เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4506457
รีเจ้นท์โฮม ลุยปั๊มคอนโดราคาเดียว 1.2 ล้าน เผยเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งขายดี ‘จีน-พม่า’ แห่ช้อป
วันที่ 2 เมษายน นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์รีเจ้นท์ โฮม เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนจะสร้างคอนโดมิเนียมปีละ 10,000 ยูนิต ราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อยูนิต ในทำเลไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามาก เพื่อรองรับกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง ที่มีรายได้ไม่สูงมาก โดยโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ทำให้สามารถพัฒนาได้ในราคาถูก ซึ่งในปี 2567 มีเปิด 4 โครงการ จำนวน 4,000 ยูนิต ที่วงศ์สว่าง 2,000 ยูนิต สุขุมวิท 93 ประมาณ 1,000 ยูนิต พหลโยธิน 52 เฟส 2 ประมาณ 400 ยูนิต และหัวหมากประมาณ 300 ยูนิต เป็นเฟสต่อขยายจากเดิม และเตรียมงบ 5,000 ล้านบาทสำหรับซื้อที่ดินเพิ่มจากปัจจุบันมีแลนด์แบงก์สามารถพัฒนาได้ 20,000 ยูนิต
นายนิรัตน์กล่าวว่า ส่วนปี 2568 จะเปิดที่ย่านพระราม4 เนื้อที่ 22 ไร่ เป็นอาคารสูง 35 ชั้น จำนวน 6-7 อาคาร รวมประมาณ 7,000 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 26 ตารางเมตร ราคา 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ถ้าเทียบเป็นรายโครงการถือว่าเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ถ้าดูจำนวนยูนิตที่บางซ่อนจะใหญ่สุด เพราะมีถึง 9,000 ยูนิต ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว
“กลยุทธ์เราทั้งโครงการมีไซซ์เดียว 26 ตารางเมตรและขายราคาเดียวคือยูนิตละ 1.2 ล้านบาท ใครมาจองก่อนก็ได้ก่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาที่ดินด้วย อย่างที่พระราม4 เราซื้อที่ดินมาตารางวาละ 3 แสนบาท ต้องทำขายในราคา 1.5 ล้านบาท ยังขายถูกกว่าโครงการที่อยู่ในย่านเดียวกัน เราไม่ห่วงเรื่องการทำตลาด ทำมาเท่าไหร่ก็ขายได้ ยิ่งย่านสุขุมวิท เป็นแหล่งงาน และอยู่อาศัย ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย หรือที่วุฒากาศเปิดขายแล้วกว่า 3,000 ยูนิต ตอนนี้ขายได้ 80% กำลังหาที่ดินเพิ่มสร้างอีก 2,000 ยูนิต ขายราคายูนิตละ 1.2-1.3 ล้านบาท มองว่าตลาดยังไปได้ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยแพง ยิ่งขายดี เพราะคนต้องซื้อของถูก ต้นทุนกู้ก็จะน้อยและเราเรื่องยอดถูกปฎิเสธสินเชื่อหรือรีเจ็กต์แทบไม่มี มีแค่ 5-10 ห้อง เพราะราคาถูก คนจึงมีกำลังซื้อและมีความสามารถในการผ่อน”นายนิรัตน์กล่าว
นายนิรัตน์กล่าวว่า สำหรับลูกค้าของโครงการ จากเดิมซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก ตอนนี้สัดส่วนซื้อลงทุนปล่อยเช่าและอยู่อาศัยเองอยู่ที่ 50:50 เนื่องจากคอนโดฯรีเจ้นท์ ซื้อราคา 1.2 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ 7,000 บาทต่อเดือน และผู้เช่าเต็มตลอด ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าซื้อเพื่อลงทุนตามไปซื้อโครงการใหม่ประมาณ 20-30% และซื้อคนละ 2-3 ห้อง นอกจากนี้เริ่มมีลูกค้าเมียนมามาหนีปัญหาการเมืองในประเทศมาซื้อแล้วที่บางนาและวุฒากาศ ประมาณ 100-200 ยูนิต จากเดิมเป็นลูกค้าชาวจีนที่จะให้โควตาซื้อ 40% โครงการที่บางนาและบางซ่อน โดยเป็นการซื้อเพื่อลงทุนเป็นส่วนใหญ่
“ถามว่าคนมาใหม่มาทำเหมือนเราได้ไหม ไม่ได้เพราะว่าในราคานี้ จะมีเรื่องค่าก่อสร้าง แฝงอยู่ในนั้น ที่เราทำได้ เพราะได้กำไรจากการรับเหมา ได้จากการออกแบบให้ได้จำนวนเยอะและได้จากบีโอไอ เป็น 3 ส่วนรวมกันถึงอยู่ได้ แต่ผู้ประกอบการรายอื่นเขาได้ส่วนเดียวคือจากกำไร และแต่ละทำเลที่เราไป ไม่มีแป้ก”นายนิรัตน์กล่าว
นายนิรัตน์กล่าวว่า การทำคอนโดบีโอไอ ต้องลืมเรื่องกำไร มองว่าเราทำให้กับสังคม กำไรน้อย แต่เอาจำนวนมาก เราทำมา 40 โครงการ ร่วม 40,000 ยูนิต มีปรับแก้ไปเรื่อยๆ ตามปัญหา อย่างพื้นที่ส่วนกลางต้องมาเน้นให้มีพื้นที่รองรับ เพราะระดับ 7,000 ห้อง จำเป็นต้องมี เช่น ห้องเก็บพัสดุ ห้องปฐมพยาบาล โคเวิร์คกิ้งสเปช เพราะคนโสดเยอะ
รีเจ้นท์โฮม ลุยปั๊มคอนโดราคาเดียว 1.2 ล้าน เผยเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งขายดี ‘จีน-พม่า’ แห่ช้อป
https://www.matichon.co.th/economy/news_4506457
รีเจ้นท์โฮม ลุยปั๊มคอนโดราคาเดียว 1.2 ล้าน เผยเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งขายดี ‘จีน-พม่า’ แห่ช้อป
วันที่ 2 เมษายน นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์รีเจ้นท์ โฮม เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนจะสร้างคอนโดมิเนียมปีละ 10,000 ยูนิต ราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อยูนิต ในทำเลไม่ไกลจากรถไฟฟ้ามาก เพื่อรองรับกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง ที่มีรายได้ไม่สูงมาก โดยโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ทำให้สามารถพัฒนาได้ในราคาถูก ซึ่งในปี 2567 มีเปิด 4 โครงการ จำนวน 4,000 ยูนิต ที่วงศ์สว่าง 2,000 ยูนิต สุขุมวิท 93 ประมาณ 1,000 ยูนิต พหลโยธิน 52 เฟส 2 ประมาณ 400 ยูนิต และหัวหมากประมาณ 300 ยูนิต เป็นเฟสต่อขยายจากเดิม และเตรียมงบ 5,000 ล้านบาทสำหรับซื้อที่ดินเพิ่มจากปัจจุบันมีแลนด์แบงก์สามารถพัฒนาได้ 20,000 ยูนิต
นายนิรัตน์กล่าวว่า ส่วนปี 2568 จะเปิดที่ย่านพระราม4 เนื้อที่ 22 ไร่ เป็นอาคารสูง 35 ชั้น จำนวน 6-7 อาคาร รวมประมาณ 7,000 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 26 ตารางเมตร ราคา 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ถ้าเทียบเป็นรายโครงการถือว่าเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ถ้าดูจำนวนยูนิตที่บางซ่อนจะใหญ่สุด เพราะมีถึง 9,000 ยูนิต ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว
“กลยุทธ์เราทั้งโครงการมีไซซ์เดียว 26 ตารางเมตรและขายราคาเดียวคือยูนิตละ 1.2 ล้านบาท ใครมาจองก่อนก็ได้ก่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาที่ดินด้วย อย่างที่พระราม4 เราซื้อที่ดินมาตารางวาละ 3 แสนบาท ต้องทำขายในราคา 1.5 ล้านบาท ยังขายถูกกว่าโครงการที่อยู่ในย่านเดียวกัน เราไม่ห่วงเรื่องการทำตลาด ทำมาเท่าไหร่ก็ขายได้ ยิ่งย่านสุขุมวิท เป็นแหล่งงาน และอยู่อาศัย ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย หรือที่วุฒากาศเปิดขายแล้วกว่า 3,000 ยูนิต ตอนนี้ขายได้ 80% กำลังหาที่ดินเพิ่มสร้างอีก 2,000 ยูนิต ขายราคายูนิตละ 1.2-1.3 ล้านบาท มองว่าตลาดยังไปได้ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยแพง ยิ่งขายดี เพราะคนต้องซื้อของถูก ต้นทุนกู้ก็จะน้อยและเราเรื่องยอดถูกปฎิเสธสินเชื่อหรือรีเจ็กต์แทบไม่มี มีแค่ 5-10 ห้อง เพราะราคาถูก คนจึงมีกำลังซื้อและมีความสามารถในการผ่อน”นายนิรัตน์กล่าว
นายนิรัตน์กล่าวว่า สำหรับลูกค้าของโครงการ จากเดิมซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลัก ตอนนี้สัดส่วนซื้อลงทุนปล่อยเช่าและอยู่อาศัยเองอยู่ที่ 50:50 เนื่องจากคอนโดฯรีเจ้นท์ ซื้อราคา 1.2 ล้านบาท สามารถปล่อยเช่าได้ 7,000 บาทต่อเดือน และผู้เช่าเต็มตลอด ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าซื้อเพื่อลงทุนตามไปซื้อโครงการใหม่ประมาณ 20-30% และซื้อคนละ 2-3 ห้อง นอกจากนี้เริ่มมีลูกค้าเมียนมามาหนีปัญหาการเมืองในประเทศมาซื้อแล้วที่บางนาและวุฒากาศ ประมาณ 100-200 ยูนิต จากเดิมเป็นลูกค้าชาวจีนที่จะให้โควตาซื้อ 40% โครงการที่บางนาและบางซ่อน โดยเป็นการซื้อเพื่อลงทุนเป็นส่วนใหญ่
“ถามว่าคนมาใหม่มาทำเหมือนเราได้ไหม ไม่ได้เพราะว่าในราคานี้ จะมีเรื่องค่าก่อสร้าง แฝงอยู่ในนั้น ที่เราทำได้ เพราะได้กำไรจากการรับเหมา ได้จากการออกแบบให้ได้จำนวนเยอะและได้จากบีโอไอ เป็น 3 ส่วนรวมกันถึงอยู่ได้ แต่ผู้ประกอบการรายอื่นเขาได้ส่วนเดียวคือจากกำไร และแต่ละทำเลที่เราไป ไม่มีแป้ก”นายนิรัตน์กล่าว
นายนิรัตน์กล่าวว่า การทำคอนโดบีโอไอ ต้องลืมเรื่องกำไร มองว่าเราทำให้กับสังคม กำไรน้อย แต่เอาจำนวนมาก เราทำมา 40 โครงการ ร่วม 40,000 ยูนิต มีปรับแก้ไปเรื่อยๆ ตามปัญหา อย่างพื้นที่ส่วนกลางต้องมาเน้นให้มีพื้นที่รองรับ เพราะระดับ 7,000 ห้อง จำเป็นต้องมี เช่น ห้องเก็บพัสดุ ห้องปฐมพยาบาล โคเวิร์คกิ้งสเปช เพราะคนโสดเยอะ