(ยาวมากหน่อยนะ)
- เนื่องจากวันที่ 4 เมษายน 2567 พ่อ(รถพ่อ) ได้เข้าไปติดต่อจะเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ จำนวน 4 เส้น กับศูนย์บริการยานยนต์ที่ขึ้นต้นด้วย f ของปั๊มค่ายสีฟ้า สาขาต่างจังหวัด เพราะด้วยชื่อเสียงที่มีความน่าไว้วางใจ พ่อเลยเห็นว่าเป็นค่ายที่สะดวกและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบริเวณนั้นจึงได้เข้าไปใช้บริการเป็นครั้งแรก
- มีพนักงานหญิงเข้ามารับเรื่องและติดต่อดำเนินการจนแล้วเสร็จ และตกลงจะเปลี่ยนยางเป็นรุ่นปี 23 ลด 15% จากนั้น มีการออกใบเสนอราคา 4 เส้น ๆ ละ 2,750 คิดเป็นเงิน11,000 บาท ลด 15% คงเหลือจ่ายจริง 9,350 บาท
- พนักงานหญิงแจ้งว่ายังไม่มีของ รอสัก 2-3 วัน ผู้จัดการจะเอามาให้จากจังหวัดอยุธยา จะโทรไปแจ้งลูกค้าอีกครั้งเมื่อยางมาถึง และได้มีการวางมัดจำ จำนวน 2,000 บาท (ไม่มีการออกใบเสร็จให้แต่อย่างใด)
- หลังจากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งว่ายางมาแล้ว ให้เข้ารับบริการได้ในวันที่ 6 เมษายน 2567 จึงดำเนินการเปลี่ยนยางตามที่ได้นัดกัน
- ในระหว่างรอปลี่ยนเป็นยางรุ่นปี 23 พ่อก็เข้าไปชำระค่าบริการ ที่ในขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่นั่งข้างกัน 2 คน คือพนักงานผู้หญิงที่รับเรื่องและพนักงานผู้ชาย มีการดูที่จอ พูดคุยกันเหมือนปกติ แต่ใช้คำพูดประมาณว่า "นั่นล่ะ ใส่เลย อือ อืม"
- ปรากฏว่าพอค่าบริการจริงออกมากลับต้องจ่ายในราคา 7,700 บาท(ขึ้นที่หน้าจอคอมฯ) ทั้งที่ควรจะต้องจ่ายเพิ่มที่ 7,350 บาทเท่านั้น เพราะได้มัดจำไปก่อนหน้านี้แล้ว 2,000 บาท มันจะเท่ากับที่ตกลงกันไว้ตอนแรกคือ 9,350 บาท
- และพ่อก็ได้จ่ายเงินสดไป 7,700 บาท เท่ากับว่าตอนนี้ยอดรวมจึงกลายเป็น 9,700 บาท (เกินมาจากใบเสนอราคาที่เขียนไว้ในตอนแรก 350 บาท)
- พนักงานผู้ชายบอกว่าระบบคอมบริษัทผิดพลาด แล้วน้องพนักงาน กดเครื่องคิดเลขด้วยมือ จึงมีการขอเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 350 บาท พ่อจึงจ่ายเงินสดไปอีก 350 บาทแบบงงๆ
- หลังจากเปลี่ยนยางตั้งศูนย์ถ่วงล้อเสร็จ พนักงานก็มาเอาใบรับรถ เอาใบรับประกันยางมาให้ แต่พนักงานผู้หญิงยังไม่ได้ให้ใบเสร็จให้ พ่อเลยทวงถาม พนักงานพูดว่า "อ้อ ในชุดเอกสารไม่มีใบเสร็จหรือคะ" พนักงานถึงยื่นใบเสร็จให้มา และพอเช็คข้อมูลในใบเสร็จพบว่าข้อมูลไม่ตรง มีการระบุเป็นยางรุ่นปี 22 ลด 30% ทั้งที่ยางที่พ่อเปลี่ยนไปคือยางปี 23 ลด 15 % พอพ่อถามถึงความไม่ถูกต้องของข้อมูล พนักงานก็ไม่แก้ไขหรือยอมวอยด์ให้
- พ่อกลับบ้านมาแบบงง ๆ เพราะไม่เข้าใจระบบที่มันผิดเพี้ยนไปหมดจนสับสน จากนั้นพ่อเลยกลับมาตั้งหลักและตรวจสอบเอกสารใหม่อีกรอบ จึงพบความมีพิรุจ เช่น ยอดในใบเสนอราคาตอนแรกกับในใบเสร็จรับเงินไม่ตรงกัน คือจ่ายแพงขึ้น 350 บาท, และอีก 350 บาทเรียกเก็บเพิ่มนอกใบเสร็จอีกคืออะไร?, และรายละเอียดยางในใบเสร็จที่ขึ้นว่าเปลี่ยนไปเป็นยางของปี 22 ทั้งที่เปลี่ยนยางเป็นของรุ่นปี 23 ไป
- วันที่ 7 เมษายน 2567 พ่อเลยกลับไปที่ศูนย์บริการเดิม เพื่อสอบถามถึงความไม่ชัดเจน และถามถึงเงิน 350 บาทที่เรียกเก็บนอกใบเสร็จคือค่าในส่วนไหน เป็นค่าอะไรยังไง
