Part1 Part 2 Part 3 Part 4 Part 5
Part นี้จะมาเล่าความเป็นดอยเต่าให้ทุกคนได้ทราบทั่วกันว่า แท้จริงแล้ว ดอยเต่า "ไม่ได้อยู่บนดอย"
ไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะเราเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็คิดเหมือนทุกคนว่า ดอยเต่าต้องเดินทางลำบาก อยู่บนดอยอันหนาวเหน็บไม่มีน้ำไม่มีไฟฟ้า
ดีดนิ้ว แป๊ะ!! ไม่ใช่อย่างง้านน .. เล่ากว้างๆว่าอำเภอดอยเต่า เป็นอำเภอจะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่
เพราะแบ่งความเป็นอยู่ออกเป็น 2 แบบ
1. คนดอยเต่าที่เป็นคนเมือง อู้กำเมืองแต่สำเนียงดอยเต่า เป็นพุทธ เป็นไทยปกติ (แฟนเราเป็นแบบที่ 1 ค่ะ)
จะอาศัยอยู่ข้างล่างดอย ปกติ เป็นถนนเส้นหลักที่ตรงมาจากเชียงใหม่แล้วถึงแบบง่ายๆ มีแค่เนินเล็กๆให้พอได้เปลี่ยนเกียร์ต่ำ สัก 1-2 กิโล
แบบที่ 2. เป็นคนชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง คนกลุ่มนี่จะอาศัยอยู่บนดอย จริงๆ ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลน่าจะมากกว่า 1,300 เมตร
นับถือผี / คริส / พุทธ สุดแล้วแต่ พูดภาษากะเหรี่ยง ใช้ชีวิตบนดอย ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา เพื่อจะลงมาซื้อของข้างล่าง
ซึ่งการเดินทาง ลำบากจริงๆค่ะ ต้องขึ้นโป๊ะข้ามน้ำปิง ที่เขาเรียกกันว่า "ทะเลสาบดอยเต่า" ต่อด้วยรถยนต์/รถเครื่อง
ปกติแล้วคนแบบเราๆหรือคน ตจว. แทบจะไม่ได้ขึ้นไป นอกจากมีงานหรือไปบริจาคของ จัดกิจกรรมให้ชุมชนบนดอย
ถ้าคนแบบเราๆจะไปจริงๆ ก็ต้องจ้างรถของชาวบ้านพาขึ้นไป / คนที่ชำนาญเส้นทางพาไป เพราะว่า ถนนรถยนต์แทบจะสวนกันไม่ได้
และข้างนึงเป็นภูเขาข้างนึงเป็นเหว กับถนนคอนกรีต 1 เลนถ้วน
เวลามีกิจกรรม ชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะใช้การเดินเท้ามากันเป็นกลุ่ม ใช้เวลาเดินน่าจะพอสมควรค่ะ เพราะต้องผ่านหลายม่อนดอย
มาถึงได้แปปๆ ก็ต้องรีบกลับก่อนที่พระอาทิตย์จะตก
มีคอมเม้นถามว่าที่เราอยู่มีสัญญาณมือถือไหม ตอบเลยว่าที่เราอยู่มีค่ะ แต่บนดอยไม่มี จะมีเป็นบางช่วงบางจุด
ไฟส่วนใหญ่บนนี้ก็เป็นโซล่าเซลล์บ้าง แต่เหมือนปัจจุบัน(67) ไฟฟ้าน่าจะเข้าถึงในบางพื้นที่
_______________________________________________
และการทำร้านกาแฟของพวกเราก็ได้คเนพบว่า ที่ดอยเต่าก็ปลูกกาแฟ และเยอะด้วย ก่อนหน้านี้เขาน่าจะมีคนมารับซื้อจากที่อื่น
แต่พอเรารู้จักพูดคุย เลยได้ทำการดิวและขอซื้อเพื่อมาทำ product ของเราขาย ทั้งชงที่ร้าน / ขายเมล็ดสาร / ขายเมล็ดคั่วแล้ว
มีโอกาส รู้จักลูกค้าท่านนึง ตอนนี้กลายเป็นพี่ไปแล้วค่ะ เขาเข้ามาช่วยเรื่องทุนและโรงสี โรงคั่ว การตลาด โอกาสออกบูธดีๆในงานกาแฟ
