำสัญญาชำระคืนภายใน ๗ ปี
แสดงความคิดเห็น
หนี้ของรัฐมลายูก่อนที่สยามจะโอนรัฐเหล่านี้ให้อังกฤษคือหนี้อะไร
มีการกล่าวว่าสุลต่านรัฐต่างๆ ไม่พอใจสยาม คิดว่ายกให้อังกฤษใช้ “หนี้” แทน
ลองดูความเห็นของสุลต่านเคดะห์กับสุลต่านกลันตันได้ใน link https://www.the101.world/anglo-siamese-treaty-of-1909/
ข้อความของ สองรัฐบนทำให้เข้าใจว่า มี “หนี้” ที่ต้องใช้ให้สยาม
หรือ แม้แต่ในรัฐ เประ ก็มีการกล่าวถึง ”หนี้“ ของรัฐที่มีอยู่ก่อนอังกฤษเข้าปกครอง
(อันนี้อ้างอิงหนังสือ เสียดินแดนมลายู : ประวัติศาสตร์ชาติฉบับ Plot Twist ของ ฐนพงศ์ ลือขจรชัย ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้ระบุว่าคือหนี้อะไร)
สงสัยว่าหนี้พวกนี้ที่รัฐมลายูเหล่านี้มีคือหนี้อะไร ก่อไว้ตอนไหนครับ