ผมนั่งดูกับลูกสาวอายุ 15 ปี ซึ่งลูกสาวไม่ได้เป็นพวกนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นพวกเสรีนิยมจัด แต่ ดูได้ไม่ถึง 10 นาที ลูกสาวรำคาญจนเลิกดู
จากนั้น นั่งคุยกันซักพัก กลับมาดูใหม่จนจบ เมื่อถามความเห็นลูก พบว่า เค้าไม่โอเคกับหนังเรื่องนี้เลย ดูแล้วรู้สึกเหมือนโดนคนแก่มานั่งตำหนิ นั่งกดเด็กไว้ เหมือนดูถูกเด็กเกือบทั้งเรื่อง
ตามข้อความประชาสัมพันธ์ว่า นี่คือ หนังประวัติศาสตร์ ที่คนทุกคนดูได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมือง นำเสนอเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ แต่ พอดูเข้าจริงๆ มันคือหนังเหยียดคนรุ่นใหม่ ด้อยค่าคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นใหม่นี่แหละน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเพื่อสร้างและปลูกฝังแนวคิดอนุรักษ์นิยม ซึ่ง ก็ไม่ผิดอะไรนะ แต่ เท่าที่ถามเพื่อนๆดู ลูกๆเพื่อนยี้ เลยด้วยซ้ำ ไม่ดู ดูชื่อทีมงานและดาราที่มาให้เสียง เด็กก็ไม่ดูแล้ว
ถ้าจะทำเอาใจตลาดฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทำไมต้องทำเป็นภาพยนต์อนิเมชั่น? หรือ เป้าหมายคือ การทำให้คนอนุรักษ์นิยมดูแล้วฟินกับการได้ตอกย้ำความคิดเดิมๆของตนเอง ใส่ข้อมูลประวัติศาสตร์ในมุมมองฝ่ายอนุรักษ์ ให้คนที่คิดในทิศทางเดียวกันได้รู้เพิ่ม ซึ่งก็เป็นคำถามอีกว่า ทำไมต้องทำเป็นอนิเมชั่น
ด้วยความเคารพ หากเป้าหมายคือการปลูกฝังแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่สวยงาม เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆในอนาคต เพื่อสร้างทิศทางความคิดของเยาวชน ทำไมไม่เขียนบท นำเสนอในรูปแบบ และ หน้าหนัง ที่เข้าถึงเด็กได้ดีกว่านี้? ทำไม ไม่มองเด็ก เป็นคนๆหนึ่ง ที่มีสมอง มีความคิด จะผิดหรือถูก นั่นก็คือความคิด และใช้วิธีสื่อสาร บอกว่าเค้าคิดผิดอย่างไร เพราะอะไร สิ่งที่ถูกคืออะไร อย่างไร ในวิธี ที่เข้าถึงได้มากกว่า
เอาง่ายๆเลย ตัวละคร"ลุงดอน" ที่เป็นบรรณารักษ์ ที่ทำหน้าที่เล่าเรื่อง สามารถนำเสนอด้วยตัวละครที่เข้าถึงเด็กได้มากกว่านี้ เช่น สร้างตัวละครรุ่นพี่ในวัยใกล้กัน แนวคิดคล้ายๆกัน ที่กำลังค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุด นำเสนอว่า สุดท้าย ข้อมูลที่ดีที่สุดคือห้องสมุด และ ค้นพบความจริงอีกด้านที่สวยงามของฝ่ายอนุรักษ์นิยม สามารถเลือกนำเสนอผ่านตัวละครที่เป็นหมู่คณะ เพื่อให้เห็นความหลากหลาย ไม่ใช่ แบบแบับของความสมบูรณ์แบบผ่าน"ลุงดอน"