ชีวิตนี้โชคดีมากค่ะ มีแต่คนคอยช่วยเหลือโดยที่พวกเขาก็มีความสุขกับเราไปด้วย
เดี๋ยวให้ดูภาพ ตอนไปไร่กาแฟนะคะ รอบนี้ขับรถขึ้นไปกันเอง เพราะพี่เขาบอกว่าขึ้นบ่อยอยู่ 3-4 ครั้ง (5555 ถือว่าบ่อยค่ะ) ปกติเราเอง 2-3 ปีครั้ง
เริ่มจากถอยรถลงโป๊ะเพื่อจะข้ามทะเลสาบ - หนทาง - และยางแตกตอนถึงข้างบน
ไม่ค่อยได้ถ่ายเท่าไหร่เพราะนั่งอัดกันในรถ ตับไตไส้พุงเขย่ารวมกันไปหมดกว่าจะถึง
ขาลงมาก็ได้เอารถชาวบ้านลงมาแทน เพราะรถเรายางแตก เอาล้อลงมาด้วย เสร็จแล้วค่อยขับรถเขาไปคืน พร้อมเปลี่ยนยางรถเราขับลงมา
-- พูดถึงการข้ามฝั่ง น่าจะมีช่วงเช้าและบ่าย 2 รอบต่อวัน จะขึ้นจะลงต้องคำนวนเวลาดีๆค่ะ ค่าบริการอยู่ที่ระดับน้ำว่ามาก/น้อยอีกที
กว่าจะได้เป็นกาแฟดอยเต่าที่มาชงที่ร้านก็เหนื่อยเอาการ แต่ก็นั่งหัวเราะกันในรถเหมือนเดิมค่ะ 😀
ใครสนใจเมล็ดกาแฟดอยเต่า เดี๋ยวท้ายกระทู้จะติด Contact ไว้ให้นะคะ
__________________________________________________________
หลังจากมีร้าน(60) มีลูก(62) และในปี 65 เรามีแพค่ะ 😊😊
เนื่องจากน้ำทะเลสาบดอยเต่าจะมีก็มี จะแห้งก็แห้ง ทำให้ผู้ประกอบการบางรายก็ขายแพบ้าง เลิกกิจการบ้าง
ส่วนแพที่เลือกเรานั้น เจ้าของปล่อยทิ้งไว้เกือบ 4 ปี เพราะไม่มีน้ำ คนถามซื้อเยอะค่ะ พร้อมจ่ายด้วย
แต่เจ้าของแพ ถูกใจเราสองคนแบบเงินผ่อน แต่ยิ้มเก่งแบบเราๆ
ตัดสินใจ 1 วัน แล้วก็ซื้อค่ะ .. และเหมือนเดิม เราก็ค่อยๆรีโนเวทไปตามสไตส์คนงบน้อย
หลังจากปิดร้านก็มาทำก๊อกๆแก๊กๆกันสองสามคนกับลูกด้วย
เช่นเคย ออกแบบเอง ทำกันเอง ได้หน้าต่างมาฟรีก็จับมาใส่ ได้ไม้มาฟรีก็จับมาลง
ทำการรื้อลูกดิ่งออกบางส่วน แบ่งห้องเก็บของเป็นห้องนอน ห้องน้ำก็เอาไผ่มาติด เปลี่ยนส้วมจากนั่งยองเป็นตักราด
เดี๋ยวให้ดูรูปตอนรีโนเวทไปเรื่อยๆนะคะ (หลายเดือน วันละนิดละหน่อย)
หลังจากทำไปได้ไม่นาน น้ำดันมาค่ะ จากไม่มา 4 ปี...ทำตัวไม่ถูกเลย ไม่เคยมีแพกัน โชคดีนิดหน่อยที่แฟนขับเรือเป็น
เพราะตอนเด็กๆไปหาปลากับพ่อเขาบ้างเวลาว่าง
พอน้ำมา ลุ้นมากว่าแพจะลอยไหม รั่วไหม มัดเชือกไว้เส้นเดียว .. วันนั้นไม่เป็นอันนอนเลยค่ะ ลุ้นจนเช้า ด้วยความยังมือใหม่
พี่ที่แพแถวนั้นก็เลยมาลากแพไปให้อยู่อีกฝั่งนึงที่มีต้นไม้มีอะไรให้เราได้มัดเชือกไว้ได้บ้าง
พอซื้อแพ คนก็ยังบอกว่าโชคดีมาก ซื้อแพจับมาก (ซื้อแพถูกจังหวะพอดีที่น้ำมา)
แต่พวกเราเอง ตอนแรกจะทำเป็นบาร์ไว้เปิดกลางคืน เลยไม่ซีเรียสเท่าไหร่ค่ะ
แต่ที่ซีเรียสเพราะน้ำมานี่แหละทำอะไรก็ไม่เป็น ทำก็ยังไม่เสร็จ