- พนักงานผู้ชายคนเดิมให้คำตอบว่า "ถ้าลูกค้าไม่สบายใจ 350 ผมคืนให้ก็ได้ครับ" และเดินกลับมาเอาเงินมาคืนให้ 350 บาท และยังพูดว่าเป็นที่ระบบบริษัทมีปัญหา ในขณะที่พูดไม่สบตา ไม่มองต่ำก็มองไปทางอื่น (มีถ่ายคลิปไว้ตอนมายื่นเงินคืนให้) จากนั้นจึงถามต่อว่าทำไมในใบเสร็จกับยางที่เปลี่ยนไปรุ่นถึงไม่ตรงกัน พนักงานให้คำตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ แค่ยื่นใบรับประกันที่เป็นกระดาษระบุเขียนเป็นรุ่นยางปี 23 แทนได้ ไม่มีปัญหาให้ยึดจากใบนี้"
- ด้วยความที่พนักงานแจ้งว่าระบบมีปัญหา พ่อจึงไม่ได้ถามถึงอีก 350 บาท เพราะเห็นว่าเป็นยอดที่อยู่ในใบเสร็จ เข้าใจว่าคงต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก็ยังตะหงิด ๆ อยู่
- จนวันที่ 11 เมษายน 2567 พ่อเลยตัดสินใจเข้ามา กทม. มาหาเรา เพราะรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น (คือมาไม่บอกล่วงหน้า บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะมาหาบ่าย ๆ ปกติจะบอกล่วงหน้าเป็นวีค) พอมาถึง พ่อก็เล่าให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่วันแรกพร้อมเอาเอกสารทั้งหมดให้เราดู ซึ่งมันก็แปลกมากจริง ๆ กับศูนย์บริการระดับที่ใหญ่ขนาดนี้
- และจากการตรวจสอบด้วยตัวเอง สรุปได้ว่ามีมูลค่าที่หายไปจากระบบในครั้งนี้ รวมเป็นเงิน 2,350 บาท โดยมีผู้ที่ได้รับผลกระทบ 2 ส่วน
- ส่วนแรกคือบริษัท ที่เรียกเก็บจากพ่อไป 9,350 บาท แต่ในใบเสร็จรับเงินที่เข้าไปบริษัทกลับเป็นยอด 7,700 บาท เท่ากับว่ามีส่วนต่างที่หายไปเป็นจำนวน 1,650 บาท
- ส่วนที่สองคือพ่อที่เป็นลูกค้า ที่ต้องมาจ่ายเพิ่ม อีก 700 บาทจากใบเสรอราคาครั้งแรก ( 350 บาทที่เพิ่มมาในใบเสร็จ + อีก 350 บาทที่เรียกเก็บเพิ่มนอกรอบ ส่วนนี้ถ้าไม่ถามก็คงจะยังไม่ได้คืน)
- วันที่ 12 เมษายน 2567 (ข้อความทั้งหมดหลังจากนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน) เราจึงตัดสินใจพาพ่อไปปั๊มค่ายสีฟ้าที่ใกล้ที่สุด เพื่อสอบถามและช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลที่เกิดขึ้นว่าลักษณะนี้มันถูกต้องหรือไม่และจะแก้ไขได้อย่างไร เพราะอย่างแรกไม่มั่นใจกับคุณภาพของยางที่ได้รับมา ว่าเป็นยางที่มีที่มาที่ไปหรือไม่ เป็นยางผีหรือยางเถื่อนจากไหน เพราะในระบบเป็นยางของปี 22 แล้วยางของปี 23 ที่เอามาใส่ให้ไปเบิกมาจากไหน?? ต่อไปหากเกิดมีปัญหาขึ้นมาเขาต้องยึดข้อมูลจากในระบบมากกว่ากระดาษใบเล็ก ๆ ที่เขียนด้วยลายมืออยู่แล้วหรือเปล่า การได้ยางที่ไม่ตรงกับใบเสร็จ เวลาผ่านนานไปใครจะรับผิดชอบ เผลอ ๆ จะมาหาว่าเราโมเมแอบอ้าง กลายเป็นคนผิดจะถามหาความรับผิดชอบจากใครก็คงยาก
- พอมาถึงสาขาใหม่ พบเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ เลยเข้าไปขอปรึกษาและเขาให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี พอลองให้เขาตรวจสอบเบื้องต้น ก็พบความผิดปกติเหมือนกับที่เรารู้สึก และบอกว่าไม่ควรเป็นแบบนี้ ประเมินค่าใช้จ่ายไป 9,350 บาท ใบเสร็จก็ควรต้องออก 9,350 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้ติดต่อไปยังสาขาที่มีปัญหาเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไร ลูกค้าต้องการความชัดเจน ฝั่งนั้นเลยขอวางไปเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง จากนั้นไม่นานก็มีคนโทรกลับเข้ามาที่สาขาใหม่ คือพนักงานผู้ชายของสาขาที่มีปัญหาโทรเข้ามาขอโทษ ยอมรับความผิดพลาดที่ไม่ได้ตรวจเช็ค ตรวจสอบให้ดี เดี๋ยวจะทำการแก้ไข ออกบิล ใบเสร็จและเอกสารใหม่ให้ทั้งหมดให้ตรงกับความเป็นจริง และจะขอเข้ามาดูแลสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติมให้อย่างเต็มที่ จากนั้นก็ขอเบอร์เราและพ่อไป
