🔘 เรื่องพระไม้กวาด 🔘
ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งชอบกวาดวัด จนใครต่อใครพากันเรียกว่า !พระไม้กวาด’ เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนท่านจะถือไม้กวาดติดมือไปด้วยเสมอ.
วันหนึ่ง ท่านถือไม้กวาดเดินท่อมๆไปตามลานวัด เห็นพระเรวตะน้องชายพระสารีบุตรนั่งพักกลางวันอยู่ เกิดความไม่พอใจ.
"ท่านเรวตะ ทำไมท่านถึงขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างนี้ อะไรกันกินข้าวชาวบ้านแล้วมานั่งเฉยๆจะจับไม้กวาดไปกวาดที่ไหนสักแห่งไม่ได้เชียวหรือ?"
พระเรวตะเป็นพระอรหันต์ ถูกพระไม้กวาดชี้หน้าด่า ท่านก็ไม่แสดงอาการโกรธเคืองอันใด.
"เราควรจะเตือนเขา" พระเรวตะคิดอยู่ในใจ.
จากนั้นจึงได้กล่าวกับพระไม้กวาดว่า "ผู้มีอายุ สรงน้ำแล้วมาหาผมหน่อยนะ."
"มาทำไม" พระไม้กวาดเสียงแข็ง.
"มาเถอะมีเรื่องจะพูดด้วย"
พระเรวตะอ้อนวอน.
"พูดเดี๋ยวนี้ก็ได้" พระไม้กวาดวางท่า.
"ไปสรงน้ำก่อน แล้วค่อยคุยกัน."
"ก็ได้."
หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว
พระไม้กวาดก็แบกไม้กวาดมาหาพระเรวตะ และทันทีที่มาถึง.
"เอ้ามีอะไรว่าไป ท่านเรวตะ."
"ใจเย็นๆ" พระเรวตะขอร้อง.
"วางไม้กวาด... หาที่นั่งเสียก่อนซิ."
พระไม้กวาดแสดงท่าไม่พอใจ
แต่ก็จำยอมวางไม้กวาด แล้วนั่งลงข้างหน้าพระเรวตะ.
เมื่อพระไม้กวาดนั่งเรียบร้อยแล้ว พระเรวตะจึงได้กล่าวเตือนขึ้นว่า "พระเราไม่ควรจะทำกิจเพียงแค่กวาดวัดเท่านั้น กิจอื่นมีอีกมากมายนัก หน้าที่สำคัญของการบวชในพระพุทธศาสนา คือ การทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป กวาดวัดอย่างเดียวไม่ช่วยให้กิเลสหมดหรอก มิหนำซ้ำจะเป็นการเพิ่มกิเลสเสียด้วยซ้ำ"
พระไม้กวาดมองหน้าพระเรวตะด้วยความสงสัย.
พระเรวตะเข้าใจดี จึงกล่าวต่อไปว่า "การทำความดี แล้วยึดติดในความดี นั่นแหละคือการเพิ่มกิเลส อย่างเช่นท่านกวาดวัด แล้วมีความภาคภูมิใจว่าตัวเองขยัน เห็นคนอื่นเขาไม่ทำอย่างตัว ก็เลยเหมาเอาว่าคนอื่นเขาขี้เกียจ แล้วไปเที่ยวระรานคนอื่นเขา อย่างนี้ถูกหรือ?"
พระไม้กวาดก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบ.
พระเรวตะจึงแนะวิธีให้ "เอาอย่างนี้ซิ ผู้อาวุโส เช้ากวาดเสียครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไปบิณฑบาต ฉันเรียบร้อยแล้วกลับมาที่พัก อย่าทำอย่างอื่น นอกจากสาธยายอาการ 32 แล้วก็เจริญวิปัสสนาไปด้วย ทำไปจนเย็น แล้วค่อยออกไปกวาดใหม่."
พระไม้กวาดน้อมรับคำเตือน
ของพระเรวตะ ปฎิบัติตามไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุธรรม.
เนื่องจากลานวัดมีบริเวณกว้าง กวาดแค่เช้ากับเย็นไม่พอ
สถานที่ต่างๆก็เลยกลับรกขึ้นมาอีก แต่ท่านก็ทำใจได้ เพราะวางเฉยเสีย ถือว่าทำเท่าที่ทำได้.
พระในวัด ก็ชักสงสัยเลยถามท่าน "ท่าน...ที่นี่รกจังเลย ทำไมไม่เห็นค่อยกวาดเล่า."
พระไม้กวาดตอบว่า "เมื่อก่อน
ผมมัวแต่กวาด ที่ข้างนอก ข้างในจึงรก เดี๋ยวนี้ผมกวาดข้างในได้สะอาดแล้ว ข้างนอกจึงรก."
