‘Civil War’ มองความน่ากลัวของชาติที่แตกแยกผ่านสายตาสื่อ..และอย่าให้มันเกิดกับบ้านเราเลย (No Spoil)



ที่ผ่านมาในหนังฝรั่งทางฮอลลีวู้ด หลายครั้งมักจะย้ำเสมอว่า “สหรัฐอเมริกาไม่มีวันล่มสลาย..เว้นแต่จะเกิดจากภายในเอง” ไม่ว่าจะเป็นหนังขายความอเมริกันฮีโร่ผ่านปฏิบัติการทางทหารในต่างแดน หรือการรับมือผู้ก่อการร้ายที่เข้ามาก่อเหตุในประเทศ และหากดูตามความเป็นจริง คงไม่มีใครคิดว่าประเทศที่วางระบบต่างๆ ไว้เข้าที่เข้าทางแล้ว ทั้งการจัดระเบียบสายงานบังคับบัญชาทหารเพื่อไม่ให้กองกำลังใดๆ ออกมาทำรัฐประหารหรือแบ่งแยกดินแดนได้ ระเบียบกฎหมายตลอดจนเทคโนโลยีที่ทำให้มหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกชาตินี้ แม้จะดูเหมือนมีเสรีภาพเต็มเปี่ยม แต่ก็เหมือนถูกสอดส่องเช่นกัน ใครที่ดูแล้วทำอะไรนอกลู่นอกทางเป็นภัยความมั่นคงก็อาจถูกจับกุมได้ง่ายๆ และถ้ายึกยักขัดขืนก็อาจถูกปลิดชีพได้ทันทีด้วย 

( หลายปีก่อนถ้าจำกันได้ เคยมีคลิปวีดีโอของไทยเรา มีคนถือมีดท่าทางประสงค์ร้ายบุกเข้าไปใน สน. ตำรวจพยายามเจรจาจนผู้ก่อเหตุวางมีดลงโดยดี คลิปนี้ดังไปทั่วโลก มีคอมเมนต์ต่างชาติบอกอยู่บ้างว่าตำรวจไทยใจเย็นเนอะ..ถ้าเป็นที่อเมริกาคนถือมึดโดยเป่าทิ้งไปละ )

กระทั่งช่วงไม่กี่ปีมานี้ เหมือนสังคมของอเมริกันชนดูจะไม่ค่อยสงบเท่าไร ระเบียบการเมืองของสหรัฐอเมริกาถูกท้าทายว่าจะยังมีเสถียรภาพเหมือนเดิมหรือไม่? แต่ก่อนเรามักชอบบอกว่าคนอเมริกันมีจิตวิญญาณประชาธิปไตยนะ เลือกตั้ง 4 ปี ใครชนะ-ใครแพ้ก็ยอมรับไม่ตีรวน คงไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อต้นปี 2021 โดยผู้ก่อเหตุเป็นฝ่ายสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งพ่ายแพ้ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 และเชื่อว่าทรัมป์ถูกโกงการเลือกตั้ง กระทั่งล่าสุด เลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ ปลายปี 2024 ก็ไม่รู้ยังยังไงต่อ เพราะบางรัฐตัดสิทธิ์ไม่ยอมให้ทรัมป์ลงสมัคร ยังไม่นับข่าวลือแปลกๆ ที่กระจายทาง Social Media บอกเท็กซัสอยากแยกตัวจากสหรัฐฯ หรือพวกแนวคิดซ้ายจัด-ขวาจัด Woke-Antiwoke ที่ปั่นกระแสกันเกลื่อนกลาดอีกเพียบ

อย่ากระนั้นเลย มาลองสมมติกันเล่นๆ ดีกว่า “หากมีสงครามกลางเมืองในสหรัฐอมเริกายุคปัจจุบัน มันจะมีสภาพหน้าตาเป็นอย่างไร” ซึ่งเราสามารถไปชมกันได้ในหนัง “Civil War” ที่เข้าฉายมาตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. 2024 ที่ต้องบอกเลยว่าแค่ผมเห็นตัวอย่างเมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็อยากรู้แล้ว โดยเฉพาะคำถามที่พบบ่อยๆ ในคอมเมนต์ช่องตัวอย่างหนังทั้งของไทยและต่างประเทศ ว่าอะไรมันทำให้ 2 รัฐ ที่ผู้คนมี Mindset แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว อย่างเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย จับมือเป็นพันธมิตรไปต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลกลางได้ 