- หลังจากนั้นไม่นาน มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา หาเรา เป็นพนักงานผู้ชายคนเดิม โทรมาขอโทษอีกครั้ง ยอมรับผิดที่ตรวจสอบผิดพลาด ขอความอนุเคราหะ์และสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับคนอื่นอีก และก็โทรเข้าเบอร์พ่อ อีกแจ้งว่าทำการเปลี่ยนเอกสารให้แล้ว ให้เข้ามาเอาเอกสารที่ถูกต้องและจะมีคืนเงินอีก 350 บาทให้ด้วย เท่ากับว่าพ่อเราก็จะได้เงินคืนที่ถูกเอาไป 2 รอบกลับครบคืนมาเรียบร้อย
- ส่วนในความรู้สึกเรา ถึงแม้มันจะเหมือนจบลงด้วยดี ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น แต่... ถ้าเราไม่ตามเรื่อง? เรื่องก็คงจะเงียบหายไปเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เอ่ะใจหรือตรวจสอบใบเสร็จใหม่อีกรอบ เงินจำนวนนั้นมันจะไปอยู่ทึ่ไหน แล้วถ้าเกิดเป็นแบบนี้กับคนอื่นอีกล่ะ บางคนไม่มีความรู้เรื่องรถ บางคนสูงอายุ มันจะกลายเป็นช่องโหว่อีกหรือไม่ เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ผ่านเลยมาจน 12 เมษายน(วันที่ต้องเข้าไปถามหาความชัดเจนด้วยตัวเอง) มันผ่านมาตั้ง 7 วัน ถ้าเกิดจากความผิดพลาดจริง ศูนย์บริการต้องเป็นฝ่ายแจ้งเข้ามาก่อนแล้วหรือเปล่า ไม่ใช่ปล่อยเลยผ่านมาขนาดนี้ ไหนจะฝ่ายการเงินอีก ยอดลูกค้าที่จ่ายรวมในแต่ละวันกับเงินรวมที่เข้าไปในระบบมันไม่พบความผิดปกติบ้างเลยเหรอ ปิดจบยอดไปได้ยังไงกัน? แบบนี้มันไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดแล้วหรือเปล่า?
- หลังจากเคลียร์ปัญหาเรียบร้อยกับศูนย์ที่มีปัญหา ตอน 11 โมงของวันเดียวกันเราก็กลับไปแจ้งไปในเพจบริษัทอีกครั้ง จากที่เคยทักไปก่อนหน้านี้ และขอคำชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ช่วยให้คำตอบว่ามีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหนและให้รบกวนแจ้งกลับด้วย เพราะมันทำให้ทั้งเราและพ่อเสียเวลา เสียความรู้สึกและความไม่สบายใจยังคงอยู่เพราะเหมือนถูกหลอก แอดมินจึงรับเรื่องและประสานงานส่งต่อให้ส่วนกลางเพื่อทำการตรวจสอบให้ แล้วก็หายไปเลย จนเราทักท้วงไปอีกครั้งตอนราว ๆ 2 ทุ่ม
- จากนั้น 3 ทุ่ม มีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางโทรเข้าเบอร์พ่อและแจ้งผลจากการตรวจสอบ พบว่าเป็นการทุจริตอย่างชัดเจนและน่าจะมีผู้รู้เห็นคนอื่น ๆ ด้วย เบื้องต้นได้ให้พนักงานเขียนใบลาออก และสั่งดำเนินการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และยังบอกอีกว่ายางที่ระบุปี 22 ในระบบมีผลต่างกันกับประกันยางรถปี 23 ของพ่อเราที่เพิ่งเปลี่ยนมาด้วย
จริง ๆ ตอนแรกไม่ได้อยากจะมาตั้งโพสต์เลย แต่เพราะการประสานงานที่ล่าช้า ไม่แสดงความรับผิดชอบหรือรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกค้า เพราะเราให้ข้อมูลกับส่วนกลางไปตั้งแต่ 11 โมง เงียบหายไร้การติดต่อจนต้องทักท้วงไปเองอีกทีตอน 2 ทุ่ม จน 3 ทุ่มถึงโทรมาแจ้งว่าเมื่อตอนบ่ายให้พนักงานเขียนใบลาออก (ตรวจสอบพบการทุจริตจริง ให้เขียนใบลาออกแต่ไม่มีการติดต่อลูกค้าที่เป็นผู้เสียหายเลยเนี้ยนะ??)