ไม้กวาด
ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งชอบกวาดวัด จนใครต่อใครพากันเรียกว่า !พระไม้กวาด’ เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนท่านจะถือไม้กวาดติดมือไปด้วยเสมอ.
วันหนึ่ง ท่านถือไม้กวาดเดินท่อมๆไปตามลานวัด เห็นพระเรวตะน้องชายพระสารีบุตรนั่งพักกลางวันอยู่ เกิดความไม่พอใจ.
"ท่านเรวตะ ทำไมท่านถึงขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างนี้ อะไรกันกินข้าวชาวบ้านแล้วมานั่งเฉยๆจะจับไม้กวาดไปกวาดที่ไหนสักแห่งไม่ได้เชียวหรือ?"
พระเรวตะเป็นพระอรหันต์ ถูกพระไม้กวาดชี้หน้าด่า ท่านก็ไม่แสดงอาการโกรธเคืองอันใด.
"เราควรจะเตือนเขา" พระเรวตะคิดอยู่ในใจ.
จากนั้นจึงได้กล่าวกับพระไม้กวาดว่า "ผู้มีอายุ สรงน้ำแล้วมาหาผมหน่อยนะ."
"มาทำไม" พระไม้กวาดเสียงแข็ง.
"มาเถอะมีเรื่องจะพูดด้วย"
พระเรวตะอ้อนวอน.
"พูดเดี๋ยวนี้ก็ได้" พระไม้กวาดวางท่า.
"ไปสรงน้ำก่อน แล้วค่อยคุยกัน."
"ก็ได้."
หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว
พระไม้กวาดก็แบกไม้กวาดมาหาพระเรวตะ และทันทีที่มาถึง.
"เอ้ามีอะไรว่าไป ท่านเรวตะ."
"ใจเย็นๆ" พระเรวตะขอร้อง.
"วางไม้กวาด... หาที่นั่งเสียก่อนซิ."
พระไม้กวาดแสดงท่าไม่พอใจ
แต่ก็จำยอมวางไม้กวาด แล้วนั่งลงข้างหน้าพระเรวตะ.
เมื่อพระไม้กวาดนั่งเรียบร้อยแล้ว พระเรวตะจึงได้กล่าวเตือนขึ้นว่า "พระเราไม่ควรจะทำกิจเพียงแค่กวาดวัดเท่านั้น กิจอื่นมีอีกมากมายนัก หน้าที่สำคัญของการบวชในพระพุทธศาสนา คือ การทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป กวาดวัดอย่างเดียวไม่ช่วยให้กิเลสหมดหรอก มิหนำซ้ำจะเป็นการเพิ่มกิเลสเสียด้วยซ้ำ"
พระไม้กวาดมองหน้าพระเรวตะด้วยความสงสัย.
พระเรวตะเข้าใจดี จึงกล่าวต่อไปว่า "การทำความดี แล้วยึดติดในความดี นั่นแหละคือการเพิ่มกิเลส อย่างเช่นท่านกวาดวัด แล้วมีความภาคภูมิใจว่าตัวเองขยัน เห็นคนอื่นเขาไม่ทำอย่างตัว ก็เลยเหมาเอาว่าคนอื่นเขาขี้เกียจ แล้วไปเที่ยวระรานคนอื่นเขา อย่างนี้ถูกหรือ?"
พระไม้กวาดก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบ.
พระเรวตะจึงแนะวิธีให้ "เอาอย่างนี้ซิ ผู้อาวุโส เช้ากวาดเสียครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไปบิณฑบาต ฉันเรียบร้อยแล้วกลับมาที่พัก อย่าทำอย่างอื่น นอกจากสาธยายอาการ 32 แล้วก็เจริญวิปัสสนาไปด้วย ทำไปจนเย็น แล้วค่อยออกไปกวาดใหม่."
พระไม้กวาดน้อมรับคำเตือน
ของพระเรวตะ ปฎิบัติตามไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุธรรม.
เนื่องจากลานวัดมีบริเวณกว้าง กวาดแค่เช้ากับเย็นไม่พอ
สถานที่ต่างๆก็เลยกลับรกขึ้นมาอีก แต่ท่านก็ทำใจได้ เพราะวางเฉยเสีย ถือว่าทำเท่าที่ทำได้.
พระในวัด ก็ชักสงสัยเลยถามท่าน "ท่าน...ที่นี่รกจังเลย ทำไมไม่เห็นค่อยกวาดเล่า."
พระไม้กวาดตอบว่า "เมื่อก่อน
ผมมัวแต่กวาด ที่ข้างนอก ข้างในจึงรก เดี๋ยวนี้ผมกวาดข้างในได้สะอาดแล้ว ข้างนอกจึงรก."