วิธีเล่าเรื่อง ต้องไม่เล่าด้วยการโต้เถียงของเด็ก ที่ผู้ใหญ่มาเฉลย แต่ควรเล่าเรื่องด้วยการค้นพบความจริงด้วยตัวของเด็กเอง ซึ่ง มีพี่ๆ คอยช่วย อาจกล่าวถึงคนอายุเยอะบ้าง แต่เพียงอ้างถึง
ผมไม่รู้นะครับว่าวัตถุประสงค์ของหนังเรื่องนี้คืออะไร ความบันเทิง ความรู้ ปลูกฝัง ให้น้ำหนักอะไรมากน้อยอย่างไร แต่สิ่งที่หนังพยายามสื่อคือ ความจริงที่สมบูรณ์แบบมีเพียงด้านเดียว และ ต้องเป็นด้านที่ถูกต้องที่สุดด้วย แม้ว่าหลังเครดิทจะเปิดกว้างเชิญชวน แต่ ทั้งเรือ่ง มันคือการด้อยค่า ผ่านบุคลิกภาพของเด็กๆตัวละครหลักทั้งสาม ที่มีทั้งเด็กชายหัวรุนแรงพร้อมบวก เด็กหญิงช่างคิดตั้งคำถามแต่ไม่เคยอ่านเนื้อหาอะไรจบด้วยตัวเอง และ เด็กชายที่อะไร ยังไงก็ได้ ขอแค่ตามเพื่อนมาเฉยๆ เด็กที่สนใจจะดูเรื่องนี้ ถ้าเป็นเด็กที่ชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองอยู่แล้ว ต้องรู้สึกว่ากำลังโดนตำหนิ และ ถ้าเป็นเด็กที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็ต้องถูกจับเป็น"เจ้าเบิ้ม"
สิ่งที่น่าจะดีที่สุดคือ พัฒนาการของตัวละครทั้งสามที่ตอนหลังดูเหมือนจะเปิดรับความคิดและอยากหาหนังสืออ่านมากขึ้น มองประวัติศาสตร์ในมุมมองที่แตกต่างมากขึ้น แต่ ถ้าเรื่องนี้ตบหัวกันตั้งแต่แรกๆ แล้วมาขมวดลูบหลังเอาตอนท้าย สิ่งที่ต้องการจะสื่อ มันจะได้เต็มที่ได้ยังไง? สุดท้าย ก็เข้าข่าย หนังล้างสมองสร้างแนวคิดในมุมมองของเด็กก็เท่านั้นเอง ไม่ต่างกับที่คอยย้ำว่าต้องใส่เครื่องแบบ ตัดผม ยืนตรงเคารพธงชาติ ต้องมีค่านิยมอย่างไร ทำตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนดี
เปรียบเทียบนะครับ ความพยายามนี้เหมือนครูสักคนที่พยายามหาวิธีสอนเด็กที่คิดว่า เด็กจะต้องว้าว เด็กจะชอบและ รับเนื้อหาที่จะสอนได้อย่างแน่นอน ว่าแล้วจัดการแต่งตัว ทำผม ใช้คำพูดแบบเด็ก พยายามเชื่อมโยงสิ่งที่เด็กสนใจมาสอน แต่สุดท้าย ครู ก็คิดในมุมครู ไม่ได้นั่งในหัวเด็กจริงๆว่าเค้ามองหาอะไร ก็จะมีเด็กไม่อิน เด็กต่อต้าน เด็กที่เงียบๆไว้ไม่แสดงออก และ เด็กที่จริงๆก็พร้อมจะอนุรักษ์นิยมที่รู้สึกชื่นชอบ ซึ่ง พอเอาข้อสอบให้ทำ เด็กที่ตอบถูกต้องตามหนังเรื่องนี้ทั้งหมด จะได้คะแนนดีเยี่ยม ซึ่งจะประกอบด้วยเด็กที่อินเพราะเห็นพ้องด้วย เด็กที่ไม่อินแต่รู้ว่าต้องตอบอะไร และ จะมีเด็กที่ ไม่อินจนไม่ได้รับเนื้อหาอะไร ตอบคำตอบไม่ได้ กับเด็กที่ไม่อินและต่อต้านตลอดเวลา
ผู้ใหญ่อยากจะบอกอะไรกับเด็ก ลองมองหาวิธีสื่อสารให้เด็กเปิดรับ ไม่ใช่แค่ เสือ้ผ้าหน้าผม
คุณต้อง เข้าใจเด็กจริงๆก่อน โดยไม่ดูถูกด้อยค่าเค้า คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเด็ก ว่าเค้ามีสมอง มีความคิด และความคิดของเค้า ไม่ได้มีค่าน้อยกว่าความคิดของพวกคุณ
