- ดูจบเหมือนกับว่าเอาหนัง 2 เรื่องมาเชื่อมติดกันทำให้นึกถึงตอนดูเรื่อง Paris, Texas (1984) ลอยขึ้นมานิด ๆ แต่กับเรื่องนี้จะละเอียดกว่าตรงที่วิธีการเล่ามันซื่อตรงกับบทที่ปูมาทางนี้ พอเวลาจะข้ามไป Scene ใหม่ มันสามารถกลบร่องรอยเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียน ขณะดูรู้สึกเหมือนว่าหนังเดินผ่านไปอย่างสะดวกโยธิน เปิดเรื่องมาจะเล่าในมุมของ โคสุเกะ ก่อนว่าเป็นใคร ทำอะไร มี Lifestyle เป็นยังไงให้เรารับรู้พอสังเขปกระทั่งมาเจอกับ ริวตะ จากการว่าจ้างให้มาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวจนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ ไปข้างหน้าอย่างเร็วด้วยการตัดต่อที่ข้ามได้ไวดั่งใจ แม้จะมี Activity ซ้ำ ๆ วนอยู่ไม่กี่อย่างเจอหน้ากันก็มา Exercise , เดินกลับเข้าห้องของโคสุเกะ , โซเดมาคอมบนเตียง , อาบน้ำอะไรกันเสร็จสรรพแล้วก็บ้านใครบ้านมัน จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ พัฒนามาเป็นคนรักกันเงียบ ๆ ขณะเดียวกันก็แอบสงสัยเป็นระยะ ๆ ว่าริวตะจะมาหลอกโคสุเกะหรือเปล่า ? เพราะที่ผ่านมาจะเห็นแต่ในมุมของโคสุเกะอย่างเดียว
- ปกติเวลาดูหนังลักษณะนี้จะเจอกับวิธีการตัดข้ามไป Scene ใหม่ตามใจฉันแล้วดันไปโดน Details สำคัญจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแต่กับเรื่องนี้ไม่รู้สึกแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผลต่อ Feeling กับคนที่ชอบเสพ Details อย่างผมอยู่ดี เพราะ หลังจากประกอบกิจเสร็จโคสุเกะก็เอาแต่เปย์ลูกเดียวโดยของแต่ละอย่างกับริวตะก็ไม่ใช่น้อย ๆ ตรงจุดนี้หนังแสดงให้เห็นเส้นแบ่งทางศีลธรรมเหมือนลองใจว่า ถ้าเป็นเราเราจะเลือกรับหรือปฎิเสธ ถ้ารับก็มองว่าอยากได้ของคนอื่นจนกลายเป็นว่าเห็นแก่ได้หรือถ้าไม่รับก็ถูกมองว่าเป็นคนขี้เกรงใจอีก ซึ่งผมไม่มองว่าความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องไม่ดีแต่มองเป็นพื้นฐานของคนมีเหตุผลเพราะคนเกิดมาเพื่อตนเองอยู่แล้ว แล้วยิ่งมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยมีหรือจะไม่รับ การที่เขาจะให้หรือเราจะรับมันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน จนพอหนังมาโฟกัสที่ตัว ริวตะ บ้างก็เลยเข้าใจทันทีว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ ๆ แล้วก็ดื่มด่ำกับความ Love Scene ของทั้งคู่ต่อจนมาถึงจุดแตกหักเท่านั้นแหล่ะผมถึงกับนั่งสตันท์ไปชั่วครู่ไม่ทันได้นึกถึงอารมณ์อื่น พอผ่านจุดนี้ไปสักพักก็คิดว่าหนังจะจบตรงนี้แต่เปล่ากลับสามารถ Run ต่อไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยการใส่ story ของแม่ของริวตะลงไปเพื่อทำให้ปมทั้งตัวโคสุเกะและริวตะได้รับการคลี่คลายกระจ่างขึ้น
