- การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน คือ การให้คำนิยามตรงตัวกับเรื่องนี้ที่สุด หลังจากดูจบไปรอบพิเศษเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ชอบมาก สนุก ตื่นเต้น สมการรอคอยและเป็นผลงานการกำกับที่ทะเยอทะยานงานสร้างที่สุดของ Alex Garland เช่นกันดูจบเข้าใจเลยว่าทำไมถึงประกาศเลิกทำหนัง เพราะ เป็นหนังสงครามชิงอำนาจยุคใหม่ที่ถ่ายทอดบรรยากาศความรุนแรงจากสงครามที่เกิดจากผลกระทบของการล่มสลายของระบบอารยธรรมได้หนักแน่นและทรงพลังจนใกล้เคียงกับความจริงจนแอบวิตกลึก ๆ แล้ว ดงกระสุนควันระเบิดที่สาดไปสาดมาจากไม่รู้ใครเป็นใครแถมมีเศษชิ้นส่วนอวัยวะกระจุยตามแรงระเบิดทำให้เรานึกถึงเรื่อง The Killing Fields (1984) ในสถานการณ์ที่พร้อมจะตุยได้ทุกเมื่อถ้าเราเผลอ ถึงจะมีลายเส้นของการเล่าที่ลงสไตล์การเล่นท่ายากของค่ายนี้ลดลงแล้วอัดฉีดด้วยฉาก Action ทำลายล้างเพิ่มขึ้นแต่ไม่เน้นมากแต่มาแต่ละทีจัดเต็มทุกดอก แล้วแต่ละดอกก็กระทำกันอย่างอุกอาจและป่าเถื่อนอย่างหาที่สุดมิได้ราวกับว่าเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราโดยห่างจากกันเพียงแค่เส้นยาผ่าแปด
- ถ้าว่าเรื่อง Love Lies Bleeding (2024) ดูง่ายแล้วเรื่องนี้ดูง่ายยิ่งกว่า 95% ที่เหลืออีก 5% ก็ยังคงสไตล์การเล่าที่แฝงสัญญะตาม Signature ของค่ายนี้พอกรุบกริบเพื่อเป็นมิตรกับคนดูกระแสหลักที่เน้นเสพความบันเทิงที่สุด เพราะ ฉาก Action ยิงกระหน่ำ ระเบิดภูเขาเผากระท่อม Summer Sale สามารถซื้อใจคนดูได้ง่ายอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้เน้นในส่วนนี้ 100% แต่ Details ที่แฝงมากับคำพูดของตัวละครเกิน 50 % เต็มไปด้วยแก่นสารทางการเมืองที่จับต้องได้และนำไปเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการเรียง Timeline ในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วมุมโลก ถึงแม้ในเรื่องจะสมมติฉากหลังขึ้นแต่บริบทบางอย่างก็อ้างอิงตามหลักความจริงอยู่ดี หลายอย่างเราจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ถ้าเคยศึกมาแต่รากเหง้าหรือนำมาตีความดูก็จะ Get ในสิ่งที่หนังพยายามจิกกัดต่อภาพลักษณ์ของประเทศนี้พร้อมกับมวลสารที่อัดแน่นด้วยคำถามในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุของบรรดาผู้กุมอำนาจจนอยากจะอาเจียนอยู่หรอมหร่อ
- ปกติเราจะดูหนังสงครามในมุมของฝั่งอเมริกาที่เสนอหน้าไปสู้รบตามประเทศอื่นในฐานะวีรบุรุษหรือเข้าไปแทรกซึมในฐานะ CIA ก็ดีหรือ Spy เพื่อทำภารกิจก็ตามแต่กลับเรื่องนี้แตกต่างจากโทนเรื่องอื่นตรงที่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในบ้านผ่านมุมของกลุ่มนักข่าว 4 คนในสไตล์ Road Trip ไปตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีฮีโร่มาช่วยเหลือ มีแต่คนที่หันมารบกันเอง เพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้น บางคนเลือกที่จะเข้าร่วม บางคนเลือกที่จะต่อต้าน บางคนเลือกที่จะหนี และ บางกลุ่มเลือกที่จะเป็นอเมริกันเฉยก็สุดแท้แต่แต่หนังก็แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครดีหรือใครเลวมีแต่ความขัดแย้งทางความคิดที่กำลังเกิดขึ้น แม้เส้นเรื่องมีไม่เยอะไม่ยุ่งยากซับซ้อน ส่วนมาก Details ตกไปอยู่ระหว่างทางเลยมีอะไรให้เราฉุกคิดจนมาอาจคลาดสายตาไปได้กับบรรยากาศ คำพูด กระทั่งฉากต่อสู้จนแอบมองไปดูสงครามที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งทั่วโลกและบ้านเราเอง อีกอย่างที่ชอบคือ Score ที่บรรเลงมาเป็นอัลบั้มมีส่วนช่วยทำให้ตัวเรื่องมีจังหวะยียวนและไม่หดหู่เกินไปแถมแทรกมาแต่ละช่วงได้ถูกจังหวะมากฟังไปเหมือนถูกกระตุกต่อมลักชาติยังไงยังงั้น
- นักแสดงหลักมี 4 คนที่ทำหน้าที่เป็นดวงตานำพาเราไปผจญกับเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยความอยากรู้และสงสัยว่าจะเจอกับอะไรแล้วถ้ามองในส่วนของเวลาปรากฎแล้วน้ำหนักความโดดเด่นจะเทไปที่ 2 สาวต่างวัยอย่าง Kristen Durst ที่รับบท Lee กับ น้อน Cailee Spaegny ที่รับบทเป็น Jessie เหมือนเป็นกระจกส่องตัวตนของกันและกัน ทั้งนิสัยและการกระทำที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยอมรับว่าขัดใจกับการกระทำของน้อนบ้างแต่เข้าใจได้ในวัยวุฒิและประสบการณ์ที่มีน้อยกว่าเหมือนน้องเล็กที่กำลังร้อนวิชาอยากโชว์ภูมิแต่พี่ ๆ ห้ามไว้ก่อนบวกกับความน่ารักแมน ๆ ด้วยเลยให้อภัยได้ ส่วน เฮีย Wagner Moura รับบท Joel แม้จะเป็นนักข่าวผู้เจนสนามเหมือนกันกับ Kristen แต่มีนิสัยลุย ๆ ชิล ๆ เพื่อแสดงขั้วตรงข้ามกับ Lee ที่เป็นคนจริงจัง และ ลุง Stephen Mckinney Henderson รับบท Sammy ผู้อาวุโสในกลุ่ม เป็นทั้งเพื่อนทั้งพ่อคอยคุมสมาชิกที่เหลืออารมณ์ครอบครัวสุขสันต์กำลังขับรถพาลูก ๆ ไปปิกนิกตามลำพัง พร้อมกับค่อย ๆ เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละคนพัฒนาไปทีละขั้น โดยเฉพาะตัว Lee กับ Jessie ส่วนนักแสดงสมทบที่คุ้นหน้าอยู่อย่าง Jessie Plemons ในมาดทหารฝ่ายไหนไม่รู้ กับ Nick Offerman มารับจ๊อบเป็นประธานาธิปดี ช่วยทำให้เรื่องมีความเข้มข้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะ Jessie มานิดแต่เอาเรื่อง
- สรุป เป็นหนังที่ย่อยง่ายในสาระและดูง่ายเพื่อความบันเทิงตั้งแต่ต้นจนจบในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 49 นาที ที่น่าติดตามจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีเนิบนิด ๆ แต่ไม่วูบหลับ เพราะ ภาพรวมถ่ายทอดสภาวะสงครามกลางเมืองที่มีกลิ่นอายความเป็น Thriller ที่ไม่อวยโปรอเมริกันแต่มองว่าเป็นการ Anti สงครามด้วยการประจานความล้มเหลวของผู้นำผ่านสื่อ Social ได้ทันสมัยที่สุด ซึ่งมีไม่บ่อยนักที่หนังแนวนี้จะนำเสนอให้เราเห็นในมุมนี้เหมือนย้อนไปอยู่ในยุค Analog เดียวกับเรื่อง Apocalyspe Now (1979) ถึง Scene Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อมจะสมจริงจนเห็นเลือดเห็นเนื้อแต่มีข้อติเลยคือหนังไม่ได้บอกที่มาของสงครามเลยว่ามีต้นเหตุมาจากไหน จู่ ๆ เปิดเรื่องมาที่ประธานาธิปดีกำลังซ้อม Speech กับตนเองก่อนที่จะโผล่บนหน้าจอเสร็จปุ๊ปภาพก็ตัดไปเข้าสู่สนามรบทันที รวมถึงการตัดข้ามไปฉากใหม่ดื้อ ๆ การปิดเสียงแล้วใช้วิธี Slow ภาพ กระทั่งบทสรุปที่กระหน่ำกันมายกชุดราวกับหนังของลุง Bay ก็ยังสร้างความตกใจจนเราสตั๊นท์ไปชั่วพริบตา ก็ปล่อยให้คนดูไปตั้งคำถามกันเองซึ่งก็เป็นสไตล์ของค่ายนี้อยู่แล้วที่กูเปิดโอกาสให้เข้าถึงแล้วแต่กูไม่ตามใจหมดหรอก อย่างไรก็ตามทุกตัวละครคือผู้เล่นที่อยู่ในเกมส์กติกา อยู่ที่ว่าใครจะเลือกฝั่งไหน ถึงบางอย่างจะข้ามเส้นกั้นทางศีลธรรมจนเลยต่อมจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีไป แต่ยังไงคนก็คือส่วนหนึ่งของระบบตั้งแต่เกิดจนตุย ต่อให้เราไม่เลือก เขาก็จะเลือกให้เราไปร่วม Joint กับมันอยู่ดี
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] ์No.95 Civil War : มหาวิบัติศึกชิงเก้าอี้สภาจลาจล
- การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน คือ การให้คำนิยามตรงตัวกับเรื่องนี้ที่สุด หลังจากดูจบไปรอบพิเศษเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ชอบมาก สนุก ตื่นเต้น สมการรอคอยและเป็นผลงานการกำกับที่ทะเยอทะยานงานสร้างที่สุดของ Alex Garland เช่นกันดูจบเข้าใจเลยว่าทำไมถึงประกาศเลิกทำหนัง เพราะ เป็นหนังสงครามชิงอำนาจยุคใหม่ที่ถ่ายทอดบรรยากาศความรุนแรงจากสงครามที่เกิดจากผลกระทบของการล่มสลายของระบบอารยธรรมได้หนักแน่นและทรงพลังจนใกล้เคียงกับความจริงจนแอบวิตกลึก ๆ แล้ว ดงกระสุนควันระเบิดที่สาดไปสาดมาจากไม่รู้ใครเป็นใครแถมมีเศษชิ้นส่วนอวัยวะกระจุยตามแรงระเบิดทำให้เรานึกถึงเรื่อง The Killing Fields (1984) ในสถานการณ์ที่พร้อมจะตุยได้ทุกเมื่อถ้าเราเผลอ ถึงจะมีลายเส้นของการเล่าที่ลงสไตล์การเล่นท่ายากของค่ายนี้ลดลงแล้วอัดฉีดด้วยฉาก Action ทำลายล้างเพิ่มขึ้นแต่ไม่เน้นมากแต่มาแต่ละทีจัดเต็มทุกดอก แล้วแต่ละดอกก็กระทำกันอย่างอุกอาจและป่าเถื่อนอย่างหาที่สุดมิได้ราวกับว่าเหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราโดยห่างจากกันเพียงแค่เส้นยาผ่าแปด
- ถ้าว่าเรื่อง Love Lies Bleeding (2024) ดูง่ายแล้วเรื่องนี้ดูง่ายยิ่งกว่า 95% ที่เหลืออีก 5% ก็ยังคงสไตล์การเล่าที่แฝงสัญญะตาม Signature ของค่ายนี้พอกรุบกริบเพื่อเป็นมิตรกับคนดูกระแสหลักที่เน้นเสพความบันเทิงที่สุด เพราะ ฉาก Action ยิงกระหน่ำ ระเบิดภูเขาเผากระท่อม Summer Sale สามารถซื้อใจคนดูได้ง่ายอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้เน้นในส่วนนี้ 100% แต่ Details ที่แฝงมากับคำพูดของตัวละครเกิน 50 % เต็มไปด้วยแก่นสารทางการเมืองที่จับต้องได้และนำไปเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการเรียง Timeline ในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วมุมโลก ถึงแม้ในเรื่องจะสมมติฉากหลังขึ้นแต่บริบทบางอย่างก็อ้างอิงตามหลักความจริงอยู่ดี หลายอย่างเราจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ถ้าเคยศึกมาแต่รากเหง้าหรือนำมาตีความดูก็จะ Get ในสิ่งที่หนังพยายามจิกกัดต่อภาพลักษณ์ของประเทศนี้พร้อมกับมวลสารที่อัดแน่นด้วยคำถามในเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุของบรรดาผู้กุมอำนาจจนอยากจะอาเจียนอยู่หรอมหร่อ
- ปกติเราจะดูหนังสงครามในมุมของฝั่งอเมริกาที่เสนอหน้าไปสู้รบตามประเทศอื่นในฐานะวีรบุรุษหรือเข้าไปแทรกซึมในฐานะ CIA ก็ดีหรือ Spy เพื่อทำภารกิจก็ตามแต่กลับเรื่องนี้แตกต่างจากโทนเรื่องอื่นตรงที่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในบ้านผ่านมุมของกลุ่มนักข่าว 4 คนในสไตล์ Road Trip ไปตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีฮีโร่มาช่วยเหลือ มีแต่คนที่หันมารบกันเอง เพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้น บางคนเลือกที่จะเข้าร่วม บางคนเลือกที่จะต่อต้าน บางคนเลือกที่จะหนี และ บางกลุ่มเลือกที่จะเป็นอเมริกันเฉยก็สุดแท้แต่แต่หนังก็แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครดีหรือใครเลวมีแต่ความขัดแย้งทางความคิดที่กำลังเกิดขึ้น แม้เส้นเรื่องมีไม่เยอะไม่ยุ่งยากซับซ้อน ส่วนมาก Details ตกไปอยู่ระหว่างทางเลยมีอะไรให้เราฉุกคิดจนมาอาจคลาดสายตาไปได้กับบรรยากาศ คำพูด กระทั่งฉากต่อสู้จนแอบมองไปดูสงครามที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งทั่วโลกและบ้านเราเอง อีกอย่างที่ชอบคือ Score ที่บรรเลงมาเป็นอัลบั้มมีส่วนช่วยทำให้ตัวเรื่องมีจังหวะยียวนและไม่หดหู่เกินไปแถมแทรกมาแต่ละช่วงได้ถูกจังหวะมากฟังไปเหมือนถูกกระตุกต่อมลักชาติยังไงยังงั้น
