วันก่อน เราคุยเรื่องสัพเพเหระกับสามี เห็นโฆษณา billboard ของ tinder ที่พูดเรื่องอาหารแซ่บ ๆ กับสาวหนุ่มภูมิภาคแซ่บ ๆ ยังขำ ๆ กันเลยว่า billboard เขียนคำโฆษณายั่วยุ ตลกดี เราก็พูดถึง tinder ที่เพื่อนเรา (สมัยที่โสด) เคยเล่น app นี้และพูดถึง app นี้ว่าไงบ้าง แล้วเราก็พูดสำทับว่า
“แต่หนูก็ไม่เคยลง ไม่เคยลองเล่นนะคะ”
สามีช็อตฟิลกว่า หันมาบอกว่า “กลัวลงแล้ว เราจะเจอกันในนั้นรึไง ?”
เชื่อไหมว่า เราขำลงไปกองกับอารมณ์ขันตลก ๆ ของสามีเลยค่ะ
แล้วก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า “อารมณ์ขัน” และ “ความสนิทใจ” “ความเป็นเพื่อน” นี่แหละค่ะ เป็นสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในความสัมพันธ์ที่อยู่กันมาหลาย ๆ ปี
ปีแรก ๆ ของการอยู่ด้วยกัน มันยังมีความเกร็ง ๆ ไม่แน่ใจนิดนึงนะคะ ไม่รู้ว่า จริง ๆแล้ว เราทำอย่างนี้ พูดแบบนี้เค้าจะว่าไง ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราเป็นตัวเอง เค้าจะ support เราขนาดไหน หรือเราจะยอมรับเค้าได้แค่ไหน มันใช้เวลาเรียนรู้ ปรับตัว ทะเลาะ มึนตึง กันพักนึงนะคะ
จนผ่านไป ผ่านไป เราถึงชอบความรู้สึกสะดวกสบายใจแบบนี้มาก
คือ มันมีความเชื่อใจ ไว้ใจ และรู้ใจกันมาก จนหันมาหัวเราะด้วยกันได้บ่อย ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง เรายังเกรงใจกันอยู่ ยังดูแลกันอยู่ แต่มันมีความไม่ถือสากันมากขึ้น นอกเหนือจากความเป็นสามีภรรยา มันยังมี feel ของความรู้ใจ รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร คิดอะไร หรือมีเจตนายังไง
วันเกิด วันครบรอบอะไรยังไงที่ครั้งหนึ่งเราเคยจะเป็นจะตาย เพราะสามีลืม จำไม่ได้ซะงั้น มาวันนี้ กลับเป็นเรื่องที่เราขำและไม่สนใจแล้ว
อยากได้อะไร อยากให้ทำอะไรก็ขอเอาตรง ๆ เลย เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ อยากทำอะไร (ที่ไม่ใช่งานหาเลี้ยงครอบครัวหรืออะไรที่ได้ดอกได้ผลเป็นรูปธรรม) เช่น เทคคอร์สที่เราสนใจ (แม้ว่าคนอื่นจะตั้งข้อสังเกตว่าเรียนไปทำไม) หรือทำกิจกรรมจิตอาสาที่กินเวลาเสาร์อาทิตย์ เราก็ไม่ว่ากัน
ที่เจ๋งกว่านั้น คือ เราเคยนัดไปดื่มไวน์กับเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วนัดให้สามีไปรับที่คอนโดลูกสองสามป้ายรถไฟฟ้าจากที่นัดเพื่อน สามีก็ไปรับเราโดยไม่ว่าอะไรสักคำ (นี่ไม่อยากคิดว่า ถ้าแม่รู้ เราสงสัยโดนบ่นหูชา) วันนั้น หนักไปนิด หน้าแดงก่ำ ยืนพิงเสาบน BTS ต่อ MRT ต้องหายใจลึก ๆ ประคองตัวตรง คุณลุงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องเราเขม็งเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ธาราสินธุ์ : ป๋าคะ อยากได้แหวนแต่งงานใหม่แบบใส่ได้ทุกวัน เรียบ ๆ เอา platinum นะคะ อยากได้อาทิตย์หน้านี้เลยด้วย Size 56
สามี : ได้เลยจ้ะ ...
