99.999887749 ของศาสนาที่คนทั่วโลกนับถือ ทั้งในปัจจุบันและในอดีตที่ล่มสลายไปแล้ว จะบอกสาวกเหมือนกันหมดเกี่ยวกับจักรวาลและโลกว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และโลกไม่ได้หมุนรอบดวงอาทิตย์ พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา โลกใบนี้คือที่สุด พวกเจ้า(สาวก)จงทำสิ่งนี้ ๆ ๆ บนโลกนี้ บลา ๆ ๆ
แต่พระพุทธเจ้าท่าน ทั้งที่ถูกล้อมรอบด้วยความเชื่อนี้เต็มไปหมด สมัยนั้นต่อให้ขี่ม้า จะไปโยนก (กรีก), ไปกัษมิระ (แคชเมียร์) ไปอินเดียเหนือ กลาง ใต้ ไม่มีตรงไหนเลยของพื้นโลกที่จะมีความเชื่อนอกจากนี้ แต่พระพุทธเจ้าใช้ data base อะไรทำให้วันหนึ่ง ที่ออกบวช แล้วกล่าวว่าตนเองรู้ครบจบทุกสิ่งแล้ว มาฟังหลายสิ่ง ๆ และเรื่อง ๆ หนึ่งหน่อย เรื่องที่ว่าคือ ในจูฬนีสูตร วันหนึ่งก็เรียกพระอานนท์มาเล่าว่า (สรุป)
1. อาทนนท์ สุริยจักรวาลประกอบด้วยดาวโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ (แล้วมีต่อด้วยว่าในระบบหนึ่งสุริยจักรวาลจะต้องมีเทวโลกกี่ชั้น ๆ อันนี้ไม่ขอพูดถึง mythology)
ซึ่งทฤษฏีแค่ข้อนี้ข้อเดียว ก็ทำเอานักวิทยาศาสตร์ในอดีตบางคนถูกสังหารจากศาสนจักรมาแล้ว แต่พระพุทธเจ้าก็ยังอุตส่าห์บอกว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
2. แล้วแทนที่จะจบตรงนั้น ก็ยังบันเดิ้ลมาอีกว่า ระบบสุริยจักรวาล ที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ไม่ได้มีแค่จุดที่เราอยู่นี้จุดเดียว มีดวงอาทิตย์จำนวนมหาศาล และมีระบบสุริยจักรวาลจำนวน 1,000 x 1,000 x 1,000
3. ในมหาสมัยสูตร ก็ยังอุตส่าห์เล่าอีกว่า เทวดาที่มาฟังธรรม มาจากระบบสุริยจักรวาลรอบข้าง 10,000 ระบบ
4. มหาปรินิพพานสูตร (อันนี้สาวกบันทึก) มีอีกว่า เทวดาจากระบบสุริยจักรวาลรอบข้างอีก 10,000 ระบบ มาร่วมงานบูชาพระสรีระธาตุและได้เอาพระโลมา (ขน) ที่ปรากฎหลังการเผาพระพุทธสรีระแล้ว เก็บไปบูชา ระบบละ 1 เส้น เท่ากับว่า มนุษย์ต่างดาว 10,000 ดวงใกล้สุดรอบข้าง นับถือศาสนาพุทธ มีโลกนี้เป็นแกนกลางของศาสนา
ถ้าพระพุทธเจ้าจะตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่ ก็คงไม่ยากแค่จะบอกว่า ทำให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และรู้ไว้นะว่าโลกไม่เที่ยง ประกอบด้วยความทุกข์ และไม่มีสิ่งใดเป็นสาระตัวตน พระเจ้าสร้างโลก ไปยึดพระเจ้านะ มันดีกว่าที่นี่ ซึ่งก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะตั้งศาสนา เพราะคอนเซปท์ง่าย พล๊อตเดิมมีอยู่แล้วของศาสนาอื่น แต่กลับแสดงธรรมอธิบายสิ่งที่ 100% ของคนในยุคนั้นไม่ได้คิดตามแบบนั้น แถมมันดันตรงกับการค้นพบในยุคนี้ คือ แหวกยังไงให้ค้านกับเรื่องโบราณแต่มาตรงกับปัจจุบันได้
พระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้คิดเอง (ซึ่งถ้าเป็นการคิดเองแล้วประกาศศาสนาสวนทางกับความเชื่อของคนในตอนนั้นแบบนี้ ถือว่าเสี่ยงทั้งชีวิตและความล่มของศาสนามาก) ท่านเอาทฤษฎีจักรวาลวิทยาลักษณะนี้ มาจาก base อะไร เพราะการที่คนนึงจะคิดนอกกรอบที่ถูกล้อมไว้อย่าหนาสุด ๆ มันยากมาก
ลองนึกภาพ สมมุติเราเบื่อโลกละ ออกบวช จะตั้งศาสนา เราก็ต้องตั้งง่าย ๆ ให้คนโดนหลอกกันง่าย ๆ คิดตามง่าย ๆ มีพล๊อตเรื่องเคี้ยวง่าย ๆ เพื่อหาสาวกและความมั่งคั่งมั่นคง เช่น พราหมณ์ก็เอาการบูชานับถือของคนอื่นมารับเงิน มารับนิมนต์กินฟรี แต่ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาอะไรเลย เดินเฉย ๆ ใครอยากให้อาหารก็รับ ไม่ให้ก็ไม่ขอ เป็นศาสนาที่ไม่ยุ่งกับใคร ไม่บังคับเหมือนศาสนาตะวันออกกลาง ไม่ต้องเชื่อคนสร้างโลกแต่ให้เชื่อการกระทำของตัวเอง แล้วแถมยังคิดเรื่องที่ค้านกับความคิดเรื่องโลกของคนยุคนั้น มันต้องมีอะไรที่มากกว่าการเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย (ทั้งที่พระราชบิดาพบายามซ่อมไม่ให้เห็น) แล้วเกิดความกลัวสภาพเหล่านั้นเลยหาทางหนี แล้วไปออกป่าบำเพ็ญทุกกรกิริยา 7 ปี แล้วย้อนมายอมกินข้าวน้ำ นั่งสมาธิใต้ต้นโพธิไหม มันน่าจะมีอะไรสักอย่าง ที่มากกว่าการนั่งคิด แถมแทนที่จะบอกเหมือนศาสนาอื่นว่า โลกนี้ไม่ดี ไม่จีรัง มีบางอย่างผิดปรกติ ให้ทำแบบนี้ ๆ แล้วไปยึดพระเจ้ากับสวรรค์นะ แต่กลับสอนกลับบอกว่า โลกนี้ไม่จีรัง ไม่เที่ยง มีสภาพที่ทุกอย่างทรงตัวอยู่ด้วยตัวมันเองไม่ได้ (เป็นทุกข์) และเป็นอนัตตา ไม่มีใครสร้าง ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีเราเขา มีแต่ขันธ์ 5 มาปฏิบัติให้หลุดจากสิ่งเหล่านี้นะ แต่ไม่ต้องไปเอาสวรรค์ ไม่ต้องโฟกัสพระเจ้า ปลายเท่าเอาแค่ว่าปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้ใจเป็นอยู่สบายเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ อย่าติดอยู่กับโลก อย่าไปมุ่งหวังสวรรค์ ถ้าปัจจุบันจิตใจเบาแล้วก็จบแล้ว ตรงไหนก็มีความสุขทั้งหมด แม้แต่ด้านเป้าหมายของศาสนาก็กลับด้านกับทุกคำสอนในเวลานั้น (และเวลานี้ในศาสนาอื่น ๆ ) ทั้งหมด และสุดท้ายกลับสอนอีกด้วยว่า จิตใจมันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็คิดไม่ดี มันไม่มีตัวตนของเราในความคิด มันเป็นเพียงแคาสภาพหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป ท้ายที่สุดบอกอีกว่า แม้แต่ความรู้ ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ความรู้นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปยึดถือจับต้อง ถ้าถึงแล้ว ใจสงบแล้ว ก็ปล่อยการปฏิบัติปล่อยความรู้นั้นให้หมด จะได้เป็นอิสระ (แทนที่จะให้จับศาสนาให้แน่น ๆ แล้วมุ่งไปหา something ในอนาคต เหมือนที่อื่น ๆ)
มันมีความรู้อะไรลึกลับเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาที่ถูกส่งทอดมาโดยที่พระพุทธเจ้าไปได้ข้อมูลมาหรือเปล่า ทำไมศาสนาพุทธถึงกล้าแสดงเรื่องนี้และสุดท้ายก็มีคนเชื่อ (ในด้านจักรวาลวิทยา) และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในปัจจุบัน (เรื่องจำนวนของดวงอาทิตย์ และการโคจรของโลก)
