นักเก็งกำไรตายแล้ว? โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เมื่อตลาดหุ้นปิดในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2567 ผมนั่งดูดัชนีตลาดหุ้นไทย  ปริมาณการซื้อขายหุ้นและหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 10 ตัวแรก—ตามปกติ  ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่ามีอะไรบางอย่างที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวหรือไม่