‘โตโยต้า’ เปิดใจ! ทำไมยังต้อง ‘ไฮบริด’

เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.matichon.co.th/economy/auto/news_4497664

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานมอเตอร์โชว์ 2024 ที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ผู้บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงสถานการณ์ธุรกิจยานยนต์ โดยมี มร.โนริกาอิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมให้สัมภาษณ์
 
– ผลดำเนินงานของโตโยต้า และตลาดโดยรวมปีที่ผ่านมา ตลอดจนภาพรวมของตลาดรถยนต์ปีนี้
“ยอดขายของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 770,000 คัน ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ช่วงครึ่งปีหลัง อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยประสบภาวะค่อนข้างลําบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไตรมาสที่ 4 เนื่องจากดัชนีทางด้านเศรษฐกิจ ยังไม่ค่อยดีนัก ส่งผลให้อุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศไม่ค่อยเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดรถปิกอัพ ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มมาตรการในการปล่อยกู้เข้มงวดมากขึ้น ตลอดจนภาวะหนี้ครัวเรือนครึ่งปีหลัง ทําให้ยอดขายรถปิกอัพในปีที่ผ่านมาลดลงกว่า 30% ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งการตลาดของปิกอัพของโตโยต้า อยู่ที่กว่า 40% สูงสุดตั้งแต่ปี 2011 มีส่วนแบ่งตลาดรวม อยู่ที่ 34.3% นับว่าเป็นสัดส่วนการตลาดสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015”

“สําหรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ เราเคยคาดว่า ยอดขายรวมทั้งปีน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมาที่ระดับ 780,000 ถึง 800,000 คัน แต่เนื่องจากดัชนีของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ไม่สู้ดีนัก ตลอดจนการเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการการปล่อยกู้และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทั้งเห็นว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพื่อฟื้นตัว จึงขอปรับลดประมาณการณ์ยอดขายตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 730,000 คัน”

“สําหรับยอดขายของโตโยต้า เราตั้งเป้าหมายการขาย 250,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 34% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โตโยต้ามีส่วนแบ่งการตลาดที่ 34.3% แม้ว่าการเข้ามาของค่ายผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน และการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าโดยใช้แบตเตอรี่ (BEV) อาจส่งผลทำต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้โดยง่าย แต่เมื่อดูตัวเลขจากเมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โตโยต้ามีส่วนแบ่งการตลาด 34.8% สูงกว่าปีที่แล้วที่ 34.3% จึงเชื่อว่าเป้าหมายดังกล่าวมีความเป็นไปได้

– ยอดขายและสัดส่วนทางตลาดของรถยนต์ไฮบริดของโตโยต้า และผลกระทบจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากสัญชาติจีน
 
“ตั้งแต่แนะนํารถคัมรี่ รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด ในปี 2009 เราได้เพิ่มจํานวนรุ่นของรถไฮบริดเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ปลายปีที่แล้ว เราแนะนำ ยาริส ครอส รวมถึง โคโรลล่า ครอสใหม่ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สําหรับตลาดรถไฮบริดในประเทศไทย สัดส่วนยอดขายรถ BEV ในประเทศไทยอยู่ที่ 10% ขณะที่รถไฮบริดมีสัดส่วนสูงกว่าที่ 12% ดังนั้นตลาดของรถไฮบริดน่าจะขยายตัวออกไปได้อย่างแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ยอดขายของ BEV เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพิ่มจาก 10% ไปเป็น 14% ขณะที่สัดส่วนยอดขายรถไฮบริดเพิ่มขึ้นสูงจาก 12% เมื่อปีที่แล้ว เป็น 22% ในปีนี้สำหรับยอดขายในตลาดไฮบริดของโตโยต้าเมื่อปีที่แล้ว เราจำหน่ายรถไฮบริดไปได้ประมาณ 31,000 คัน คิดเป็นประมาณ 30% ของตลาดไฮบริดโดยรวมในประเทศไทย นอกจากนี้รถยาริส ครอส เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้เสียงตอบรับจากตลาดดีมากๆ หากเราดูยอดขายรถไฮบริดในประเทศไทยเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สัดส่วนทางตลาดที่โตโยต้าทําได้สูงกว่า 40% สูงกว่าเมื่อปีที่แล้ว ข้อได้เปรียบของรถไฮบริดคือ เราไม่จําเป็นจะต้องใช้สาธารณูปโภคเพิ่มเติม ลดอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทันที เป็นอีกหนึ่งวิธีจะนําประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ ดังนั้นโตโยต้าจึงมีแผนแนะนำรถรุ่นใหม่ไฮบริดออกมาเพิ่มขึ้นในอนาคต

-ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวเลขยอดคาดการณ์ตลาดรวมรถยนต์ในปีนี้ที่โตโยต้าปรับลดลงเหลือ 730,000 คัน
“ถ้าดูตลาดในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะรายไตรมาสหรือว่ารายเดือนก็ตาม จะเห็นได้ว่าตลาดค่อนข้างซบเซาโดยไม่เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ เมื่อดูตัวเลขอัตราการเติบโตจากเมื่อปลายปีที่แล้ว ตลอดจนเดือนมกรา-กุมภาปีนี้ น่าจะเป็นไปได้ว่าในปี 2024 นี้ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยน่าจะต่ำกว่า 730,000 คันเล็กน้อย แต่ว่าในไตรมาส 2 ตลอดจนไตรมาส 3 ปีนี้ เราน่าจะเห็นปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จากการท่องเที่ยวมาเสริม จึงเชื่อว่าครึ่งหลังของปีนี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวชัดเจนมากกว่าที่ผ่านมา ดูจากงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เห็นค่ายรถยนต์ออกมาตรการทางการตลาดกระตุ้นยอดขายกันเต็มที่ โดยส่วนตัวอยากให้ยอดขายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 730,000 คันให้ได้”

-ยอดจองของ ยาริส ครอส, โตโยต้า ครอส และ ไฮลักซ์ แชมป์
“โคโรลล่า ครอสใหม่ เพิ่งเปิดรับจองเพียง 1 เดือน เราได้รับยอดจองมากกว่า 3,000 คัน ส่วน ยาริส ครอส นับตั้งแต่เปิดตัวมา 5 เดือน มียอดจองสะสมกว่า 25,000 คัน หรือเดือนละประมาณ 5,000 คัน ถือว่าทำยอดขายได้ดี ไฮลักซ์แชมป์ เปิดจองมา 3 เดือน ได้ยอดจองกว่า 5,000 คัน ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน ยอดจองของรถทั้ง 3 รุ่น ถือว่าเข้าเป้า หรือเหนือกว่าเป้าที่ตั้งไว้ จึงคิดว่ายอดขายของรถทั้ง 3 รุ่นน่าจะไปได้ดีเรื่อย ๆ ในปีนี้”

-ผลกระทบจากสงครามราคาและมาตรการเพื่อรับมือ
“หากเราแข่งขันด้านราคากันรุนแรงเกินไป จะส่งผลต่อราคาขายต่อของรถยนต์โดยรวม ส่งผลต่อความรู้สึกของลูกค้าเพิ่งซื้อรถรุ่นนั้นไปด้วย เราจึงจำเป็นต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างระมัดระวัง โตโยต้าให้ความสำคัญกับ แวลู เชน (Value Chain) คือคุณค่าตลอดห่วงโซ่การใช้งานของรถยนต์ของเรา ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อรถโตโยต้าไปเมื่อใด เรามุ่งสร้างความสุข และรอยยิ้มให้ลูกค้าทุกคน ปีนี้โตโยต้าแนะนำแคมเปญและข้อเสนอเพื่อกระตุ้นยอดขายต่างๆ เพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาด เราจะพิจารณากลยุทธ์ระยะกลางกับระยะยาวอย่างรอบคอบ พิจารณาถึงลูกค้าเป็นสำคัญ

-เป้ายอดจองในงานมอเตอร์โชว์ และความมั่นใจจะรักษายอดขายอันดับหนึ่ง
“ที่ผ่านมาโตโยต้ามียอดจองสูงสุดแทบจะทุกครั้ง ด้วยสัดส่วนประมาณ 14% ถึง 15% สําหรับเป้ายอดจองของมอเตอร์โชว์ปีนี้ก็เช่นกัน เรายังคงต้องการรักษาส่วนแบ่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นเราจึงแนะนำมาตรการส่งเสริมการขาย เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจจองกับเราได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ อีซี่ โลน และ PHYD Campaign, Deferred Payment เรายังให้วางเงินดาวน์ได้ด้วยเครดิตการ์ด เพื่อช่วยให้ยอดจองภายในงานเป็นไปตามเป้าหมาย เราขอเน้นว่ารถโตโยต้าแม้ว่าจะใช้งานแล้ว ก็มีมูลค่าการขายต่อมักจะสูงกว่าแบรนด์อื่น เรามีโปรโมชั่นการเทรด-อินรถ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถคันใหม่ได้ง่ายขึ้น นำมาสนับสนุนในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้ด้วยเช่นกัน เรามีแคมเปญจับสลากสําหรับลูกค้าจองและออกรถในงานด้วย”

-ความคิดเห็นต่อการแนะนำรถ BEV รุ่นใหม่ และส่วนแบ่งการตลาดของผู้ผลิตสัญชาติจีนกำลังเพิ่มขึ้น ตลอดจนความกังวลใจของโตโยต้า
“กลยุทธ์ Multi Pathway ของโตโยต้า คือการมุ่งนำเสนอทางเลือกหลากหลายสำหรับลูกค้าที่ต้องการแตกต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้รถตรงกับความต้องการของตนองมากที่สุด Multi Pathway เป็นนโยบายของโตโยต้าทั่วโลก เราจะดูลักษณะจําเพาะของแต่ละประเทศและแต่ละตลาด ตลอดจึงความเป็นไปได้ในอนาคต แล้วจึงนําเสนอทางเลือกเหมาะสมให้ได้มากที่สุด การที่เราเลือกว่าเทคโนโลยีใดเหมาะกับประเทศไหน มีปัจจัยพิจารณาทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน ปัจจัยแรกก็คือตัวลูกค้าว่าลูกค้าแนวโน้มจะซื้อรถเทคโนโลยีอะไร จําเป็นต้องดูจากสภาพทางเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น และสภาพการใช้งานจริงของลูกค้าด้วย ปัจจัยที่สองคือภาระต่อสิ่งแวดล้อม จําเป็นต้องดูด้วยว่าแต่ละประเทศตอนนี้มีโครงสร้างทางพลังงานอย่างไร เทคโนโลยีช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละประเทศได้เหมาะสมที่สุด ปัจจัยที่สามคือเราจะช่วยเหลือเศรษฐกิจของแต่ละประเทศได้อย่างไร อย่างที่ทราบกันดี ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ก็คิดเป็นสัดส่วนจีดีพีสูงถึง 12% ของประเทศไทย หากพิจารณาปัจจัย 3 ข้อนี้แล้ว แน่นอนว่ารถ BEV ถือเป็นเทคโนโลยีที่สําคัญมากสำหรับอนาคต เรานิ่งเฉยไม่ได้แน่นอน”

“แต่ในส่วนของรถBEV การใช้งานจริงขึ้นอยู่กับสาธารณูปโภคก็คือสถานีชาร์จว่าทุกคนจะเข้าถึงได้จริงหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งคือความประหยัดโดยรวมสําหรับลูกค้า หากลูกค้าชาร์จช่วงกลางดึก ค่าไฟต่ำได้ อาจจะประหยัด แต่ถ้าไม่สามารถทําได้ อาจไม่ประหยัดจริง รวมถึงเมื่อพิจารณาราคาขายต่อ ตลอดจนความประหยัดระยะยาว อาจแตกต่างกันไปแต่ละคน ต้องคํานึงถึงปัจจัยหลากหลายนี้เช่นกัน ส่วนของภาระต่อสิ่งแวดล้อม หากพิจารณาการลด CO2 แบบ Tank to Wheel การผลิตพลังงานภายในรถ BEV อาจจะปล่อยคาร์บอนออกมาเป็นศูนย์จริง แต่ถ้าพิจารณาแบบ Well to Wheel คือ แหล่งไฟฟ้าเอามาชาร์จ BEV อย่างประเทศไทยยังผลิตจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นหลัก เพราะฉะนั้นปริมาณ CO2 ปล่อยออกมา เมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อย CO2 ของรถทั่วไปหรือรถไฮบริดแล้ว อาจไม่ได้ต่างกันมาก ต้องคํานึงถึงจุดนี้ด้วย”

“ปัจจัยที่ 3 คือ BEV จะส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างไร BEV ส่วนใหญ่จําหน่ายในไทยตอนนี้เป็นรถนําเข้า 100% อาจไม่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ณ ปัจจุบันนี้ได้มากนัก สำหรับโตโยต้าเอง หากจะผลิต BEV ในประเทศไทย เราจำเป็นต้องมียอดผลิตสูงและคุ้มค่าด้านต้นทุน อย่างรถไฮลักซ์ในปัจจุบันมีอัตราส่วนชิ้นส่วนผลิตในประเทศถึง 90% หากเราต้องการให้ BEV มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย เราจําเป็นต้องพิจารณาระยะเวลาและความเหมาะสมด้วย”

“หากพิจารณาเฉพาะในประเทศไทยตอนนี้ อัตราการแพร่หลายของรถ BEV ดูค่อนข้างสูงและรวดเร็วมาก แต่ถ้าเรามองตลาดอาเซียนโดยรวม ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศอื่น ๆ ภายในอาเซียนอาจยังไม่ได้สูงขนาดนั้น จึงต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการผลิตในประเทศไทยแล้วส่งออกในภูมิภาคอาเซียน ตอนนี้จึงอาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม โตโยต้าก็น้อมรับนโยบายของประเทศไทยอยากจะมีสัดส่วนการใช้รถ BEV ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 จะขยายเทคโนโลยีการผลิตแบบ Step-by-step เรามีแผนเป็นรูปธรรมระยะสั้น คือ แผนผลิตรถไฮลักซ์ BEV พร้อมจะส่งมอบให้เทศบาลเมืองพัทยา เพื่อใช้เป็นรถสองแถวแบบทดสอบ 12 คันวันที่ 25 เมษายนนี้ จะมีพิธีส่งมอบกันที่พัทยา”

“นอกจากนี้ เรายังมีแผนผลิตรถไฮลักซ์ BEV แบบ แมส โปรดักชั่น (mass production) ภายในปลายปี 2025 ด้วย หลังจากนี้เป็นต้นไป โตโยต้าจะผลิตรถ BEV เป็นรถยนต์โดยสารทั่วไปในประเทศไทยในอนาคต แต่สําหรับรถไฮบริดมีข้อได้เปรียบ เนื่องจากไม่จําเป็นจะต้องเพิ่มสาธารณูปโภคอะไร ทุกคนสามารถใช้งานได้ทันที ด้านความประหยัดเองก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของลูกค้าบางคนมีวิธีการใช้งานแบบหนึ่ง ใช้ไฮบริดก็อาจประหยัดกว่า BEV ก็ได้ แต่ว่าถ้าเกิดใช้งานอีกแบบนึง BEV ก็อาจจะประหยัดกว่าไฮบริด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การใช้งาน แต่ถ้าเรื่องการช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศไทย มีซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไปประเทศไทยจํานวนมาก สามารถใช้การผลิตในปัจจุบัน ผลิตชิ้นส่วนสําหรับรถไฮบริดได้เป็นการช่วยเหลือซัพพลายเออร์เหล่านี้ต่อไป หากเราดูสภาพการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านของไทย จะเห็นว่าความนิยมในรถไฮบริดมากกว่ารถ BEV ณ ขณะนี้ ดังนั้นรถไฮบริดจึงยังมีข้อได้เปรียบด้านการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอยู่ สำหรับนโยบายด้านไฮบริดของโตโยต้า อย่างที่เราเปิดตัวรถโคโรลล่าครอสรุ่นไฮบริดไปเมื่อไม่นานมานี้ เราอยากจะให้รถยนต์รุ่นหลักของโตโยต้ามีออปชั่นเป็นไฮบริดให้ครบทุกรุ่นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่