2475 Dawn Of Revolution คิดได้แค่นี้จริงๆน่ะหรือ
จากนั้น นั่งคุยกันซักพัก กลับมาดูใหม่จนจบ เมื่อถามความเห็นลูก พบว่า เค้าไม่โอเคกับหนังเรื่องนี้เลย ดูแล้วรู้สึกเหมือนโดนคนแก่มานั่งตำหนิ นั่งกดเด็กไว้ เหมือนดูถูกเด็กเกือบทั้งเรื่อง
ตามข้อความประชาสัมพันธ์ว่า นี่คือ หนังประวัติศาสตร์ ที่คนทุกคนดูได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมือง นำเสนอเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ แต่ พอดูเข้าจริงๆ มันคือหนังเหยียดคนรุ่นใหม่ ด้อยค่าคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นใหม่นี่แหละน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเพื่อสร้างและปลูกฝังแนวคิดอนุรักษ์นิยม ซึ่ง ก็ไม่ผิดอะไรนะ แต่ เท่าที่ถามเพื่อนๆดู ลูกๆเพื่อนยี้ เลยด้วยซ้ำ ไม่ดู ดูชื่อทีมงานและดาราที่มาให้เสียง เด็กก็ไม่ดูแล้ว
ถ้าจะทำเอาใจตลาดฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทำไมต้องทำเป็นภาพยนต์อนิเมชั่น? หรือ เป้าหมายคือ การทำให้คนอนุรักษ์นิยมดูแล้วฟินกับการได้ตอกย้ำความคิดเดิมๆของตนเอง ใส่ข้อมูลประวัติศาสตร์ในมุมมองฝ่ายอนุรักษ์ ให้คนที่คิดในทิศทางเดียวกันได้รู้เพิ่ม ซึ่งก็เป็นคำถามอีกว่า ทำไมต้องทำเป็นอนิเมชั่น
ด้วยความเคารพ หากเป้าหมายคือการปลูกฝังแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่สวยงาม เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆในอนาคต เพื่อสร้างทิศทางความคิดของเยาวชน ทำไมไม่เขียนบท นำเสนอในรูปแบบ และ หน้าหนัง ที่เข้าถึงเด็กได้ดีกว่านี้? ทำไม ไม่มองเด็ก เป็นคนๆหนึ่ง ที่มีสมอง มีความคิด จะผิดหรือถูก นั่นก็คือความคิด และใช้วิธีสื่อสาร บอกว่าเค้าคิดผิดอย่างไร เพราะอะไร สิ่งที่ถูกคืออะไร อย่างไร ในวิธี ที่เข้าถึงได้มากกว่า
เอาง่ายๆเลย ตัวละคร"ลุงดอน" ที่เป็นบรรณารักษ์ ที่ทำหน้าที่เล่าเรื่อง สามารถนำเสนอด้วยตัวละครที่เข้าถึงเด็กได้มากกว่านี้ เช่น สร้างตัวละครรุ่นพี่ในวัยใกล้กัน แนวคิดคล้ายๆกัน ที่กำลังค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุด นำเสนอว่า สุดท้าย ข้อมูลที่ดีที่สุดคือห้องสมุด และ ค้นพบความจริงอีกด้านที่สวยงามของฝ่ายอนุรักษ์นิยม สามารถเลือกนำเสนอผ่านตัวละครที่เป็นหมู่คณะ เพื่อให้เห็นความหลากหลาย ไม่ใช่ แบบแบับของความสมบูรณ์แบบผ่าน"ลุงดอน"
วิธีเล่าเรื่อง ต้องไม่เล่าด้วยการโต้เถียงของเด็ก ที่ผู้ใหญ่มาเฉลย แต่ควรเล่าเรื่องด้วยการค้นพบความจริงด้วยตัวของเด็กเอง ซึ่ง มีพี่ๆ คอยช่วย อาจกล่าวถึงคนอายุเยอะบ้าง แต่เพียงอ้างถึง
