เราเป็นลูกคนเดียวของบ้านค่ะ ที่บ้านจะอยู่กันแต่สองคน ก็คือ เรา กับ แม่ค่ะ ส่วนพ่อไปทำงานที่ต่างจังหวัด เดือนนึงจะสามารถลางานกลับมาหนนึง(3วัน) ส่วนแม่ไม่ได้ทำงานค่ะ เพราะว่าพ่อไม่ให้แม่ทำงาน ให้อยู่บ้านทำงานบ้าน เลี้ยงลูกไป หน้าที่หาเงิน จะเป็นของพ่อเอง
พอเราจบม.3 พ่อกับแม่ก็ให้เราต่อม.ปลายเลย ทั้งๆที่เพื่อนๆเราไปสายอาชีพกัน เราก็ โอเค ต่อม.ปลายก็ได้
ความกดดันขั้น1 : พ่ออยากให้เรียนภาษา เพราะอยากให้ทำงานสายการบิน เราก็.. โอเค ภาษาก็ภาษา เราเลยเลือกสอบห้องศิลป์อังกฤษ-ญี่ปุ่น ตอนนั้นกดดันมาก กลัวจะสอบไม่ติด ตั้งใจติว ตั้งใจมากๆ เพราะว่าสอบเข้าม.4 มันจะสอบวันเดียวกัน พร้อมกันหลายโรงเรียน จนสุดท้ายก็สอบติดจนได้
ปัจจุบันตอนนี้ขึ้นม.6แล้วค่ะ ความกดดันขั้นที่2 ก็คือมหาวิทยาลัย
เราเองก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร สอบไม่ตกแต่ก็ไม่เคยได้ที่1 ได้เกรด3.00+ทุกเทอม ไม่เคยตกจากเกรด3.00เลย แต่เป็นคนชอบกิจกรรมมากๆ โดยเฉพาะการเต้น cover dance ไปแข่ง ไปเข้าร่วมบ่อย ได้เกียรติบัตรเยอะ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเอาไปยื่นพอร์ต คณะดุริยางคศาสตร์ สาขาเอกไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์
เคยคุยกับพ่อแม่ว่าอยากเข้าคณะนี้มากๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ชอบ เรามีความสามารถด้านนี้จริงๆ พ่อก็ไม่ค่อยโอเค แต่แม่ก็บอกว่าเรียนอะไรก็ได้ ขอให้จบมาแล้วมีงานทำที่มั่นคงก็พอ
เราแคร์พ่อมากๆ เพราะว่าเขาเป็นคนหาเงินส่งเราเรียน เขาอยากให้เราไปทำงานสายการบิน
ซึ่ง ภาษาอังกฤษเรา ไม่ได้เก่งขนาดนั้น ส่วนภาษาญี่ปุ่นเราก็พออ่านออกเขียนได้ พูดได้แต่งประโยคได้นิดหน่อย พ่อก็บอกว่าเอาอังกฤษเป็นหลัก ภาษาอื่นค่อยว่ากัน
ช่วงปิดเทอมนี้ เราตั้งใจฝึกฝนตัวเองมากๆ ตั้งใจค้นหาตัวเอง ว่าเก่งอะไรถนัดอะไรมากที่สุด
คำตอบก็คือ การเต้น การร้องเพลง..
ช่วงนี้ก็มีค่ายเพลงไทยหลายๆค่ายเปิดรับสมัครออดิชั่น เราก็สมัครทุกค่าย เผื่ออนาคตได้เป็นศิลปินตามใจฝัน พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะนี่ช่วงปิดเทอม
เราเรียนภาษาอินโดนีเซียเพิ่มเติม แล้วก็ติวภาษาที่เคยเรียนมา จะได้ไม่ลืม
มีครั้งนึงเขาบอกว่า "พ่อกับแม่ให้เราได้ทุกอย่าง แต่ถ้าหากวันนึงเราออกนอกลู่นอกทาง เขาจะไม่เลี้ยง ไม่เอาเราแล้ว"
ออกนอกลู่ทางคือ "การมีแฟน" พ่อกับแม่ห้ามเรามีแฟนเลยตั้งแต่เด็กๆจนถึงปัจจุบัน
และเขาก็ไม่ให้เราทำงานพาร์ทไทม์ ถึงแม้บางช่วงครอบครัวขัดสนเงินทอง เขาก็ไม่ให้เราทำงานเด็ดขาด เขาบอกว่า "มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป เดี๋ยวพอเรียนจบมาก็ได้ทำเองแหละ งานน่ะ"
เป็นลูกคนเดียวของพวกเขา เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา มันกดดันตรงนี้ล่ะ..