ถามว่าได้จริงมั้ย ... ได้ดูค่ะ เพราะสามีไปปรึกษาลูกว่าเอาแบบไหนดี ? ลูกบอกว่า ทำไมไม่ไปค่อย ๆ เลือกดู สามีบอกลูกว่า ก็หม่ามี้เค้าจะเอาภายในอาทิตย์นี้แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน พอจะเอาจริง ๆ แหวน platinum ก็ต้องสั่งอยู่ดี
นี่นึกแล้วก็ขำว่า อะไรฟะ ... เรามาถึงวันที่ต้องขอแหวนจากสามีแล้วหรือ ? เค้าคิดไม่ออกหรือว่ามันเป็นของควรซื้อให้เอง ?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพื่อนเก่าและซาเทียร์
ซาเทียร์วันที่ 2 สนุกมากเหมือนวันแรก
ความน่าสนใจไม่แผ่วลงเลย
ออกตัวไว้ก่อนว่า โพสต์นี้เวิ่นเว้อ เพ้อเซอนอล ใครไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ หรือบันทึกส่วนตัวก็ข้ามไปเลยนะคะ มันอาจจะน่าเบื่อค่ะ
แต่รีวิวเรื่องนี้เผื่อน้อง ๆ บางคนที่สนใจและอยากไปลงเรียน
อธิบายง่าย ๆ ว่า ซาเทียร์ เป็นโมเดลที่ใช้ในการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของคน คนอื่นจะเรียนไปเป็น กระบวนกร เป็น coach, therapist หรืออะไรยังไงฉันก็ไม่รู้ แต่ส่วนตัว เรียนไว้เพื่อเข้าใจตัวเอง ไม่บำบัดใครทั้งนั้น(โว้ย) แค่ทำงานกับตัวเองก็เหนื่อยแล้ว
ถ้าถามว่าเข้าใจไปทำไม ก็คงตอบง่ายๆ ว่า ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น
ในความเข้าใจและการตีความของฉัน ซาเทียร์มุ่งเน้นที่การโฟกัสกับการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเองมากกว่าการเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอก ซึ่งอันนี้ ฉันถือว่าถูกจริตมาก เพราะในวัยนี้ ฉันไม่สนใจจะเปลี่ยนโลกแล้ว ฉันสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงดูแลตนเอง โลกมันดูแลตัวเองได้ ถ้าคนที่อยู่ข้างในดูแลตัวเอง
สามปีที่ผ่านมา หนังสือ แนวคิด การอบรมที่สอดคล้องกับจริต และฉันเข้าร่วมมีอยู่สองสามอย่างส่วนใหญ่ก็พวกคอร์สฝึกสติ อยู่กับธรรมชาติ กลับมาอยู่กับตัวเอง และเหตุผลของการมีชีวิตอยู่
ฉันแปลเรื่องอาบป่า เข้า workshop เรื่องเชื่อมโยงกับพลังงานธรรมชาติ เข้า workshop เรื่องชีวิตที่เบิกบานเป็นการฝึกสติภาวนาแนววัชรยาน
แนวคิดที่มีอิทธิพล อ่าน ฟัง podcast และได้ผ่านตาอ่านมารอบสามปีนี้คือ
Carl Jung --- ว่าด้วยเรื่องการเผชิญหน้ากับความกลัว
Find out what a person fears most and that is where he will develop next.
People will do anything no matter how absurd to avoid facing their own souls.
Stoicism --- ว่าด้วยเรื่องสิ่งที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ และท่าทีที่ควรมีต่อมัน
Victor Frankl --- ว่าด้วยเรื่องเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ (ฟังดูแปลก ๆ นะ แต่ยืนยันว่า ฉันยังรักลมหายใจที่ตื่นมาแล้วพบว่ามันยังอยู่ทุกวัน นึกขอบคุณทุกวันที่สุขภาพยังดีและรายล้อมไปด้วยกัลยาณมิตร)
ฝึกสติภาวนา ความรักความเมตตา และตอนนี้สนใจทงเลนเป็นพิเศษ เคยเรียนเรื่องทงเลนกับโพวากับคุณหมอธวัชชัยเกือบสิบปีมาแล้ว เก็บไว้ในลิ้นชัก คิดว่าได้เวลากลับมาเรียนรู้อย่างจริงจังอีกครั้งแล้ว
วัดจากความสนใจในช่วงสามปีที่ผ่านมา สัมมนาที่ตอบโจทย์ที่สุด น่าจะเป็นเรื่องซาเทียร์ที่พูดถึง ปัจจัยต่าง ๆ ภายในภูเขาน้ำแข็งของจิตใจที่จมอยู่ใต้น้ำ โผล่ให้เห็นเฉพาะยอดซึ่งก็คือพฤติกรรม
ภายใต้พฤติกรรมที่เรามองเห็น ยังมีปัจจัยต่าง ๆ ทับซ้อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เช่น อารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกที่มีต่อความรู้สึก มุมมองทั้งที่เรามีต่อตัวเราและเรามีต่อผู้อื่น ความคาดหวัง ความต้องการลึก ๆ
ปัจจัยพวกนี้รวม ๆ กัน ท้ายสุดจะ manifest ออกมาเป็นพฤติกรรมสารพัด
บางครั้งเราก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เข้าใจบางส่วน เข้าใจบางมุม หรือ บางที เราก็ไม่กล้าทำความเข้าใจ ไม่กล้าจะยอมรับ หรือไม่รู้วิธีที่จะ express หรือสื่อสารความรู้สึกออกมา
เราอาจจะรู้สึกเสียใจ แล้วเราก็รู้สึกแย่ที่เรารู้สึกเสียใจ เพราะถ้าใครรู้ว่าเราเสียใจ เราจะดูเป็น loser
เราอาจจะรู้สึกกลัว แล้วก็มีความกลัวในความกลัวของตัวเอง ซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ ชั้น
บางอารมณ์ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจ ยอมรับและจัดการมันให้ได้เสียก่อน มันจะโผล่ตรงยอดภูเขา action มันออกไปแล้ว ส่วนใหญ่เละเป็น coco crunch ระเบิดทุกที
เช่น ถ้าใครมาแตะ “เส้นจี๊ด” หรือข้ามเส้นบางอย่างของเรา หลายครั้ง ปฏิกริยาโต้ตอบมันหลุดออกไปยังกับมีดบินของลี้คิมฮวงที่คนเป็นไม่มีวันได้เห็น
ฉันเคยรู้จักน้องหมอคนนึง เรียบร้อย ใจเย็น ดูคุณหนูมาก มีหมอรุ่นน้องพูดอะไรคำนึงที่ผิดหูมากเกี่ยวกับการตัดสินใจบางอย่าง
Moment นั้นในวันหยุด น้องแล่นไปที่โรงพยาบาลเซ็นเอกสารเจ้าปัญหานั้น แล้วเขวี้ยงปากกามันลงตรงนั้นเลยจ้า ...
ฟังแล้วอมยิ้ม
เพราะฉันเอง สมัยก่อนถ้าคำพูดอะไรมาโดนเส้นจี๊ด มือถือลอยไปกระแทกพื้น ฝาไปทาง จอไปทางเลยจ้า ... ถามว่าโกรธมั้ย ? จะกัดฟันกรอด หน้านิ่ง ตอบเสียงเรียบเย็นว่า “ไม่โกรธค่ะ ไม่มีอะไร” แต่ขอไม่บอกว่า เส้นจี๊ดนั้นคืออะไรนะคะ เพราะตั้งปณิธานว่าจะใช้มือถือเครื่องละ 6 ปี เครื่องนี้เพิ่งได้ 3 ปี
ซาเทียร์โมเดล เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะพาไปสำรวจ “เบื้องหลังความอร่อย” เหตุผลลึก ๆ เบื้องหลังการกระทำที่โผล่มาเหล่านี้
ซาเทียร์ โฟกัสเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายใน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอก
หลาย ๆ ครั้ง ความทุกข์เราไม่ได้เกิดมาจากเรา เกิดมาจากคนอื่นที่เราควบคุมไม่ได้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนมุมมอง เราจะรู้สึกติดกับและทุกข์ตลอดเวลา
วันนี้ อาจารย์นงพงา สาธิตการบำบัดอาสาสมัครท่านหนึ่ง นี่เห็นแล้ว เข้าใจเลยว่า ทำไมอาจารย์ถึงเป็นสมบัติของชาติ เจ๋งจริง อะไรจริง การเชื่อมโยง วิธีตั้งคำถาม น้ำเสียง จังหวะ การควบคุมอารมณ์ pacing ดูสบาย ๆ ไม่ล้วงปม (อันนี้สำคัญมาก การบำบัดบางอย่างที่แคะปมมาก ๆ จนฝ่ายถูกบำบัดร้องไห้ไม่หยุด แล้วคนตั้งคำถามคุมสถานการณ์ไม่อยู่นี่ มันเป็นฝันร้ายกระทั่งสำหรับคนที่ witness จริง ๆ ) มีความพอดีลงตัว เหมาะเจาะจริง ๆ
ให้ทายว่า ประเด็นที่อาสาสมัครคนนี้ออกมารับการบำบัดคืออะไร ?