- นักแสดงหลักมี 4 คนที่ทำหน้าที่เป็นดวงตานำพาเราไปผจญกับเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยความอยากรู้และสงสัยว่าจะเจอกับอะไรแล้วถ้ามองในส่วนของเวลาปรากฎแล้วน้ำหนักความโดดเด่นจะเทไปที่ 2 สาวต่างวัยอย่าง Kristen Durst ที่รับบท Lee กับ น้อน Cailee Spaegny ที่รับบทเป็น Jessie เหมือนเป็นกระจกส่องตัวตนของกันและกัน ทั้งนิสัยและการกระทำที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยอมรับว่าขัดใจกับการกระทำของน้อนบ้างแต่เข้าใจได้ในวัยวุฒิและประสบการณ์ที่มีน้อยกว่าเหมือนน้องเล็กที่กำลังร้อนวิชาอยากโชว์ภูมิแต่พี่ ๆ ห้ามไว้ก่อนบวกกับความน่ารักแมน ๆ ด้วยเลยให้อภัยได้ ส่วน เฮีย Wagner Moura รับบท Joel แม้จะเป็นนักข่าวผู้เจนสนามเหมือนกันกับ Kristen แต่มีนิสัยลุย ๆ ชิล ๆ เพื่อแสดงขั้วตรงข้ามกับ Lee ที่เป็นคนจริงจัง และ ลุง Stephen Mckinney Henderson รับบท Sammy ผู้อาวุโสในกลุ่ม เป็นทั้งเพื่อนทั้งพ่อคอยคุมสมาชิกที่เหลืออารมณ์ครอบครัวสุขสันต์กำลังขับรถพาลูก ๆ ไปปิกนิกตามลำพัง พร้อมกับค่อย ๆ เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละคนพัฒนาไปทีละขั้น โดยเฉพาะตัว Lee กับ Jessie ส่วนนักแสดงสมทบที่คุ้นหน้าอยู่อย่าง Jessie Plemons ในมาดทหารฝ่ายไหนไม่รู้ กับ Nick Offerman มารับจ๊อบเป็นประธานาธิปดี ช่วยทำให้เรื่องมีความเข้มข้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะ Jessie มานิดแต่เอาเรื่อง
- สรุป เป็นหนังที่ย่อยง่ายในสาระและดูง่ายเพื่อความบันเทิงตั้งแต่ต้นจนจบในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 49 นาที ที่น่าติดตามจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีเนิบนิด ๆ แต่ไม่วูบหลับ เพราะ ภาพรวมถ่ายทอดสภาวะสงครามกลางเมืองที่มีกลิ่นอายความเป็น Thriller ที่ไม่อวยโปรอเมริกันแต่มองว่าเป็นการ Anti สงครามด้วยการประจานความล้มเหลวของผู้นำผ่านสื่อ Social ได้ทันสมัยที่สุด ซึ่งมีไม่บ่อยนักที่หนังแนวนี้จะนำเสนอให้เราเห็นในมุมนี้เหมือนย้อนไปอยู่ในยุค Analog เดียวกับเรื่อง Apocalyspe Now (1979) ถึง Scene Action ระเบิดภูเขาเผากระท่อมจะสมจริงจนเห็นเลือดเห็นเนื้อแต่มีข้อติเลยคือหนังไม่ได้บอกที่มาของสงครามเลยว่ามีต้นเหตุมาจากไหน จู่ ๆ เปิดเรื่องมาที่ประธานาธิปดีกำลังซ้อม Speech กับตนเองก่อนที่จะโผล่บนหน้าจอเสร็จปุ๊ปภาพก็ตัดไปเข้าสู่สนามรบทันที รวมถึงการตัดข้ามไปฉากใหม่ดื้อ ๆ การปิดเสียงแล้วใช้วิธี Slow ภาพ กระทั่งบทสรุปที่กระหน่ำกันมายกชุดราวกับหนังของลุง Bay ก็ยังสร้างความตกใจจนเราสตั๊นท์ไปชั่วพริบตา ก็ปล่อยให้คนดูไปตั้งคำถามกันเองซึ่งก็เป็นสไตล์ของค่ายนี้อยู่แล้วที่กูเปิดโอกาสให้เข้าถึงแล้วแต่กูไม่ตามใจหมดหรอก อย่างไรก็ตามทุกตัวละครคือผู้เล่นที่อยู่ในเกมส์กติกา อยู่ที่ว่าใครจะเลือกฝั่งไหน ถึงบางอย่างจะข้ามเส้นกั้นทางศีลธรรมจนเลยต่อมจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีไป แต่ยังไงคนก็คือส่วนหนึ่งของระบบตั้งแต่เกิดจนตุย ต่อให้เราไม่เลือก เขาก็จะเลือกให้เราไปร่วม Joint กับมันอยู่ดี
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้