การเป็นลูกคนเดียว ดีจริงหรอ?
พอเราจบม.3 พ่อกับแม่ก็ให้เราต่อม.ปลายเลย ทั้งๆที่เพื่อนๆเราไปสายอาชีพกัน เราก็ โอเค ต่อม.ปลายก็ได้
ความกดดันขั้น1 : พ่ออยากให้เรียนภาษา เพราะอยากให้ทำงานสายการบิน เราก็.. โอเค ภาษาก็ภาษา เราเลยเลือกสอบห้องศิลป์อังกฤษ-ญี่ปุ่น ตอนนั้นกดดันมาก กลัวจะสอบไม่ติด ตั้งใจติว ตั้งใจมากๆ เพราะว่าสอบเข้าม.4 มันจะสอบวันเดียวกัน พร้อมกันหลายโรงเรียน จนสุดท้ายก็สอบติดจนได้
ปัจจุบันตอนนี้ขึ้นม.6แล้วค่ะ ความกดดันขั้นที่2 ก็คือมหาวิทยาลัย
เราเองก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร สอบไม่ตกแต่ก็ไม่เคยได้ที่1 ได้เกรด3.00+ทุกเทอม ไม่เคยตกจากเกรด3.00เลย แต่เป็นคนชอบกิจกรรมมากๆ โดยเฉพาะการเต้น cover dance ไปแข่ง ไปเข้าร่วมบ่อย ได้เกียรติบัตรเยอะ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเอาไปยื่นพอร์ต คณะดุริยางคศาสตร์ สาขาเอกไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์
เคยคุยกับพ่อแม่ว่าอยากเข้าคณะนี้มากๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ชอบ เรามีความสามารถด้านนี้จริงๆ พ่อก็ไม่ค่อยโอเค แต่แม่ก็บอกว่าเรียนอะไรก็ได้ ขอให้จบมาแล้วมีงานทำที่มั่นคงก็พอ
เราแคร์พ่อมากๆ เพราะว่าเขาเป็นคนหาเงินส่งเราเรียน เขาอยากให้เราไปทำงานสายการบิน
ซึ่ง ภาษาอังกฤษเรา ไม่ได้เก่งขนาดนั้น ส่วนภาษาญี่ปุ่นเราก็พออ่านออกเขียนได้ พูดได้แต่งประโยคได้นิดหน่อย พ่อก็บอกว่าเอาอังกฤษเป็นหลัก ภาษาอื่นค่อยว่ากัน
ช่วงปิดเทอมนี้ เราตั้งใจฝึกฝนตัวเองมากๆ ตั้งใจค้นหาตัวเอง ว่าเก่งอะไรถนัดอะไรมากที่สุด
คำตอบก็คือ การเต้น การร้องเพลง..
ช่วงนี้ก็มีค่ายเพลงไทยหลายๆค่ายเปิดรับสมัครออดิชั่น เราก็สมัครทุกค่าย เผื่ออนาคตได้เป็นศิลปินตามใจฝัน พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะนี่ช่วงปิดเทอม
เราเรียนภาษาอินโดนีเซียเพิ่มเติม แล้วก็ติวภาษาที่เคยเรียนมา จะได้ไม่ลืม
มีครั้งนึงเขาบอกว่า "พ่อกับแม่ให้เราได้ทุกอย่าง แต่ถ้าหากวันนึงเราออกนอกลู่นอกทาง เขาจะไม่เลี้ยง ไม่เอาเราแล้ว"
ออกนอกลู่ทางคือ "การมีแฟน" พ่อกับแม่ห้ามเรามีแฟนเลยตั้งแต่เด็กๆจนถึงปัจจุบัน
และเขาก็ไม่ให้เราทำงานพาร์ทไทม์ ถึงแม้บางช่วงครอบครัวขัดสนเงินทอง เขาก็ไม่ให้เราทำงานเด็ดขาด เขาบอกว่า "มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป เดี๋ยวพอเรียนจบมาก็ได้ทำเองแหละ งานน่ะ"
เป็นลูกคนเดียวของพวกเขา เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา มันกดดันตรงนี้ล่ะ..