และอีกสาเหตุที่ทำให้ต้องมาโพสต์ลงโซเชียล ก็คือคำพูดของเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่รับเรื่อง ที่โทรมาแล้วใช้คำพูดไม่เหมาะสม (โทรมาหาพ่อ) บอกว่า "มีอะไรให้เราโทรหาเขาโดยตรงเลย อย่าไปพิมพ์ถามใน Inbox เพจ เพราะในเพจบริษัทมีแอดมินอยู่ 20 กว่าคน ช่วงนี้คนจะหยุดช่วงสงกรานต์ด้วย กลัวลำบากคนอื่น ข้อความมันเด้งไปหาทุกคน เกรงใจแอดมิน ๆ อยู่ในเพจ" คือนี่คือคำพูดที่ควรพูดกับผู้เสียหายหรือ? เกรงใจแอดมินกลัวคนอื่นลำบากแต่ไม่เกรงใจลูกค้าที่ถูกคนในองค์กรของตัวเองกระทำการทุจริตใส่มันถูกไหม? ลูกค้าเสียหายเดือดร้อน ไม่สบายใจแต่คนในองค์กรขอพักผ่อนก่อนแบบนี้ก็ได้หรือ? แล้วถ้าให้ข้อมูล ติดต่อมาหาตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องทวงถามไปบ่อย ๆ ก็ตรวจสอบพบการทุจริตแล้ว สั่งให้เขียนใบลาออกตั้งแต่บ่ายแล้ว กลับไม่มีการโทรมาแสดงว่าจะดำเนินการใด ๆ ต่อผู้เสียหายให้รับทราบ ต้องทักไปอีกทีดึก ๆ ถึงจะโทรมาหาได้อีกทีตอน 3 ทุ่ม และในเมื่อแจ้งส่วนตัวใน inbox ไม่ได้ เราก็เอามาเตือนคนอื่นข้างนอกเลยก็แล้วกัน
และทั้งนี้ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นการแชร์สู่กันฟัง ว่าเวลาจะซื้อของไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือการบริการใด ๆ ก็ต้องตรวจสอบด้วย อย่าเพียงไว้ใจว่าเป็นบริษัทที่ดีน่าเชื่อถือ มีสาขาเยอะ จนไม่ทันระวังซึ่งอาจจะถูกหลอกและเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว อย่างเคสนี้เอง บริษัทก็ไม่ได้ผิด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลล้วน ๆ แต่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทจะไม่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ เพราะมันเกิดจากบุคคลในองค์กร ที่สวมใส่แบบฟอร์มที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ให้กับองค์กรอยู่ในขณะนั้น
นี่ขนาดเคสพ่อเรายอดยังไม่ถึงหมื่น ยังยักยอกไปได้ตั้งเกือบ 2,500 บาท แล้วถ้าคนอื่น ๆ หลักหมื่นหลายหมื่น คิดเล่น ๆ แค่เอาเท่าเคสพ่อเราวันนึงทำแบบนี้ซัก 3 คนก็ได้ไปแล้ว 7,500 และเดือนนึงก็ปาไป 225,000 บาทไปแล้วนะ!!!
ป.ล. มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อเป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว
ป.ล.2 เจ้าหน้าที่ส่วนกลางแจ้งว่า จะทำการตรวจสอบหลังจากพ้นวันหยุดสงกรานต์ไปแล้ว ขอให้สบายใจจะช่วยเหลือดูแล กรณีนี้ผิดจริง และทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง (ประโยคนี้ก็ไปท้วงถามมาเองนะถึงพูด ไม่ได้มาบอกเอง) 😕
ป.ล.3 ยางที่ใส่อยู่ตอนนี้ก็ไม่มั่นใจคุณภาพเลย เป็นยางอะไรที่ไหน มาจากไหนก็ไม่รู้
จบแล้วครับ ยาวสุด ๆ แต่คิดว่าถ้าใครอ่านมาจนจบ หวังว่าจะได้มีความระมัดระวังกันมากขึ้นครับ ไม่อยากให้ใครต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย
*แก้ไขรูปภาพ
❌ เตือน!!!! ❌ อุทาหรณ์ถูกพนักงานศูนย์ซ่อมรถค่ายสีฟ้าชื่อดัง "ทุจริต" คนสูงอายุหรือไม่มีความรู้เรื่องรถ ต้องยิ่งระวัง!!
- เนื่องจากวันที่ 4 เมษายน 2567 พ่อ(รถพ่อ) ได้เข้าไปติดต่อจะเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ จำนวน 4 เส้น กับศูนย์บริการยานยนต์ที่ขึ้นต้นด้วย f ของปั๊มค่ายสีฟ้า สาขาต่างจังหวัด เพราะด้วยชื่อเสียงที่มีความน่าไว้วางใจ พ่อเลยเห็นว่าเป็นค่ายที่สะดวกและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบริเวณนั้นจึงได้เข้าไปใช้บริการเป็นครั้งแรก
- มีพนักงานหญิงเข้ามารับเรื่องและติดต่อดำเนินการจนแล้วเสร็จ และตกลงจะเปลี่ยนยางเป็นรุ่นปี 23 ลด 15% จากนั้น มีการออกใบเสนอราคา 4 เส้น ๆ ละ 2,750 คิดเป็นเงิน11,000 บาท ลด 15% คงเหลือจ่ายจริง 9,350 บาท
- พนักงานหญิงแจ้งว่ายังไม่มีของ รอสัก 2-3 วัน ผู้จัดการจะเอามาให้จากจังหวัดอยุธยา จะโทรไปแจ้งลูกค้าอีกครั้งเมื่อยางมาถึง และได้มีการวางมัดจำ จำนวน 2,000 บาท (ไม่มีการออกใบเสร็จให้แต่อย่างใด)
- หลังจากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งว่ายางมาแล้ว ให้เข้ารับบริการได้ในวันที่ 6 เมษายน 2567 จึงดำเนินการเปลี่ยนยางตามที่ได้นัดกัน
- ในระหว่างรอปลี่ยนเป็นยางรุ่นปี 23 พ่อก็เข้าไปชำระค่าบริการ ที่ในขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่นั่งข้างกัน 2 คน คือพนักงานผู้หญิงที่รับเรื่องและพนักงานผู้ชาย มีการดูที่จอ พูดคุยกันเหมือนปกติ แต่ใช้คำพูดประมาณว่า "นั่นล่ะ ใส่เลย อือ อืม"
- ปรากฏว่าพอค่าบริการจริงออกมากลับต้องจ่ายในราคา 7,700 บาท(ขึ้นที่หน้าจอคอมฯ) ทั้งที่ควรจะต้องจ่ายเพิ่มที่ 7,350 บาทเท่านั้น เพราะได้มัดจำไปก่อนหน้านี้แล้ว 2,000 บาท มันจะเท่ากับที่ตกลงกันไว้ตอนแรกคือ 9,350 บาท
- และพ่อก็ได้จ่ายเงินสดไป 7,700 บาท เท่ากับว่าตอนนี้ยอดรวมจึงกลายเป็น 9,700 บาท (เกินมาจากใบเสนอราคาที่เขียนไว้ในตอนแรก 350 บาท)
- พนักงานผู้ชายบอกว่าระบบคอมบริษัทผิดพลาด แล้วน้องพนักงาน กดเครื่องคิดเลขด้วยมือ จึงมีการขอเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 350 บาท พ่อจึงจ่ายเงินสดไปอีก 350 บาทแบบงงๆ
- หลังจากเปลี่ยนยางตั้งศูนย์ถ่วงล้อเสร็จ พนักงานก็มาเอาใบรับรถ เอาใบรับประกันยางมาให้ แต่พนักงานผู้หญิงยังไม่ได้ให้ใบเสร็จให้ พ่อเลยทวงถาม พนักงานพูดว่า "อ้อ ในชุดเอกสารไม่มีใบเสร็จหรือคะ" พนักงานถึงยื่นใบเสร็จให้มา และพอเช็คข้อมูลในใบเสร็จพบว่าข้อมูลไม่ตรง มีการระบุเป็นยางรุ่นปี 22 ลด 30% ทั้งที่ยางที่พ่อเปลี่ยนไปคือยางปี 23 ลด 15 % พอพ่อถามถึงความไม่ถูกต้องของข้อมูล พนักงานก็ไม่แก้ไขหรือยอมวอยด์ให้
- พ่อกลับบ้านมาแบบงง ๆ เพราะไม่เข้าใจระบบที่มันผิดเพี้ยนไปหมดจนสับสน จากนั้นพ่อเลยกลับมาตั้งหลักและตรวจสอบเอกสารใหม่อีกรอบ จึงพบความมีพิรุจ เช่น ยอดในใบเสนอราคาตอนแรกกับในใบเสร็จรับเงินไม่ตรงกัน คือจ่ายแพงขึ้น 350 บาท, และอีก 350 บาทเรียกเก็บเพิ่มนอกใบเสร็จอีกคืออะไร?, และรายละเอียดยางในใบเสร็จที่ขึ้นว่าเปลี่ยนไปเป็นยางของปี 22 ทั้งที่เปลี่ยนยางเป็นของรุ่นปี 23 ไป
- วันที่ 7 เมษายน 2567 พ่อเลยกลับไปที่ศูนย์บริการเดิม เพื่อสอบถามถึงความไม่ชัดเจน และถามถึงเงิน 350 บาทที่เรียกเก็บนอกใบเสร็จคือค่าในส่วนไหน เป็นค่าอะไรยังไง
- พนักงานผู้ชายคนเดิมให้คำตอบว่า "ถ้าลูกค้าไม่สบายใจ 350 ผมคืนให้ก็ได้ครับ" และเดินกลับมาเอาเงินมาคืนให้ 350 บาท และยังพูดว่าเป็นที่ระบบบริษัทมีปัญหา ในขณะที่พูดไม่สบตา ไม่มองต่ำก็มองไปทางอื่น (มีถ่ายคลิปไว้ตอนมายื่นเงินคืนให้) จากนั้นจึงถามต่อว่าทำไมในใบเสร็จกับยางที่เปลี่ยนไปรุ่นถึงไม่ตรงกัน พนักงานให้คำตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ แค่ยื่นใบรับประกันที่เป็นกระดาษระบุเขียนเป็นรุ่นยางปี 23 แทนได้ ไม่มีปัญหาให้ยึดจากใบนี้"
- ด้วยความที่พนักงานแจ้งว่าระบบมีปัญหา พ่อจึงไม่ได้ถามถึงอีก 350 บาท เพราะเห็นว่าเป็นยอดที่อยู่ในใบเสร็จ เข้าใจว่าคงต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก็ยังตะหงิด ๆ อยู่
- จนวันที่ 11 เมษายน 2567 พ่อเลยตัดสินใจเข้ามา กทม. มาหาเรา เพราะรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น (คือมาไม่บอกล่วงหน้า บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะมาหาบ่าย ๆ ปกติจะบอกล่วงหน้าเป็นวีค) พอมาถึง พ่อก็เล่าให้ฟังทั้งหมดตั้งแต่วันแรกพร้อมเอาเอกสารทั้งหมดให้เราดู ซึ่งมันก็แปลกมากจริง ๆ กับศูนย์บริการระดับที่ใหญ่ขนาดนี้
- และจากการตรวจสอบด้วยตัวเอง สรุปได้ว่ามีมูลค่าที่หายไปจากระบบในครั้งนี้ รวมเป็นเงิน 2,350 บาท โดยมีผู้ที่ได้รับผลกระทบ 2 ส่วน
- ส่วนแรกคือบริษัท ที่เรียกเก็บจากพ่อไป 9,350 บาท แต่ในใบเสร็จรับเงินที่เข้าไปบริษัทกลับเป็นยอด 7,700 บาท เท่ากับว่ามีส่วนต่างที่หายไปเป็นจำนวน 1,650 บาท
- ส่วนที่สองคือพ่อที่เป็นลูกค้า ที่ต้องมาจ่ายเพิ่ม อีก 700 บาทจากใบเสรอราคาครั้งแรก ( 350 บาทที่เพิ่มมาในใบเสร็จ + อีก 350 บาทที่เรียกเก็บเพิ่มนอกรอบ ส่วนนี้ถ้าไม่ถามก็คงจะยังไม่ได้คืน)
- วันที่ 12 เมษายน 2567 (ข้อความทั้งหมดหลังจากนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน) เราจึงตัดสินใจพาพ่อไปปั๊มค่ายสีฟ้าที่ใกล้ที่สุด เพื่อสอบถามและช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลที่เกิดขึ้นว่าลักษณะนี้มันถูกต้องหรือไม่และจะแก้ไขได้อย่างไร เพราะอย่างแรกไม่มั่นใจกับคุณภาพของยางที่ได้รับมา ว่าเป็นยางที่มีที่มาที่ไปหรือไม่ เป็นยางผีหรือยางเถื่อนจากไหน เพราะในระบบเป็นยางของปี 22 แล้วยางของปี 23 ที่เอามาใส่ให้ไปเบิกมาจากไหน?? ต่อไปหากเกิดมีปัญหาขึ้นมาเขาต้องยึดข้อมูลจากในระบบมากกว่ากระดาษใบเล็ก ๆ ที่เขียนด้วยลายมืออยู่แล้วหรือเปล่า การได้ยางที่ไม่ตรงกับใบเสร็จ เวลาผ่านนานไปใครจะรับผิดชอบ เผลอ ๆ จะมาหาว่าเราโมเมแอบอ้าง กลายเป็นคนผิดจะถามหาความรับผิดชอบจากใครก็คงยาก
- พอมาถึงสาขาใหม่ พบเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ เลยเข้าไปขอปรึกษาและเขาให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี พอลองให้เขาตรวจสอบเบื้องต้น ก็พบความผิดปกติเหมือนกับที่เรารู้สึก และบอกว่าไม่ควรเป็นแบบนี้ ประเมินค่าใช้จ่ายไป 9,350 บาท ใบเสร็จก็ควรต้องออก 9,350 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้ติดต่อไปยังสาขาที่มีปัญหาเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไร ลูกค้าต้องการความชัดเจน ฝั่งนั้นเลยขอวางไปเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง จากนั้นไม่นานก็มีคนโทรกลับเข้ามาที่สาขาใหม่ คือพนักงานผู้ชายของสาขาที่มีปัญหาโทรเข้ามาขอโทษ ยอมรับความผิดพลาดที่ไม่ได้ตรวจเช็ค ตรวจสอบให้ดี เดี๋ยวจะทำการแก้ไข ออกบิล ใบเสร็จและเอกสารใหม่ให้ทั้งหมดให้ตรงกับความเป็นจริง และจะขอเข้ามาดูแลสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติมให้อย่างเต็มที่ จากนั้นก็ขอเบอร์เราและพ่อไป
- หลังจากนั้นไม่นาน มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา หาเรา เป็นพนักงานผู้ชายคนเดิม โทรมาขอโทษอีกครั้ง ยอมรับผิดที่ตรวจสอบผิดพลาด ขอความอนุเคราหะ์และสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับคนอื่นอีก และก็โทรเข้าเบอร์พ่อ อีกแจ้งว่าทำการเปลี่ยนเอกสารให้แล้ว ให้เข้ามาเอาเอกสารที่ถูกต้องและจะมีคืนเงินอีก 350 บาทให้ด้วย เท่ากับว่าพ่อเราก็จะได้เงินคืนที่ถูกเอาไป 2 รอบกลับครบคืนมาเรียบร้อย
- ส่วนในความรู้สึกเรา ถึงแม้มันจะเหมือนจบลงด้วยดี ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น แต่... ถ้าเราไม่ตามเรื่อง? เรื่องก็คงจะเงียบหายไปเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เอ่ะใจหรือตรวจสอบใบเสร็จใหม่อีกรอบ เงินจำนวนนั้นมันจะไปอยู่ทึ่ไหน แล้วถ้าเกิดเป็นแบบนี้กับคนอื่นอีกล่ะ บางคนไม่มีความรู้เรื่องรถ บางคนสูงอายุ มันจะกลายเป็นช่องโหว่อีกหรือไม่ เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ผ่านเลยมาจน 12 เมษายน(วันที่ต้องเข้าไปถามหาความชัดเจนด้วยตัวเอง) มันผ่านมาตั้ง 7 วัน ถ้าเกิดจากความผิดพลาดจริง ศูนย์บริการต้องเป็นฝ่ายแจ้งเข้ามาก่อนแล้วหรือเปล่า ไม่ใช่ปล่อยเลยผ่านมาขนาดนี้ ไหนจะฝ่ายการเงินอีก ยอดลูกค้าที่จ่ายรวมในแต่ละวันกับเงินรวมที่เข้าไปในระบบมันไม่พบความผิดปกติบ้างเลยเหรอ ปิดจบยอดไปได้ยังไงกัน? แบบนี้มันไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดแล้วหรือเปล่า?
- หลังจากเคลียร์ปัญหาเรียบร้อยกับศูนย์ที่มีปัญหา ตอน 11 โมงของวันเดียวกันเราก็กลับไปแจ้งไปในเพจบริษัทอีกครั้ง จากที่เคยทักไปก่อนหน้านี้ และขอคำชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ช่วยให้คำตอบว่ามีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหนและให้รบกวนแจ้งกลับด้วย เพราะมันทำให้ทั้งเราและพ่อเสียเวลา เสียความรู้สึกและความไม่สบายใจยังคงอยู่เพราะเหมือนถูกหลอก แอดมินจึงรับเรื่องและประสานงานส่งต่อให้ส่วนกลางเพื่อทำการตรวจสอบให้ แล้วก็หายไปเลย จนเราทักท้วงไปอีกครั้งตอนราว ๆ 2 ทุ่ม
- จากนั้น 3 ทุ่ม มีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางโทรเข้าเบอร์พ่อและแจ้งผลจากการตรวจสอบ พบว่าเป็นการทุจริตอย่างชัดเจนและน่าจะมีผู้รู้เห็นคนอื่น ๆ ด้วย เบื้องต้นได้ให้พนักงานเขียนใบลาออก และสั่งดำเนินการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และยังบอกอีกว่ายางที่ระบุปี 22 ในระบบมีผลต่างกันกับประกันยางรถปี 23 ของพ่อเราที่เพิ่งเปลี่ยนมาด้วย
จริง ๆ ตอนแรกไม่ได้อยากจะมาตั้งโพสต์เลย แต่เพราะการประสานงานที่ล่าช้า ไม่แสดงความรับผิดชอบหรือรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกค้า เพราะเราให้ข้อมูลกับส่วนกลางไปตั้งแต่ 11 โมง เงียบหายไร้การติดต่อจนต้องทักท้วงไปเองอีกทีตอน 2 ทุ่ม จน 3 ทุ่มถึงโทรมาแจ้งว่าเมื่อตอนบ่ายให้พนักงานเขียนใบลาออก (ตรวจสอบพบการทุจริตจริง ให้เขียนใบลาออกแต่ไม่มีการติดต่อลูกค้าที่เป็นผู้เสียหายเลยเนี้ยนะ??)