ทำไมศาสนาพุทธถึงแหวกทฤษฏี อยู่ศาสนาเดียว ด้านจักรวาลวิทยา
แต่พระพุทธเจ้าท่าน ทั้งที่ถูกล้อมรอบด้วยความเชื่อนี้เต็มไปหมด สมัยนั้นต่อให้ขี่ม้า จะไปโยนก (กรีก), ไปกัษมิระ (แคชเมียร์) ไปอินเดียเหนือ กลาง ใต้ ไม่มีตรงไหนเลยของพื้นโลกที่จะมีความเชื่อนอกจากนี้ แต่พระพุทธเจ้าใช้ data base อะไรทำให้วันหนึ่ง ที่ออกบวช แล้วกล่าวว่าตนเองรู้ครบจบทุกสิ่งแล้ว มาฟังหลายสิ่ง ๆ และเรื่อง ๆ หนึ่งหน่อย เรื่องที่ว่าคือ ในจูฬนีสูตร วันหนึ่งก็เรียกพระอานนท์มาเล่าว่า (สรุป)
1. อาทนนท์ สุริยจักรวาลประกอบด้วยดาวโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ (แล้วมีต่อด้วยว่าในระบบหนึ่งสุริยจักรวาลจะต้องมีเทวโลกกี่ชั้น ๆ อันนี้ไม่ขอพูดถึง mythology)
ซึ่งทฤษฏีแค่ข้อนี้ข้อเดียว ก็ทำเอานักวิทยาศาสตร์ในอดีตบางคนถูกสังหารจากศาสนจักรมาแล้ว แต่พระพุทธเจ้าก็ยังอุตส่าห์บอกว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
2. แล้วแทนที่จะจบตรงนั้น ก็ยังบันเดิ้ลมาอีกว่า ระบบสุริยจักรวาล ที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ไม่ได้มีแค่จุดที่เราอยู่นี้จุดเดียว มีดวงอาทิตย์จำนวนมหาศาล และมีระบบสุริยจักรวาลจำนวน 1,000 x 1,000 x 1,000
3. ในมหาสมัยสูตร ก็ยังอุตส่าห์เล่าอีกว่า เทวดาที่มาฟังธรรม มาจากระบบสุริยจักรวาลรอบข้าง 10,000 ระบบ
4. มหาปรินิพพานสูตร (อันนี้สาวกบันทึก) มีอีกว่า เทวดาจากระบบสุริยจักรวาลรอบข้างอีก 10,000 ระบบ มาร่วมงานบูชาพระสรีระธาตุและได้เอาพระโลมา (ขน) ที่ปรากฎหลังการเผาพระพุทธสรีระแล้ว เก็บไปบูชา ระบบละ 1 เส้น เท่ากับว่า มนุษย์ต่างดาว 10,000 ดวงใกล้สุดรอบข้าง นับถือศาสนาพุทธ มีโลกนี้เป็นแกนกลางของศาสนา
ถ้าพระพุทธเจ้าจะตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่ ก็คงไม่ยากแค่จะบอกว่า ทำให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และรู้ไว้นะว่าโลกไม่เที่ยง ประกอบด้วยความทุกข์ และไม่มีสิ่งใดเป็นสาระตัวตน พระเจ้าสร้างโลก ไปยึดพระเจ้านะ มันดีกว่าที่นี่ ซึ่งก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะตั้งศาสนา เพราะคอนเซปท์ง่าย พล๊อตเดิมมีอยู่แล้วของศาสนาอื่น แต่กลับแสดงธรรมอธิบายสิ่งที่ 100% ของคนในยุคนั้นไม่ได้คิดตามแบบนั้น แถมมันดันตรงกับการค้นพบในยุคนี้ คือ แหวกยังไงให้ค้านกับเรื่องโบราณแต่มาตรงกับปัจจุบันได้
พระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้คิดเอง (ซึ่งถ้าเป็นการคิดเองแล้วประกาศศาสนาสวนทางกับความเชื่อของคนในตอนนั้นแบบนี้ ถือว่าเสี่ยงทั้งชีวิตและความล่มของศาสนามาก) ท่านเอาทฤษฎีจักรวาลวิทยาลักษณะนี้ มาจาก base อะไร เพราะการที่คนนึงจะคิดนอกกรอบที่ถูกล้อมไว้อย่าหนาสุด ๆ มันยากมาก