ปัญหาความทุกข์แม่ผัวลูกสะใภ้ ที่ตัวเองในฐานะลูกชายที่รักแม่และสามีที่รักเมียต้องเผชิญค่ะ นี่เป็นมากถึงขนาดทำแบบประเมินซึมเศร้ากำลังจะต้อง on ยาแล้วด้วย
โห... session นี้จบ น้ำตาซึมกันหลายคน ทั้งผู้ชายผู้หญิง เพราะเจอกันหลายคนค่า นี่เป็นปัญหาคลาสสิค เจอกันหลายครอบครัวมากจนบางคนมาบอกทีหลังว่า หย่ากันก็เพราะเรื่องนี้แหละ
ขอไม่ลงรายละเอียด เพราะเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่อยากเอามาเล่า
ส่วนตัวฉันเองนี่ ตลอดเวลาที่สังเกตการณ์ดู session อึดอัด หายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลา ทั้งที่ตัวเองไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย ครอบครัวสามีตัวเองนี่ต้องใช้คำว่าประเสริฐและศัพท์ความหมายบวกทุกคำในพจนานุกรมมากองรวมกันเลยถึงจะบรรยายหมด
นี่ก็งงว่า ไปมีปมอะไรกับเค้าเรื่องนี้ด้วยฟะ ?
มานึกได้ว่า หนึ่งใน worst fear ของฉันเลย คือ ฉันสาบานกับตัวเองว่า ถ้าเป็นแฟนกับใครหรือแต่งงานกับใคร แล้วแม่เค้าไม่ชอบฉันนี่ ฉันเลิกทันที กลัวปัญหานี้ขึ้นสมองเลย รู้สึกว่า ตัวเองไม่มีความสามารถจะจัดการกับปัญหานี้ได้ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็กลัวทุกที ? ฟังเพื่อนเล่าเรื่องอยู่บ้านเดียวกับแม่ผัวแล้วไม่พูดกันเลย นี่ก็มวนท้องแทนเค้าเลย เครียด ... แต่ยิ่งเครียด ยิ่งกลัว ก็ยิ่งชอบฟัง เหมือนคนกลัวผีก็ชอบฟังเรื่องผี
มานั่งคิดว่า ตัวเองกลัวอะไร บ้านสามีตัวเองนี่ต้องบอกว่า “เทิดไว้เหนือเกล้า” ได้เลย ค่าที่ทุกคนเมตตาปรานีกับฉันมาก
ก็มานึกได้ว่า ตอนเด็ก ๆ ฉันเป็นเด็กหัวแข็ง และเฮี้ยว ๆ บ้าง กระโดกกระเดกไม่เก่งงานบ้านด้วย พ่อฉันเคยบอกว่า “อย่างลื้อนี่ ถ้าแต่งออกไปนะ รับรองเดี๋ยวแม่ผัวต้องรีบเฉดหัวออกจากบ้านไปเลย”
ตอนนั้น ฟังแล้วก็หัวเราะเนอะ ...
แต่เอาจริง คำพูดพ่อแม่ mark รอยไว้ในหัวใจลูกเสมอ
ทุกวันนี้ ก็อยู่มายี่สิบกว่าปีแล้วจ้า ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้ถูกเฉดหัวออกใด ๆ แต่เวลาได้ยินปัญหานี้ทีไร นี่หายใจไม่ทั่วท้อง เครียดไปกับเค้าทุกครั้ง
ฉันคิดว่าตัวเองมีปมในใจกับพ่อเรื่องนี้ และตอนนี้ก็มาเข้าใจว่า พ่อพูดแบบนั้นเพราะความโกรธ เบื้องหลังความโกรธของหลายคนโดยเฉพาะผู้ชาย ถูกขับดันด้วยความกลัวทั้งนั้น ผู้ชายทนความกลัวไม่ได้ เวลารู้สึกกลัวมันจะขยับเปลี่ยนมาเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว
แล้วถามว่า พ่อฉันกลัวอะไร ... กลัวฉันจะโตมาเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่มีคุณภาพกระมัง
แล้วทำไมต้องกลัว พ่อก็ต้องรักแหละ...