- ถึงแม้ตัวละครหลักจะมีแค่ 3 คน แต่พอใจมากที่ให้มีแค่นี้ เพราะ จะได้โฟกัสไปที่ Keywords ของเรื่องได้เต็มที่ เริ่มจากตัว โคสุเกะ ที่รับบทโดย Ryohei Suzuki แสดงดีมากจนเชื่อว่าเป็นจริง ๆ พอมาสุมหัวเม้ามอยกับเดอะแก็งค์ในร้านอาหาร จริตการจีบปากจือคอจัดเต็มทุกดอก ส่วน ริวตะ รับบทโดย Hio Miyazawa แสดงได้ร้อนแรงดีไม่แพ้กัน ถึงแม้จะมี Scene น้อยกว่า Ryohei แต่ทุก Scene ที่ปรากฎมามีความสำคัญกับปมในเรื่องที่ถูกอมพะนำในปากทั้งหมด ส่วนอีกคนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ แม่ของริวตะ รับบทโดย Sawako Agawa ถึงจะโผล่มาอย่างจริงจังช่วงหลังแล้วแต่การมาของแม่ทำให้ปมที่ถูกปกคลุมความคลุมเครือทุกอย่างค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละนิดจนเผลอตื้นตันใจเงียบ ๆ ส่วนตัวละครสมทบที่เหลืออย่าง พ่อของโคสุเกะ ที่โผล่มาน้อยไปแต่เข้าใจได้ว่าหนังอาจจะไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวนี้มากกว่านี้ทั้งที่มันมีเรื่องที่จะให้เล่าต่อไปได้
- สรุป ชอบและประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบในเวลา 2 ชั่วโมงโดยไม่รู้สึกน่าเบื่อหรือวูบหลับระหว่างทาง เป็นหนัง Drama ที่ชูความเป็น LGBTQ ในสังคมญี่ปุ่นได้ทันสมัย เคล้าคลอด้วยกลิ่นไอของ Romance กระตุ้นความหวือหวาด้วย Activity ในระดับที่พองามผ่านการกำกับของ Daishi Matsunaga นอกเหนือจากการแสดง Symbol เพศทางเลือกที่คงความเป็นงานส่วนตัวแล้วขณะเสพ Details ยังให้รสหวานอมขมขื่น Bittersweet เจ็บนิดและปวดนานในจิตวิญญาณ แต่ยังย่อยง่ายอยู่ เพราะประเด็นที่นำเสนอมาสามารถพบเจอได้ในชีวิตจริง จึงไม่แปลกใจที่ชอบช่วงที่โคสุเกะอยู่กับริวตะมากกว่ามันมีอะไรให้น่าติดตามมากกว่าพอผ่านช่วงนี้ไปความน่าสนใจกลับลดลงไปทีละนิด
- รวมถึงได้ข้อคิดเกี่ยวกับสัจธรรมในโลกนี้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน ต่อให้วางแผนมาอย่างดีก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะเป็นไปตามใจหวัง สำคัญคือตอนนี้ลงมือทำแล้วหรือยัง มีความต้องการอย่างเดียวไม่พอบางอย่างต้องมีเงินด้วย เพราะเงินเป็นปัจจัยที่ 5 ของการดำรงชีพ ถึงจะซื้อทุกอย่างไม่ได้แต่เงินสามารถช่วย Run ชีวิตต่อไปได้แล้วแก้ปัญหาได้ในยามที่ต้องการอะไร ? อย่ามาพูดโชว์โลกสวยว่าเสียเงินไปแค่นี้ก็หามาใหม่ได้ ใช่ หาใหม่ได้แต่จะหาได้เท่าเดิมหรือมากกว่านั้นในเวลาแปปเดียวเพื่อทดแทนเงินที่เสียไปได้หรือเปล่าล่ะ ? ไอ้พวกรวย ๆ ไม่มีปัญหาหรอกแต่คนหาเช้ากินค่ำนี่แหล่ะที่ต้องเป็นห่วง บางคนทำงานทั้งวันทั้งเดือนกว่าจะได้เงินมามันยากลำบากแค่ไหน บางคนได้มาใช้หมดในพริบตาแต่บางคนอยู่ได้เป็นวันเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน ไหนจะค่ากิน ไหนจะเก็บเงินไว้ประทังให้เมียให้ลูกอีก ในขณะที่พวกรวย ๆ เงินเข้าออก ๆ หยั่งกะเปิดน้ำก๊อกเล่นแล้วใช้กันอย่างมันมือ ขณะที่ดูเข้าใจในสิ่งที่ริวตะทำเลยก็เพราะสังคมไม่ได้เอื้อให้มีทางเลือกอื่นมากนักระทั่งการยอมรับตัวตนที่เป็นอยู่ก็ต้องแสดงในที่ลับตาคน ต่อให้มีรักแต่ไม่มีกินก็อดตายเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะให้ค่ามากน้อยเท่าไหร่ ? ตามจุดยืนที่เป็นอยู่ จะเห็นว่าเงินมีค่าก็ต่อเมื่อไม่มีมันนั่นแหล่ะ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.93 Egoist : เรื่องของคุณจะมีผมอยู่ในนั้นบ้างไหม ?
- ดูจบเหมือนกับว่าเอาหนัง 2 เรื่องมาเชื่อมติดกันทำให้นึกถึงตอนดูเรื่อง Paris, Texas (1984) ลอยขึ้นมานิด ๆ แต่กับเรื่องนี้จะละเอียดกว่าตรงที่วิธีการเล่ามันซื่อตรงกับบทที่ปูมาทางนี้ พอเวลาจะข้ามไป Scene ใหม่ มันสามารถกลบร่องรอยเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียน ขณะดูรู้สึกเหมือนว่าหนังเดินผ่านไปอย่างสะดวกโยธิน เปิดเรื่องมาจะเล่าในมุมของ โคสุเกะ ก่อนว่าเป็นใคร ทำอะไร มี Lifestyle เป็นยังไงให้เรารับรู้พอสังเขปกระทั่งมาเจอกับ ริวตะ จากการว่าจ้างให้มาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวจนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ ไปข้างหน้าอย่างเร็วด้วยการตัดต่อที่ข้ามได้ไวดั่งใจ แม้จะมี Activity ซ้ำ ๆ วนอยู่ไม่กี่อย่างเจอหน้ากันก็มา Exercise , เดินกลับเข้าห้องของโคสุเกะ , โซเดมาคอมบนเตียง , อาบน้ำอะไรกันเสร็จสรรพแล้วก็บ้านใครบ้านมัน จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ พัฒนามาเป็นคนรักกันเงียบ ๆ ขณะเดียวกันก็แอบสงสัยเป็นระยะ ๆ ว่าริวตะจะมาหลอกโคสุเกะหรือเปล่า ? เพราะที่ผ่านมาจะเห็นแต่ในมุมของโคสุเกะอย่างเดียว
- ปกติเวลาดูหนังลักษณะนี้จะเจอกับวิธีการตัดข้ามไป Scene ใหม่ตามใจฉันแล้วดันไปโดน Details สำคัญจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแต่กับเรื่องนี้ไม่รู้สึกแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผลต่อ Feeling กับคนที่ชอบเสพ Details อย่างผมอยู่ดี เพราะ หลังจากประกอบกิจเสร็จโคสุเกะก็เอาแต่เปย์ลูกเดียวโดยของแต่ละอย่างกับริวตะก็ไม่ใช่น้อย ๆ ตรงจุดนี้หนังแสดงให้เห็นเส้นแบ่งทางศีลธรรมเหมือนลองใจว่า ถ้าเป็นเราเราจะเลือกรับหรือปฎิเสธ ถ้ารับก็มองว่าอยากได้ของคนอื่นจนกลายเป็นว่าเห็นแก่ได้หรือถ้าไม่รับก็ถูกมองว่าเป็นคนขี้เกรงใจอีก ซึ่งผมไม่มองว่าความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องไม่ดีแต่มองเป็นพื้นฐานของคนมีเหตุผลเพราะคนเกิดมาเพื่อตนเองอยู่แล้ว แล้วยิ่งมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยมีหรือจะไม่รับ การที่เขาจะให้หรือเราจะรับมันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน จนพอหนังมาโฟกัสที่ตัว ริวตะ บ้างก็เลยเข้าใจทันทีว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ ๆ แล้วก็ดื่มด่ำกับความ Love Scene ของทั้งคู่ต่อจนมาถึงจุดแตกหักเท่านั้นแหล่ะผมถึงกับนั่งสตันท์ไปชั่วครู่ไม่ทันได้นึกถึงอารมณ์อื่น พอผ่านจุดนี้ไปสักพักก็คิดว่าหนังจะจบตรงนี้แต่เปล่ากลับสามารถ Run ต่อไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยการใส่ story ของแม่ของริวตะลงไปเพื่อทำให้ปมทั้งตัวโคสุเกะและริวตะได้รับการคลี่คลายกระจ่างขึ้น