ลองนึกภาพ สมมุติเราเบื่อโลกละ ออกบวช จะตั้งศาสนา เราก็ต้องตั้งง่าย ๆ ให้คนโดนหลอกกันง่าย ๆ คิดตามง่าย ๆ มีพล๊อตเรื่องเคี้ยวง่าย ๆ เพื่อหาสาวกและความมั่งคั่งมั่นคง เช่น พราหมณ์ก็เอาการบูชานับถือของคนอื่นมารับเงิน มารับนิมนต์กินฟรี แต่ศาสนาพุทธไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาอะไรเลย เดินเฉย ๆ ใครอยากให้อาหารก็รับ ไม่ให้ก็ไม่ขอ เป็นศาสนาที่ไม่ยุ่งกับใคร ไม่บังคับเหมือนศาสนาตะวันออกกลาง ไม่ต้องเชื่อคนสร้างโลกแต่ให้เชื่อการกระทำของตัวเอง แล้วแถมยังคิดเรื่องที่ค้านกับความคิดเรื่องโลกของคนยุคนั้น มันต้องมีอะไรที่มากกว่าการเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย (ทั้งที่พระราชบิดาพบายามซ่อมไม่ให้เห็น) แล้วเกิดความกลัวสภาพเหล่านั้นเลยหาทางหนี แล้วไปออกป่าบำเพ็ญทุกกรกิริยา 7 ปี แล้วย้อนมายอมกินข้าวน้ำ นั่งสมาธิใต้ต้นโพธิไหม มันน่าจะมีอะไรสักอย่าง ที่มากกว่าการนั่งคิด แถมแทนที่จะบอกเหมือนศาสนาอื่นว่า โลกนี้ไม่ดี ไม่จีรัง มีบางอย่างผิดปรกติ ให้ทำแบบนี้ ๆ แล้วไปยึดพระเจ้ากับสวรรค์นะ แต่กลับสอนกลับบอกว่า โลกนี้ไม่จีรัง ไม่เที่ยง มีสภาพที่ทุกอย่างทรงตัวอยู่ด้วยตัวมันเองไม่ได้ (เป็นทุกข์) และเป็นอนัตตา ไม่มีใครสร้าง ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีเราเขา มีแต่ขันธ์ 5 มาปฏิบัติให้หลุดจากสิ่งเหล่านี้นะ แต่ไม่ต้องไปเอาสวรรค์ ไม่ต้องโฟกัสพระเจ้า ปลายเท่าเอาแค่ว่าปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้ใจเป็นอยู่สบายเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ อย่าติดอยู่กับโลก อย่าไปมุ่งหวังสวรรค์ ถ้าปัจจุบันจิตใจเบาแล้วก็จบแล้ว ตรงไหนก็มีความสุขทั้งหมด แม้แต่ด้านเป้าหมายของศาสนาก็กลับด้านกับทุกคำสอนในเวลานั้น (และเวลานี้ในศาสนาอื่น ๆ ) ทั้งหมด และสุดท้ายกลับสอนอีกด้วยว่า จิตใจมันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็คิดไม่ดี มันไม่มีตัวตนของเราในความคิด มันเป็นเพียงแคาสภาพหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป ท้ายที่สุดบอกอีกว่า แม้แต่ความรู้ ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ความรู้นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปยึดถือจับต้อง ถ้าถึงแล้ว ใจสงบแล้ว ก็ปล่อยการปฏิบัติปล่อยความรู้นั้นให้หมด จะได้เป็นอิสระ (แทนที่จะให้จับศาสนาให้แน่น ๆ แล้วมุ่งไปหา something ในอนาคต เหมือนที่อื่น ๆ)
มันมีความรู้อะไรลึกลับเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาที่ถูกส่งทอดมาโดยที่พระพุทธเจ้าไปได้ข้อมูลมาหรือเปล่า ทำไมศาสนาพุทธถึงกล้าแสดงเรื่องนี้และสุดท้ายก็มีคนเชื่อ (ในด้านจักรวาลวิทยา) และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในปัจจุบัน (เรื่องจำนวนของดวงอาทิตย์ และการโคจรของโลก)