เตรียมตัวเดินทางเที่ยวด้วยรถยนต์


(image source: htts://www.parkers.co.uk/vans-pickups/isuzu/d-max/2021-review/)

เตรียมตัวเดินทางเที่ยวด้วยรถยนต์
 
     สวัสดีครับ เห็นช่วงนี้ใกล้เทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่ไทยเข้ามาอีกแล้ว
เลยอยากแชร์ประสปการณ์และความรู้เกี่ยวกับการใช้รถยนต์ การเดินทางท่องเที่ยวในที่ต่างๆ
รวมถึงเทคนิคเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมให้รถยนต์คันเก่งของเรา  
เพื่อที่ตลอดทั้งทริปนี้จะได้ราบรื่นและมีความสุขตลอดการเดินทาง
ลองมาดูกันครับ

 การเตรียมรถ

    จริงๆรถยนต์ที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน เราควรจะได้ทำ Daily Maintenance หรือการบำรุงรักษาประจำวัน นั่นแหละครับ
 สำหรับใครที่ทำอยู่แล้วก็ต้องขอยกนิ้วให้ ส่วนใครที่ทำบ้างไม่ทำบ้าง หรือไม่เคยทำเลย ทำเป็นแค่เติมน้ำมันอย่างเดียว
  ก็ลองมาเริ่มทำดูก็ได้นะครับ ใช้เวลาไม่มากหรอก ก่อนขับรถไปทำงาน ใช้เวลานิดหน่อย ลองดูนะครับ
เข้าเรื่องครับ การเตรียมรถเดินทางไกลนอกจาก Daily Maintenance ที่ทำกันอยู่แล้ว
 เราควรต้องดูอะไรเพิ่มบ้าง
เดี๋ยวผมจะลองไล่ไปตั้งแต่ด้านหน้ารถไปถึงหลังรถ และ จากภายนอกรถไปข้างในรถนะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อันแรก :  ไฟหน้า หรือภาษาคู่มือรถเรียกว่า Head Lamp นั่นแหละครับ สำคัญนะครับว่ามั้ย 
โดยเฉพาะพอตกกลางคืนนี่ขาดไฟหน้ารถเราจะขับไปได้ยังไง  ควรเช็คดูครับว่า
 ระบบไฟยังติดและสว่างเป็นปกติอยู่รึเปล่า ทั้งไฟต่ำ ไฟสูง ลองเช็คดู 
สังเกตุดูโคมไฟด้วยว่ามีรอยคล้ำ รอยเหมือนรอยไหม้ อะไรพวกนี้มั้ย ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็เปลี่ยนหรือแก้ไขซะนะครับ

2. ไฟเลี้ยว  อันนี้ก็สำคัญถึงแม้หลายคนที่ใช้รถอาจจะใช้บ้างไม่ใช้บ้าง(เจอบ่อยครับจะเลี้ยวซ้าย-ขวา จะชิดขอบทาง ไม่ค่อยจะเปิดกันเลยนะ) ก็เช่นกันครับ สำรวจดูว่าไฟเลี้ยวติดทั้งสองข้างรึเปล่าหรือว่ามีหลอดไหนขาด ใช้งานไม่ได้แล้วก็เปลี่ยนเลยครับ หลอดละไม่กี่ตังค์เอง

 3.ไฟหรี่  คือหลอดไฟดวงเล็กๆที่รวมอยู่ในโคมเดียวกันกับไฟหน้านั่นแหละครับ
 สำรวจดูด้วยว่าติดทั้งสองข้างรึเปล่า ไฟหรี่มีประโยชน์ยังไง 
ก็อย่างน้อยยามพลบค่ำที่เห็นว่าทัศนวิสัยไม่เหมือนกลางวันซะทีเดียว ก็เปิดซะนะครับ 
อย่างน้อยเพื่อนร่วมถนนก็จะได้มองเห็นรถเราได้ง่ายขึ้น 
อีกอย่างที่ผมมักใช้ประจำคือเวลาเราจอดรถข้างทางครับ 
นอกจากไฟเลี้ยวแล้วผมก็มักจะเปิดไฟหรี่นี้คู่กันด้วยในยามโพล้เพล้นะ ผมว่ามีประโยชน์ทีเดียว