ผมไม่รู้นะครับว่าวัตถุประสงค์ของหนังเรื่องนี้คืออะไร ความบันเทิง ความรู้ ปลูกฝัง ให้น้ำหนักอะไรมากน้อยอย่างไร แต่สิ่งที่หนังพยายามสื่อคือ ความจริงที่สมบูรณ์แบบมีเพียงด้านเดียว และ ต้องเป็นด้านที่ถูกต้องที่สุดด้วย แม้ว่าหลังเครดิทจะเปิดกว้างเชิญชวน แต่ ทั้งเรือ่ง มันคือการด้อยค่า ผ่านบุคลิกภาพของเด็กๆตัวละครหลักทั้งสาม ที่มีทั้งเด็กชายหัวรุนแรงพร้อมบวก เด็กหญิงช่างคิดตั้งคำถามแต่ไม่เคยอ่านเนื้อหาอะไรจบด้วยตัวเอง และ เด็กชายที่อะไร ยังไงก็ได้ ขอแค่ตามเพื่อนมาเฉยๆ เด็กที่สนใจจะดูเรื่องนี้ ถ้าเป็นเด็กที่ชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองอยู่แล้ว ต้องรู้สึกว่ากำลังโดนตำหนิ และ ถ้าเป็นเด็กที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก ก็ต้องถูกจับเป็น"เจ้าเบิ้ม"
สิ่งที่น่าจะดีที่สุดคือ พัฒนาการของตัวละครทั้งสามที่ตอนหลังดูเหมือนจะเปิดรับความคิดและอยากหาหนังสืออ่านมากขึ้น มองประวัติศาสตร์ในมุมมองที่แตกต่างมากขึ้น แต่ ถ้าเรื่องนี้ตบหัวกันตั้งแต่แรกๆ แล้วมาขมวดลูบหลังเอาตอนท้าย สิ่งที่ต้องการจะสื่อ มันจะได้เต็มที่ได้ยังไง? สุดท้าย ก็เข้าข่าย หนังล้างสมองสร้างแนวคิดในมุมมองของเด็กก็เท่านั้นเอง ไม่ต่างกับที่คอยย้ำว่าต้องใส่เครื่องแบบ ตัดผม ยืนตรงเคารพธงชาติ ต้องมีค่านิยมอย่างไร ทำตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนดี
เปรียบเทียบนะครับ ความพยายามนี้เหมือนครูสักคนที่พยายามหาวิธีสอนเด็กที่คิดว่า เด็กจะต้องว้าว เด็กจะชอบและ รับเนื้อหาที่จะสอนได้อย่างแน่นอน ว่าแล้วจัดการแต่งตัว ทำผม ใช้คำพูดแบบเด็ก พยายามเชื่อมโยงสิ่งที่เด็กสนใจมาสอน แต่สุดท้าย ครู ก็คิดในมุมครู ไม่ได้นั่งในหัวเด็กจริงๆว่าเค้ามองหาอะไร ก็จะมีเด็กไม่อิน เด็กต่อต้าน เด็กที่เงียบๆไว้ไม่แสดงออก และ เด็กที่จริงๆก็พร้อมจะอนุรักษ์นิยมที่รู้สึกชื่นชอบ ซึ่ง พอเอาข้อสอบให้ทำ เด็กที่ตอบถูกต้องตามหนังเรื่องนี้ทั้งหมด จะได้คะแนนดีเยี่ยม ซึ่งจะประกอบด้วยเด็กที่อินเพราะเห็นพ้องด้วย เด็กที่ไม่อินแต่รู้ว่าต้องตอบอะไร และ จะมีเด็กที่ ไม่อินจนไม่ได้รับเนื้อหาอะไร ตอบคำตอบไม่ได้ กับเด็กที่ไม่อินและต่อต้านตลอดเวลา
ผู้ใหญ่อยากจะบอกอะไรกับเด็ก ลองมองหาวิธีสื่อสารให้เด็กเปิดรับ ไม่ใช่แค่ เสือ้ผ้าหน้าผม
คุณต้อง เข้าใจเด็กจริงๆก่อน โดยไม่ดูถูกด้อยค่าเค้า คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเด็ก ว่าเค้ามีสมอง มีความคิด และความคิดของเค้า ไม่ได้มีค่าน้อยกว่าความคิดของพวกคุณ