- ถึงแม้ตัวละครหลักจะมีแค่ 3 คน แต่พอใจมากที่ให้มีแค่นี้ เพราะ จะได้โฟกัสไปที่ Keywords ของเรื่องได้เต็มที่ เริ่มจากตัว โคสุเกะ ที่รับบทโดย Ryohei Suzuki แสดงดีมากจนเชื่อว่าเป็นจริง ๆ พอมาสุมหัวเม้ามอยกับเดอะแก็งค์ในร้านอาหาร จริตการจีบปากจือคอจัดเต็มทุกดอก ส่วน ริวตะ รับบทโดย Hio Miyazawa แสดงได้ร้อนแรงดีไม่แพ้กัน ถึงแม้จะมี Scene น้อยกว่า Ryohei แต่ทุก Scene ที่ปรากฎมามีความสำคัญกับปมในเรื่องที่ถูกอมพะนำในปากทั้งหมด ส่วนอีกคนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ แม่ของริวตะ รับบทโดย Sawako Agawa ถึงจะโผล่มาอย่างจริงจังช่วงหลังแล้วแต่การมาของแม่ทำให้ปมที่ถูกปกคลุมความคลุมเครือทุกอย่างค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละนิดจนเผลอตื้นตันใจเงียบ ๆ ส่วนตัวละครสมทบที่เหลืออย่าง พ่อของโคสุเกะ ที่โผล่มาน้อยไปแต่เข้าใจได้ว่าหนังอาจจะไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวนี้มากกว่านี้ทั้งที่มันมีเรื่องที่จะให้เล่าต่อไปได้
- สรุป ชอบและประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบในเวลา 2 ชั่วโมงโดยไม่รู้สึกน่าเบื่อหรือวูบหลับระหว่างทาง เป็นหนัง Drama ที่ชูความเป็น LGBTQ ในสังคมญี่ปุ่นได้ทันสมัย เคล้าคลอด้วยกลิ่นไอของ Romance กระตุ้นความหวือหวาด้วย Activity ในระดับที่พองามผ่านการกำกับของ Daishi Matsunaga นอกเหนือจากการแสดง Symbol เพศทางเลือกที่คงความเป็นงานส่วนตัวแล้วขณะเสพ Details ยังให้รสหวานอมขมขื่น Bittersweet เจ็บนิดและปวดนานในจิตวิญญาณ แต่ยังย่อยง่ายอยู่ เพราะประเด็นที่นำเสนอมาสามารถพบเจอได้ในชีวิตจริง จึงไม่แปลกใจที่ชอบช่วงที่โคสุเกะอยู่กับริวตะมากกว่ามันมีอะไรให้น่าติดตามมากกว่าพอผ่านช่วงนี้ไปความน่าสนใจกลับลดลงไปทีละนิด
- รวมถึงได้ข้อคิดเกี่ยวกับสัจธรรมในโลกนี้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน ต่อให้วางแผนมาอย่างดีก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะเป็นไปตามใจหวัง สำคัญคือตอนนี้ลงมือทำแล้วหรือยัง มีความต้องการอย่างเดียวไม่พอบางอย่างต้องมีเงินด้วย เพราะเงินเป็นปัจจัยที่ 5 ของการดำรงชีพ ถึงจะซื้อทุกอย่างไม่ได้แต่เงินสามารถช่วย Run ชีวิตต่อไปได้แล้วแก้ปัญหาได้ในยามที่ต้องการอะไร ? อย่ามาพูดโชว์โลกสวยว่าเสียเงินไปแค่นี้ก็หามาใหม่ได้ ใช่ หาใหม่ได้แต่จะหาได้เท่าเดิมหรือมากกว่านั้นในเวลาแปปเดียวเพื่อทดแทนเงินที่เสียไปได้หรือเปล่าล่ะ ? ไอ้พวกรวย ๆ ไม่มีปัญหาหรอกแต่คนหาเช้ากินค่ำนี่แหล่ะที่ต้องเป็นห่วง บางคนทำงานทั้งวันทั้งเดือนกว่าจะได้เงินมามันยากลำบากแค่ไหน บางคนได้มาใช้หมดในพริบตาแต่บางคนอยู่ได้เป็นวันเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน ไหนจะค่ากิน ไหนจะเก็บเงินไว้ประทังให้เมียให้ลูกอีก ในขณะที่พวกรวย ๆ เงินเข้าออก ๆ หยั่งกะเปิดน้ำก๊อกเล่นแล้วใช้กันอย่างมันมือ ขณะที่ดูเข้าใจในสิ่งที่ริวตะทำเลยก็เพราะสังคมไม่ได้เอื้อให้มีทางเลือกอื่นมากนักระทั่งการยอมรับตัวตนที่เป็นอยู่ก็ต้องแสดงในที่ลับตาคน ต่อให้มีรักแต่ไม่มีกินก็อดตายเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะให้ค่ามากน้อยเท่าไหร่ ? ตามจุดยืนที่เป็นอยู่ จะเห็นว่าเงินมีค่าก็ต่อเมื่อไม่มีมันนั่นแหล่ะ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้