หนังเรื่องนี้จะเล่าผ่านสายตาของ “สื่อมวลชน” ทั้งนักข่าวและช่างภาพ อันเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใช่ทหารหรือนักรบของฝ่ายใหน แต่มีโอกาสได้เฉียดกรายเข้าไปใกล้พื้นที่ที่มีความขัดแย้ง การปะทะสู้รบ เห็นเลือด เห็นการฆ่าและการถูกฆ่า จากแวบแรกที่อาจจะสะอิดสะเอียน ประสาทหลอน เครียด จนกลายเป็นความชินชาและดูเหมือนจะยิ่งอยากเข้าพื้นที่อันตรายทำนองนี้อย่างต่อเนื่องเสียด้วยซ้ำไป เพื่อเก็บภาพและรายละเอียดของเรื่องราวให้ได้มากที่สุด ซึ่งต้องบอกเลยว่าทำได้ดีมาก 

แม้หนังเล่าเรื่องการเดินทางของกลุ่มตัวเอกที่เป็นสื่อมวลชนจากนิวยอร์กไปยังวอชิงตันดีซี แต่หนังไม่ได้ยกย่องการทำหน้าที่ของสื่อ หากแต่พาเราไปดูความโหดร้ายของสงคราม ไปดูความบ้าคลั่งของยุคสมัยที่แผ่นดินไร้ขื่อแป การเดินทางที่ต้องระวังเพราะคาดเดาไม่ได้ว่าคนที่เจอระหว่างทางจะคุยกันรู้เรื่องไหม? การฆ่าฟันที่ไม่ได้มีแต่กองทัพของแต่ละฝ่ายเท่านั้น เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอัตราการครอบครองอาวุธปืนสูงที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นประเทศที่มีเสรีภาพในการเผยแพร่แนวคิดต่างๆ ค่อนข้างมาก ขวาจัด-ซ้ายจัดมีทั้งนั้น ก็ไม่ต้องคิดเลยว่าในยุคที่แผ่นดินแตกแยก ชาวอเมริกันรบกันเอง และทุกบ้านมีปืน-ทุกคนใช้ปืนเป็น อะไรมันจะเกิดขึ้น เมื่อคุณต้องเดินทางออกจากเมือง คุณจะไว้ใจใครได้บ้าง? คงไม่มีทางได้หายใจทั่วท้องแน่ๆ

โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่มีประสบการณ์แนวๆ นี้อยู่บ้าง สมัยสิบกว่าปีก่อน ตอนการเมืองเสื้อสีกำลังเดือดๆ ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสีไหนหรอก แถมไม่ได้ทำงานสื่อด้วยซ้ำ แต่ชอบความตื่นเต้นและอยากเป็นคนมีเรื่องเล่าให้คนอื่นๆ รอบตัวฟัง เลยเข้าไปอยู่ในม็อบทั้ง 2 สี ยังจำบรรยากาศได้ดี ช่วงกลางคืนนั่งอยุ่กับพวกการ์ด ลุ้นตลอดว่าจะเจอฝั่งตรงข้ามมาป่วนไหม? หรือไม่บางทีตอนเดินเข้าไปก็กลัวว่าจะถูกมองเป็นสายของฝ่ายรัฐหรือฝ่ายมวลชนตรงข้ามหรือเปล่า? จะโดนลากไปยำไหม? แต่ยังดีที่ไม่เจออะไรแบบนั้น และจะว่าไปยังโชคดีอย่างที่จำนวนคนมีปืนในไทยไม่ได้เยอะแบบสหรัฐอเมริกา และทหาร-ตำรวจบ้านเราก็ไม่ได้แตกแยกจนจับอาวุธรบกันเองมานานแล้ว (ต่างจากสมัยก่อนที่เดี๋ยวหน่วยนั้นหน่วยนี้ไม่พอใจก็ลากรถถังขนกำลังพลออกมา ชนะก็เรียกรัฐประหาร แพ้ก็เรียกกบฎ แถมจบเร็วในวันเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่) พอมาดูหนังเรื่องนี้แล้วภาพตอนนั้นก็ผุดขึ้นมาเหมือนกัน แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น เลยดูกลัวๆ เสียมากกว่าละ ว่าอย่าให้สถานการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นกับบ้านเราเลย

ถ้าจะดูเอาสนุกแบบไม่แนะนำนะครับ แต่ถ้าจะให้ดูเพื่อเตือนสติว่า “มันไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นจริงๆ” จากที่เห็นหลายๆ คนชอบเย้วๆ ในโลกออนไลน์ อินการเมืองจัดๆ ไม่ว่าฝ่านไหนก็ตามว่าอยากให้เกิด จะได้ทำนั่นทำนี่กับฝ่ายตรงข้าม เรื่องนี้ผมแนะนำเลยทีเดียว!!!

TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่