ยอมรับค่ะว่าการซื้อแพของเราครั้งนี้ทำให้วงการแพดอยเต่าสั่นสะเทือนมาก
เนื่องจากแพเจ้าเก่าๆเขาไม่เคยคิดที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ/รูปลักษณ์ของแพ
มีเรา 2 คนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงให้ดูอบอุ่นเหมือนบ้าน ใครมาเช่า/มาหาก็ได้อยู่แบบความรู้สึกอบอุ่น
หลังจากรีโนเวทได้สักพัก ก็เป็นที่ฮือฮาของคนที่นี่และนักท่องเที่ยว เพราะแพไม่เหมือนชาวบ้านเขา
แต่เราก็ยังไม่มีการโปรโมทอะไรเพราะซื้อมาก็ไม่คิดว่าแพจะลอย
สุดท้ายแล้ว ได้เปิดรับตอนช่วงสิ้นปีคาบเกี่ยวปีใหม่พอดีค่ะ เดี๋ยวไปชมภาพกันเลย
หลังจากเคยขับรถตู้มาขายปังชีสที่ทะเลสาบ ตอนนี้พอมาจอดหน้าแพตัวเองแล้ว ทุกอย่างดูสดชื่นมีความสุขมากค่ะ
ลูกค้าก็ตามลงมา จากเคยซื้อง่ายๆด้านบน ก็ขับลงมาหากันใกล้ๆน้ำ พวกเราเองชื่นนนนนใจมาก
แพมีน้ำ คนก็แวะเวียนมาใช้บริการบ้าง ล่องเรือรอบเกาะบ้าง หรือแค่ขอไปกินข้าวบนแพเอาบรรยากาศก็มีค่ะ
เนื่องจากแพเราเปลี่ยนระบบเครื่องปั่นไฟใช้น้ำมันมาเป็นโซล่าเซลล์ ไฟก็เลยใช้เป็นแค่ DC12v ไม่ดูดไม่ช็อต
แต่ก็ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือนไม่ได้ ชาร์จได้แค่แบตมือถือเวลากลางวัน
ฟังแฟนเราพูดในคลิปนี้ ทุกคนอาจจะหลงรักดอยเต่าขึ้นไปอีก
Page FB: Bandin in the Doi 🌈
ลาออกจาก "ชีวิตในเมือง" เพื่อพบความสุขจาก "ชีวิตติดดิน" [Part 6]
Part นี้จะมาเล่าความเป็นดอยเต่าให้ทุกคนได้ทราบทั่วกันว่า แท้จริงแล้ว ดอยเต่า "ไม่ได้อยู่บนดอย"
ไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะเราเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็คิดเหมือนทุกคนว่า ดอยเต่าต้องเดินทางลำบาก อยู่บนดอยอันหนาวเหน็บไม่มีน้ำไม่มีไฟฟ้า
ดีดนิ้ว แป๊ะ!! ไม่ใช่อย่างง้านน .. เล่ากว้างๆว่าอำเภอดอยเต่า เป็นอำเภอจะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่
เพราะแบ่งความเป็นอยู่ออกเป็น 2 แบบ
1. คนดอยเต่าที่เป็นคนเมือง อู้กำเมืองแต่สำเนียงดอยเต่า เป็นพุทธ เป็นไทยปกติ (แฟนเราเป็นแบบที่ 1 ค่ะ)
จะอาศัยอยู่ข้างล่างดอย ปกติ เป็นถนนเส้นหลักที่ตรงมาจากเชียงใหม่แล้วถึงแบบง่ายๆ มีแค่เนินเล็กๆให้พอได้เปลี่ยนเกียร์ต่ำ สัก 1-2 กิโล
แบบที่ 2. เป็นคนชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง คนกลุ่มนี่จะอาศัยอยู่บนดอย จริงๆ ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลน่าจะมากกว่า 1,300 เมตร
นับถือผี / คริส / พุทธ สุดแล้วแต่ พูดภาษากะเหรี่ยง ใช้ชีวิตบนดอย ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา เพื่อจะลงมาซื้อของข้างล่าง