ค่อย ๆ สำรวจไปทีละขั้น น่าสนใจดีเหมือนกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
▶️ Watch this video https://www.facebook.com/share/apteq9V5LTrz2gx1/?mibextid=WC7FNe
ท่านอื่น ๆ ล่ะคะ ?
ชอบอะไรในชีวิตคู่ที่อยู่กันไปนาน ๆ ที่สุด
คำถามกึ่งยิงกึ่งผ่าน สำหรับแฟนหรือคู่แต่งงานที่อยู่กันมานานๆ (เอาสัก 5 ปีขึ้น) มีอะไรที่คุณชอบมากที่สุดในความสัมพันธ์คะ
“แต่หนูก็ไม่เคยลง ไม่เคยลองเล่นนะคะ”
สามีช็อตฟิลกว่า หันมาบอกว่า “กลัวลงแล้ว เราจะเจอกันในนั้นรึไง ?”
เชื่อไหมว่า เราขำลงไปกองกับอารมณ์ขันตลก ๆ ของสามีเลยค่ะ
แล้วก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า “อารมณ์ขัน” และ “ความสนิทใจ” “ความเป็นเพื่อน” นี่แหละค่ะ เป็นสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในความสัมพันธ์ที่อยู่กันมาหลาย ๆ ปี
ปีแรก ๆ ของการอยู่ด้วยกัน มันยังมีความเกร็ง ๆ ไม่แน่ใจนิดนึงนะคะ ไม่รู้ว่า จริง ๆแล้ว เราทำอย่างนี้ พูดแบบนี้เค้าจะว่าไง ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราเป็นตัวเอง เค้าจะ support เราขนาดไหน หรือเราจะยอมรับเค้าได้แค่ไหน มันใช้เวลาเรียนรู้ ปรับตัว ทะเลาะ มึนตึง กันพักนึงนะคะ
จนผ่านไป ผ่านไป เราถึงชอบความรู้สึกสะดวกสบายใจแบบนี้มาก
คือ มันมีความเชื่อใจ ไว้ใจ และรู้ใจกันมาก จนหันมาหัวเราะด้วยกันได้บ่อย ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง เรายังเกรงใจกันอยู่ ยังดูแลกันอยู่ แต่มันมีความไม่ถือสากันมากขึ้น นอกเหนือจากความเป็นสามีภรรยา มันยังมี feel ของความรู้ใจ รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร คิดอะไร หรือมีเจตนายังไง
วันเกิด วันครบรอบอะไรยังไงที่ครั้งหนึ่งเราเคยจะเป็นจะตาย เพราะสามีลืม จำไม่ได้ซะงั้น มาวันนี้ กลับเป็นเรื่องที่เราขำและไม่สนใจแล้ว
อยากได้อะไร อยากให้ทำอะไรก็ขอเอาตรง ๆ เลย เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ อยากทำอะไร (ที่ไม่ใช่งานหาเลี้ยงครอบครัวหรืออะไรที่ได้ดอกได้ผลเป็นรูปธรรม) เช่น เทคคอร์สที่เราสนใจ (แม้ว่าคนอื่นจะตั้งข้อสังเกตว่าเรียนไปทำไม) หรือทำกิจกรรมจิตอาสาที่กินเวลาเสาร์อาทิตย์ เราก็ไม่ว่ากัน
ที่เจ๋งกว่านั้น คือ เราเคยนัดไปดื่มไวน์กับเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วนัดให้สามีไปรับที่คอนโดลูกสองสามป้ายรถไฟฟ้าจากที่นัดเพื่อน สามีก็ไปรับเราโดยไม่ว่าอะไรสักคำ (นี่ไม่อยากคิดว่า ถ้าแม่รู้ เราสงสัยโดนบ่นหูชา) วันนั้น หนักไปนิด หน้าแดงก่ำ ยืนพิงเสาบน BTS ต่อ MRT ต้องหายใจลึก ๆ ประคองตัวตรง คุณลุงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องเราเขม็งเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ท่านอื่น ๆ ล่ะคะ ?
ชอบอะไรในชีวิตคู่ที่อยู่กันไปนาน ๆ ที่สุด