จากคำตอบอีกกระทู้  เราสังเกตได้ว่า
1. หลายคน ไม่อยากออกจาก เซฟโซนที่เคยอยู่  ถ้าเป็นผู้หญิงที่ทำงานเองได้  ก็ไม่ต่างกับผู้ชาย ที่ไม่อยากที่จะแบ่งปันผลลัพธ์ของความยากลำบาก  ไปแชร์กับใคร  ผลประโยชน์ใครของมัน  ดังนั้น จึงยกข้ออ้างต่างๆ เพื่อมาปิดกั้นตัวเอง  ไม่ให้ออกจากเซฟโซนนั้นๆ

2. หลายคนยังติดอยู่กับสเปก ที่ตัวเองตั้งไว้สูง  บางคนถึงกับสูงมากๆ  แน่ล่ะ  อันนี้เป็นเรื่องของ "อัตตา" ของแต่ละคน  แก้ยาก  เพราะบางครั้ง เราไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนที่มีอัตตา สูงได้  และพวกนี้  มักไม่รู้ตัวว่า ที่ตัวเองถูกทิ้ง ถูกบอกเลิก เพราะอีกฝ่ายทนอัตตาไม่ได้  จึงมักเป็นเหตุที่ว่า  หาคนมาอยู่ด้วยไม่ได้  หรืออยู่ด้วยได้ไม่นาน

3. หลายคน ติดอยู่กับ ความเชื่อของสังคมเก่า ยุคสังคมนิยม  ที่เป็นความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาในยุค  Baby Boomer ตอนปลาย ถึง Gen X ตอนต้น  ที่อยู่ในช่วงรัฐชาตินิยม ยุคสังคมนิยมใหม่(คอมมิวนิสต์)  ที่ค่อนข้างดูแคลนคนที่ ศีลธรรมต่างกับตน  กลัวการถูกมองไม่ดี  กลัวถูกมองร่าน ไม่เป็นกุลสตรีศรีสยาม

4. มุมมองความคิด ติดอยู่ในกรอบ ที่คนอื่น เป็นผู้ ตีกรอบ ให้เชื่อ  ให้อยู่ ให้เป็น
-ให้เชื่อว่า ผู้ชายต้องเจ้าชู้ และต้องไปมีคนอื่นแน่นอน 100%
-ให้อยู่ ในกรอบจารีต ของการไม่ทำตัวไม่เป็นกุลสตรี  ต้องรอผู้ชายมาเท่านั้น
-ให้เป็น ผู้ต้องผิดหวัง และแบกรับภาระ ผู้เดียว


ซึ่งในความเป็นจริง  สังคมไทย มีการซ่อนสังคม พหุวัฒนธรรมไว้เยอะมาก  มากกว่า สังคมผัวเดียวเมียเดียว  Monogamy (ที่หลายคนอาจไม่รู้จัก)
รูปแบบ ครอบครัว Polygamy  ก็ได้ถูกการยอมรับ ในด้านการปฏิบัติ  เยอะอยู่พอสมควร

อันนี้ไม่ได้บอกว่า  ให้สาวๆ ต้องไปเป็น Polygamy  เพราะอาจถูกขัดด้วยความเชื่อที่ถูกสังคมปลูกฝังมาก่อน
เพราะ Polygamy  เป็นรูปแบบครอบครัว ที่ต้องดีลเรื่อง รูปแบบความสัมพันธ์ โดยเหตุและผล ค่อนข้างเยอะ  ถ้าคุณเชื่อในตรรกะของ Monogamy  คุณก็จะกลัวรูปแบบของการแต่งงานที่ ล้มเหลวตามมา  
(นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่าง)

ปัญหา ที่สำคัญ
โดยเฉพาะ ผู้หญิง ที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้  ไม่อยากมีคู่  หรือสร้างครอบครัว  เพราะกลัวการที่จะต้องสูญเสียผลประโยชน์  จากการทำงานหนักได้มา  ไปกับผู้ชายคนอื่น
นั่นน่าจะเพราะ  การปลูกฝังแนวคิด เรื่อง "การวางแผนการเงินในครอบครัวแบบผิดๆ"
นั่นคือ  "การที่ทั้งครอบครัว หลอมรวมกระเป๋าเงินไว้เป็นใบเดียว" = นั่นทำให้ ผู้หญิงที่มองว่าตัวเองหาเงินได้มากกว่า  "เสียเปรียบ"

ทั้งๆที่ความเป็นจริง  มีแต่ครอบครัวคนจน เท่านั้น  ที่ทำเช่นนี้
ในครอบครัวคนรวย คนค้าขาย  น้อยมากที่จะรวมเงินไว้ที่คนๆเดียว  

ในฐานะ สามี ภรรยา  จริงๆแล้ว "ไม่ควรรวมกระเป๋าเงินกัน"  แต่เมื่อเป็นครอบครัว  ควรมีกระเป๋าเงิน หลายๆใบ  1.สามี  2.กองกลางใช้ในบ้าน 3.ภรรยา

แนวคิดกระเป๋าเงินเดียว มักมาจาก คนชนชั้นกลางกึ่งล่าง  ที่ขาดความรู้ในการบริหารเงิน และ หากไม่รวมเงินกันก็มักไม่มีเงินพอในการใช้จ่าย
แล้วจึงส่งต่อมาในสังคม ในฐานะมุขตลก  "แต่หลายคนโดยเฉพาะผู้หญิง Monogamy" ,มองว่า นี่คืออำนาจในการบังคับคู่ของตน
ครอบครัวแบบนี้จึงมักจบแบบ "ล้มเหลว" เพราะผู้ชายเองก็มี อัตตาในตัวเองเช่นกัน

การแบ่งส่วนผลประโยชน์  การไม่ร่วมกองทรัพย์สิน  จริงๆในทางกฏหมายรองรับ อย่าง"สัญญาก่อนแต่ง" ในไทยก็สามารถทำได้  ถ้าไม่เชื่อสัญญาใจ  ผู้หญิงหาเท่าไหร่ก็เป็นของผู้หญิง  แต่ต้องออกค่ารับผิดชอบร่วมเท่านั้น  อย่างครอบครัว Polygamy ทำไมเขาอยู่ได้  ไม่รวมเงินกัน  อยู่ด้วยกัน ไม่ทะเลาะ คอยจับผิด?

ดังนั้น
การที่ผู้หญิง ส่วนใหญ่  ไม่กล้าที่จะสร้างครอบครัว  ไม่กล้าที่จะเลือกคู่  ไม่กล้าที่จะจีบ  เพราะส่วนใหญ่  ขาดความรู้ ทัศนคติที่กว้างพอ  จึงทำให้เกิดความกลัว  ที่จะออกจากเซฟโซนที่ตัวเองอยู่ในปัจจุบัน

และเมื่อจำเป็นต้องออก  ก็เมื่อผ่านไปอายุเยอะขึ้น  ผู้ชายที่จะถูกเลือก  แน่ล่ะ
ที่ดีๆ ก็หายากขึ้น
ที่เลวๆผ่านการคัดทิ้ง ก็เยอะขึ้นตาม

เหมือนเลือกซื้อผลไม้ตอนตลาดวายไปแล้ว  มันก็เหลือแต่ลูกที่คนอื่นคัดทิ้งเกือบหมด  ลูกดีๆ  ก็มักถูกซ้อนไว้ไกล และหายากตามนั่นเอง