และอีกสาเหตุที่ทำให้ต้องมาโพสต์ลงโซเชียล ก็คือคำพูดของเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่รับเรื่อง ที่โทรมาแล้วใช้คำพูดไม่เหมาะสม (โทรมาหาพ่อ) บอกว่า "มีอะไรให้เราโทรหาเขาโดยตรงเลย อย่าไปพิมพ์ถามใน Inbox เพจ เพราะในเพจบริษัทมีแอดมินอยู่ 20 กว่าคน ช่วงนี้คนจะหยุดช่วงสงกรานต์ด้วย กลัวลำบากคนอื่น ข้อความมันเด้งไปหาทุกคน เกรงใจแอดมิน ๆ อยู่ในเพจ" คือนี่คือคำพูดที่ควรพูดกับผู้เสียหายหรือ? เกรงใจแอดมินกลัวคนอื่นลำบากแต่ไม่เกรงใจลูกค้าที่ถูกคนในองค์กรของตัวเองกระทำการทุจริตใส่มันถูกไหม? ลูกค้าเสียหายเดือดร้อน ไม่สบายใจแต่คนในองค์กรขอพักผ่อนก่อนแบบนี้ก็ได้หรือ? แล้วถ้าให้ข้อมูล ติดต่อมาหาตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องทวงถามไปบ่อย ๆ ก็ตรวจสอบพบการทุจริตแล้ว สั่งให้เขียนใบลาออกตั้งแต่บ่ายแล้ว กลับไม่มีการโทรมาแสดงว่าจะดำเนินการใด ๆ ต่อผู้เสียหายให้รับทราบ ต้องทักไปอีกทีดึก ๆ ถึงจะโทรมาหาได้อีกทีตอน 3 ทุ่ม และในเมื่อแจ้งส่วนตัวใน inbox ไม่ได้ เราก็เอามาเตือนคนอื่นข้างนอกเลยก็แล้วกัน
และทั้งนี้ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นการแชร์สู่กันฟัง ว่าเวลาจะซื้อของไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือการบริการใด ๆ ก็ต้องตรวจสอบด้วย อย่าเพียงไว้ใจว่าเป็นบริษัทที่ดีน่าเชื่อถือ มีสาขาเยอะ จนไม่ทันระวังซึ่งอาจจะถูกหลอกและเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว อย่างเคสนี้เอง บริษัทก็ไม่ได้ผิด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลล้วน ๆ แต่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทจะไม่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ เพราะมันเกิดจากบุคคลในองค์กร ที่สวมใส่แบบฟอร์มที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ให้กับองค์กรอยู่ในขณะนั้น
นี่ขนาดเคสพ่อเรายอดยังไม่ถึงหมื่น ยังยักยอกไปได้ตั้งเกือบ 2,500 บาท แล้วถ้าคนอื่น ๆ หลักหมื่นหลายหมื่น คิดเล่น ๆ แค่เอาเท่าเคสพ่อเราวันนึงทำแบบนี้ซัก 3 คนก็ได้ไปแล้ว 7,500 และเดือนนึงก็ปาไป 225,000 บาทไปแล้วนะ!!!
ป.ล. มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อเป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว
ป.ล.2 เจ้าหน้าที่ส่วนกลางแจ้งว่า จะทำการตรวจสอบหลังจากพ้นวันหยุดสงกรานต์ไปแล้ว ขอให้สบายใจจะช่วยเหลือดูแล กรณีนี้ผิดจริง และทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง (ประโยคนี้ก็ไปท้วงถามมาเองนะถึงพูด ไม่ได้มาบอกเอง) 😕
ป.ล.3 ยางที่ใส่อยู่ตอนนี้ก็ไม่มั่นใจคุณภาพเลย เป็นยางอะไรที่ไหน มาจากไหนก็ไม่รู้
จบแล้วครับ ยาวสุด ๆ แต่คิดว่าถ้าใครอ่านมาจนจบ หวังว่าจะได้มีความระมัดระวังกันมากขึ้นครับ ไม่อยากให้ใครต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย
*แก้ไขรูปภาพ