ซึ่งการเดินทาง ลำบากจริงๆค่ะ ต้องขึ้นโป๊ะข้ามน้ำปิง ที่เขาเรียกกันว่า "ทะเลสาบดอยเต่า" ต่อด้วยรถยนต์/รถเครื่อง
ปกติแล้วคนแบบเราๆหรือคน ตจว. แทบจะไม่ได้ขึ้นไป นอกจากมีงานหรือไปบริจาคของ จัดกิจกรรมให้ชุมชนบนดอย
ถ้าคนแบบเราๆจะไปจริงๆ ก็ต้องจ้างรถของชาวบ้านพาขึ้นไป / คนที่ชำนาญเส้นทางพาไป เพราะว่า ถนนรถยนต์แทบจะสวนกันไม่ได้
และข้างนึงเป็นภูเขาข้างนึงเป็นเหว กับถนนคอนกรีต 1 เลนถ้วน
เวลามีกิจกรรม ชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะใช้การเดินเท้ามากันเป็นกลุ่ม ใช้เวลาเดินน่าจะพอสมควรค่ะ เพราะต้องผ่านหลายม่อนดอย
มาถึงได้แปปๆ ก็ต้องรีบกลับก่อนที่พระอาทิตย์จะตก
มีคอมเม้นถามว่าที่เราอยู่มีสัญญาณมือถือไหม ตอบเลยว่าที่เราอยู่มีค่ะ แต่บนดอยไม่มี จะมีเป็นบางช่วงบางจุด
ไฟส่วนใหญ่บนนี้ก็เป็นโซล่าเซลล์บ้าง แต่เหมือนปัจจุบัน(67) ไฟฟ้าน่าจะเข้าถึงในบางพื้นที่
_______________________________________________
และการทำร้านกาแฟของพวกเราก็ได้คเนพบว่า ที่ดอยเต่าก็ปลูกกาแฟ และเยอะด้วย ก่อนหน้านี้เขาน่าจะมีคนมารับซื้อจากที่อื่น
แต่พอเรารู้จักพูดคุย เลยได้ทำการดิวและขอซื้อเพื่อมาทำ product ของเราขาย ทั้งชงที่ร้าน / ขายเมล็ดสาร / ขายเมล็ดคั่วแล้ว
มีโอกาส รู้จักลูกค้าท่านนึง ตอนนี้กลายเป็นพี่ไปแล้วค่ะ เขาเข้ามาช่วยเรื่องทุนและโรงสี โรงคั่ว การตลาด โอกาสออกบูธดีๆในงานกาแฟ
ชีวิตนี้โชคดีมากค่ะ มีแต่คนคอยช่วยเหลือโดยที่พวกเขาก็มีความสุขกับเราไปด้วย
เดี๋ยวให้ดูภาพ ตอนไปไร่กาแฟนะคะ รอบนี้ขับรถขึ้นไปกันเอง เพราะพี่เขาบอกว่าขึ้นบ่อยอยู่ 3-4 ครั้ง (5555 ถือว่าบ่อยค่ะ) ปกติเราเอง 2-3 ปีครั้ง
เริ่มจากถอยรถลงโป๊ะเพื่อจะข้ามทะเลสาบ - หนทาง - และยางแตกตอนถึงข้างบน
ไม่ค่อยได้ถ่ายเท่าไหร่เพราะนั่งอัดกันในรถ ตับไตไส้พุงเขย่ารวมกันไปหมดกว่าจะถึง
ขาลงมาก็ได้เอารถชาวบ้านลงมาแทน เพราะรถเรายางแตก เอาล้อลงมาด้วย เสร็จแล้วค่อยขับรถเขาไปคืน พร้อมเปลี่ยนยางรถเราขับลงมา
-- พูดถึงการข้ามฝั่ง น่าจะมีช่วงเช้าและบ่าย 2 รอบต่อวัน จะขึ้นจะลงต้องคำนวนเวลาดีๆค่ะ ค่าบริการอยู่ที่ระดับน้ำว่ามาก/น้อยอีกที
กว่าจะได้เป็นกาแฟดอยเต่าที่มาชงที่ร้านก็เหนื่อยเอาการ แต่ก็นั่งหัวเราะกันในรถเหมือนเดิมค่ะ 😀
ใครสนใจเมล็ดกาแฟดอยเต่า เดี๋ยวท้ายกระทู้จะติด Contact ไว้ให้นะคะ
__________________________________________________________
หลังจากมีร้าน(60) มีลูก(62) และในปี 65 เรามีแพค่ะ 😊😊
เนื่องจากน้ำทะเลสาบดอยเต่าจะมีก็มี จะแห้งก็แห้ง ทำให้ผู้ประกอบการบางรายก็ขายแพบ้าง เลิกกิจการบ้าง