4.ทีนี้มาลองก้มดูหน้ารถแถวๆกระจังหน้ารถดูบ้าง  ดูซิครับว่ารังผึ้งแอร์ รังผึ้งหม้อน้ำ
 อินเตอร์คูลเลอร์ มีเศษอะไรไปอุดตันรึเปล่า เศษแมลง ถ้าเยอะก็ทำความสะอาดซะนะครับ
 แต่ระวังอย่าฉีดน้ำแรงหรือแงะซะจนครีบรังผึ้งล้มซะล่ะ ค่อยๆ ทำ หาเวลาว่างทำดูครับ

5.ทีนี้เปิดฝากระโปรงรถขึ้นมา ใครไม่เคยเปิดก็ค่อยๆ ลองหาที่เปิดดูนะครับ 
ส่วนใหญ่ที่เปิดก็จะอยู่บริเวณใต้คอนโซลฝั่งคนขับนั่นแหละ (ถ้าจะบอกว่าอยู่ฝั่งขวาเดี๋ยวคนที่ขับรถพวงมาลัยซ้ายก็จะหาไม่เจออีก)
 เปิดมาดูห้องเครื่องรถเราเองบ้างนะครับ เอาพื้นๆเลยก็ดูน้ำกลั่นแบตเตอรี่
 (ผมเคยดูรถให้น้องที่ทำงานคนหนึ่งเห็นเธอปล่อยให้น้ำกลั่นแห้งจนรถสตาร์ทไม่ติดกันเลยทีเดียว) 
 แบตเตอรี่จะมีขีดบอกระดับการเติมน้ำกลั่นอยู่ เติมด้วยน้ำกลั่นเท่านั้นนะครับ ให้อยู่ที่ขีดล่างกับขีดบนนั่นแหละ (Lower - Upper) อย่าให้เยอะเกินไป  ส่วนใครที่เป็นแบตเตอรี่แห้งก็คงข้ามขั้นตอนนี้ไป
6. น้ำมันเครื่อง  อันนี้ก็สำคัญมาก ถ้าเราเข้าเช็คระยะที่ศูนย์ตามคู่มือแล้วก็คงเบาใจเรื่องนี้ไปได้(แต่ก็ควรเช็คด้วยตัวเองอยู่ดีะนะครับ)  
ถ้าเรามีบันทึกช่วยจำก็ลองดูครับว่าเราเปลี่ยนน้ำมันเครื่องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ รถวิ่งไปกี่ กม. แล้วตั้งแต่เปลี่ยนมา 
 ถ้าถึงเวลาหรือระยะอันควรก็ควรเปลี่ยนซะนะครับเพราะไหนๆ รถก็จะวิ่งทางไกลอยู่แล้ว

     น้ำมันเครื่องในตลาดมักบอกระยะเปลี่ยนถ่ายมาด้วยอาจมีระยะแนะนำที่แตกต่างกันไป 
บางยี่ห้อก็บอกว่าสามารถเปลี่ยนที่มากกว่า 10000 กม.หรือถึง 20000 กม.ก็มี  บางยี่ห้อก็ 5000 , 10000, 8000, 12000 กม. 
ส่วนตัวผมเองจะยึดระยะที่ 8000-10000 กม. ครับหรือเกินนี้ไปนิดหน่อย 
อันนี้น้ำมันเครื่องที่ผมใช้เป็นประเภท Semi-Synthetic กับ Fully-Synthetic นะ
 แล้วก็เลือกใช้น้ำมันเครื่อง เกรดและเบอร์ที่บริษัทรถยนต์ที่เราใช้อยู่แนะนำนะครับ
 หรืออาจจะเลือกที่เกินมาตรฐานก็ไม่ว่ากัน   การตรวจเช็คก็ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมาดูว่ายังอยู่ระหว่างขีดล่าง-ขีดบนอยู่รึเปล่า 
ถ้าพร่องก็เติมให้ได้ระดับ กรณีที่ยังไม่อยากถ่ายใหม่
และถ้าพร่องมากๆอยู่บ่อยๆ ก็ควรปรึกษาช่างนะครับ เผื่อว่ามีปัญหาที่ระบบเครื่องยนต์หรือการเผาไหม้
มีข้อควรรู้อย่างนึงคือ อย่าเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไปนะครับ  

7. น้ำหล่อเย็น เช็คระดับทั้งในถังพักและในหม้อน้ำให้เพียงพอ 
กรณีที่หลายปีมานี้ไม่เคยถ่ายน้ำหล่อเย็นเลยก็ลองหาร้านเปลี่ยนได้แล้วนะครับลองเปลี่ยนออกมาดู 
ท่านอาจจะเห็นสีน้ำหล่อเย็นของรถท่านขุ่นเป็นสีสนิมก็ได้
      ขืนปล่อยให้เครื่อง Heat เพราะน้ำหล่อเย็นแห้ง หม้อน้ำแห้งแล้วล่ะก็ เตรียมตังค์ก่อนใหญ่ไว้บูรณะเครื่องยนต์ได้เลย

8. น้ำมันเบรค น้ำมันครัช (กรณีเกียร์ธรรมดา) น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์  
ของเหลวเหล่านี้รวมทั้งอันก่อนๆที่ว่ามา ไม่ใช่แค่เช็คระดับแค่นั้นนะครับ ถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายก็ควรเปลี่ยนถ่าย 
บางคนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าของเหลวพวกนี้ต้องเปลี่ยนถ่าย 
เพราะของเหลวจำพวกน้ำมันเหล่านี้เมื่อใช้งานไปนานๆคุณสมบัติตามหน้าที่ก็ย่อมเปลี่ยนไปตามการใช้งาน 
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต้องเปลี่ยนถ่ายเมื่อไหร่?? 
เอาเป็นว่าก็ยึดตามคู่มือรถนั่นแหละครับ ง่ายดี

9. ทีนี้อ้อมไปดูท้ายรถกันบ้าง เรื่องไฟอีกแล้ว ทีนี้ เป็นไฟท้ายครับ  
ขับรถมาหลายปีก็ยังเห็นอยู่ตลอดที่รถหลายคันไม่มีไฟท้าย หรือถึงมีก็มีแต่โคมไม่มีหลอดที่ใช้งานได้ (แล้วจะมีไว้ทำไม) 
และหลายคันมีโคมแต่โคมมันแตกไปแล้วครึ่งนึงแทนที่จะเห็นไฟท้ายสีแดง 
กลับเห็นเป็นไฟแยงตาคันข้างหลังแทน  เอาเป็นว่าเช็คกันครับ หลายคนไม่เช็คหรือรู้แต่ไม่ยอมเปลี่ยน 
เห็นใจเพื่อนร่วมทางด้วยนะครับ เดี๋ยวจะมีเหตุชนท้ายกันเพราะมองไม่เห็นคันหน้าเอาได้ 
 อ้อออ  เช็คสวิตซ์ไฟเบรคกันด้วยนะครับ 
บางคันสวิตซ์ค้างรึยังไงไม่รู้ไฟท้ายกลายเป็นไฟเบรคตลอดเวลา แสบตากันไปใหญ่เลยทีนี้

10. ไฟส่องป้ายทะเบียน หลายคนอาจอยากเป็นนินจา ล่องหน เอาไฟส่องป้ายทะเบียนออก  
ระวังงานเข้านะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นทำผิดกฎหมายไม่รู้ตัว

11.ยางอะไหล่  ใครเคยยางรั่วกลางทางโดยไม่มียางอะไหล่คงจะรู้ดีว่ามันลำบากแค่ไหน
 แต่ส่วนตัวยังไม่เคยครับ แต่ถึงรั่วก็อุ่นใจเพราะผมมียางอะไหล่ติดรถเสมอ
 ยางอะไหล่ที่ห้อยใต้ท้องอย่างรถกระบะก็หาอะไรล็อกไว้ก็ดีครับ
 เดี๋ยวพอจะใช้แล้วไปมุดดูใต้ท้องรถจะเห็นแค่โซ่แขวนยางอะไหล่เปล่าๆ ห้อยต่องแต่งอยู่เพราะมีมือดีมาสอยไปแล้ว
(โดยเฉพาะรถใหม่ยางใหม่ทั้งหลาย) เดี๋ยวจะได้เจ็บหัวใจกันเปล่าๆ  
มียางอะไหล่ติดรถก็อย่าลืมเช็คความพร้อมใช้งานด้วยนะครับ 
หมั่นเติมลงอย่างให้มากกว่าปกติไว้สม่ำเสมอ  
ไม่ใช่พอจะใช้แล้วลมยางไม่มีเลย อันนี้จะเจ็บหัวใจอีก โทษใครไม่ได้แล้วนะครับทีนี้

12. ทีนี้เข้าไปดู ห้องโดยสารกันบ้าง  เรื่องไฟ(อีกแล้ว) 
ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารถ้าเสียหรือใช้งานไม่ได้ก็เปลี่ยนเถอะครับ
 เผื่อบางทีอยากเปิดดูแผนที่กระดาษ (หลายคนไม่ใช้แล้วมั้ง) จะได้มองเห็น

12. สวิตซ์อุปกรณ์ต่างๆ ลองทดสอบดูว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ แตรรถดังปกติหรือเปล่า  
แอร์เย็นมั้ย  ระบบไล่ฝ้าใช้งานได้มั้ย กระจกไฟฟ้าทำงานปกติหรือเปล่า
ที่ปัดน้ำฝนใช้งานได้ดีหรือเปล่า สภาพยางปัดน้ำฝนยังโอเคอยู่มั้ย
ถ้าไม่โอเคก็ซ่อมหรือเปลี่ยนตามความเหมาะสมเลยครับ ของบางอย่างราคาก็ไม่ได้แพงเลย

13. น้ำมันเชื้อเพลิง  เวลาเติมถ้าเลือกปั๊มได้ก็ควรเลือกปั๊มที่ได้มาตรฐานหน่อย
อย่างน้อยก็จะได้ไม่เจอน้ำมันปลอมปนหรือสกปรก
เครื่องหัวฉีดค่อนข้างหวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้ครับ
มีปัญหาหรือซ่อมทีก็ใช่ย่อยนะหัวฉีดเนี่ย

14. ยางรถ  ใช่ครับ ยางทั้ง 4 เส้น รวมยางอะไล่อีก 1 เส้น สำคัญมากนะผมว่า
รถจะกี่ร้อยแรงม้าถ้าไม่มียางทั้ง 4 เส้นคุณภาพดีๆ มาส่งถ่ายพลังลงพื้นถนนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
ก็คงไร้ประโยชน์ เอาเป็นว่าอย่าขี้เหนียวกับยางดีๆ ทั้ง 4 เส้นนี้เลยนะครับ
ดอกยางหมด เนื้อยางแข็ง มีรอยปริ ฉีกขาด ปะจนรอยปะเต็มไปหมดแล้ว ก็เปลี่ยนเถอะครับ
มันมีอายุของมันยิ่งใครวิ่งถนนที่ไม่ค่อยดีอยู่บ่อยๆ บรรทุกหนักอยู่เนืองๆ 
ก็ถือโอกาสปีใหม่ไทยที่จะถึงนี้เปลี่ยนยางใหม่กันเถอะครับ
ร้านยางหลายร้านมีโปรให้ลูกค้าเยอะแยะช่วงนี้
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ จากประสปการณ์ที่ผมปฏิบัติมาหลายปี
ก็ทำให้รู้ว่ารถยนต์ของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้นไม่ต้องซ่อมแซมจุกจิกเกินความจำเป็น 
(เทียบกับหลายคนที่ใช้รถแบบไม่ดูแล) ถึงแม้ว่าของพวกนี้ยังไงก็ต้องเสื่อมตามกาลเวลาแน่นอนอยู่แล้ว
  แต่เราเองในฐานะคนใช้รถก็มีส่วนช่วยยืดอายุการใช้งานรถเราให้นานเท่าที่ควรจะเป็นได้นะครับ 
 

 ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพทุกเส้นทางครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีครับ
timetowalkforsomthingfirstman
17 มีนาคม 2567

 

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่