ส่วนแพที่เลือกเรานั้น เจ้าของปล่อยทิ้งไว้เกือบ 4 ปี เพราะไม่มีน้ำ คนถามซื้อเยอะค่ะ พร้อมจ่ายด้วย
แต่เจ้าของแพ ถูกใจเราสองคนแบบเงินผ่อน แต่ยิ้มเก่งแบบเราๆ
ตัดสินใจ 1 วัน แล้วก็ซื้อค่ะ .. และเหมือนเดิม เราก็ค่อยๆรีโนเวทไปตามสไตส์คนงบน้อย
หลังจากปิดร้านก็มาทำก๊อกๆแก๊กๆกันสองสามคนกับลูกด้วย
เช่นเคย ออกแบบเอง ทำกันเอง ได้หน้าต่างมาฟรีก็จับมาใส่ ได้ไม้มาฟรีก็จับมาลง
ทำการรื้อลูกดิ่งออกบางส่วน แบ่งห้องเก็บของเป็นห้องนอน ห้องน้ำก็เอาไผ่มาติด เปลี่ยนส้วมจากนั่งยองเป็นตักราด
เดี๋ยวให้ดูรูปตอนรีโนเวทไปเรื่อยๆนะคะ (หลายเดือน วันละนิดละหน่อย)
หลังจากทำไปได้ไม่นาน น้ำดันมาค่ะ จากไม่มา 4 ปี...ทำตัวไม่ถูกเลย ไม่เคยมีแพกัน โชคดีนิดหน่อยที่แฟนขับเรือเป็น
เพราะตอนเด็กๆไปหาปลากับพ่อเขาบ้างเวลาว่าง
พอน้ำมา ลุ้นมากว่าแพจะลอยไหม รั่วไหม มัดเชือกไว้เส้นเดียว .. วันนั้นไม่เป็นอันนอนเลยค่ะ ลุ้นจนเช้า ด้วยความยังมือใหม่
พี่ที่แพแถวนั้นก็เลยมาลากแพไปให้อยู่อีกฝั่งนึงที่มีต้นไม้มีอะไรให้เราได้มัดเชือกไว้ได้บ้าง
พอซื้อแพ คนก็ยังบอกว่าโชคดีมาก ซื้อแพจับมาก (ซื้อแพถูกจังหวะพอดีที่น้ำมา)
แต่พวกเราเอง ตอนแรกจะทำเป็นบาร์ไว้เปิดกลางคืน เลยไม่ซีเรียสเท่าไหร่ค่ะ
แต่ที่ซีเรียสเพราะน้ำมานี่แหละทำอะไรก็ไม่เป็น ทำก็ยังไม่เสร็จ
ยอมรับค่ะว่าการซื้อแพของเราครั้งนี้ทำให้วงการแพดอยเต่าสั่นสะเทือนมาก
เนื่องจากแพเจ้าเก่าๆเขาไม่เคยคิดที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ/รูปลักษณ์ของแพ
มีเรา 2 คนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงให้ดูอบอุ่นเหมือนบ้าน ใครมาเช่า/มาหาก็ได้อยู่แบบความรู้สึกอบอุ่น
หลังจากรีโนเวทได้สักพัก ก็เป็นที่ฮือฮาของคนที่นี่และนักท่องเที่ยว เพราะแพไม่เหมือนชาวบ้านเขา
แต่เราก็ยังไม่มีการโปรโมทอะไรเพราะซื้อมาก็ไม่คิดว่าแพจะลอย
สุดท้ายแล้ว ได้เปิดรับตอนช่วงสิ้นปีคาบเกี่ยวปีใหม่พอดีค่ะ เดี๋ยวไปชมภาพกันเลย
หลังจากเคยขับรถตู้มาขายปังชีสที่ทะเลสาบ ตอนนี้พอมาจอดหน้าแพตัวเองแล้ว ทุกอย่างดูสดชื่นมีความสุขมากค่ะ
ลูกค้าก็ตามลงมา จากเคยซื้อง่ายๆด้านบน ก็ขับลงมาหากันใกล้ๆน้ำ พวกเราเองชื่นนนนนใจมาก
แพมีน้ำ คนก็แวะเวียนมาใช้บริการบ้าง ล่องเรือรอบเกาะบ้าง หรือแค่ขอไปกินข้าวบนแพเอาบรรยากาศก็มีค่ะ
เนื่องจากแพเราเปลี่ยนระบบเครื่องปั่นไฟใช้น้ำมันมาเป็นโซล่าเซลล์ ไฟก็เลยใช้เป็นแค่ DC12v ไม่ดูดไม่ช็อต
แต่ก็ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือนไม่ได้ ชาร์จได้แค่แบตมือถือเวลากลางวัน
ฟังแฟนเราพูดในคลิปนี้ ทุกคนอาจจะหลงรักดอยเต่าขึ้นไปอีก
Page FB: Bandin in the Doi 🌈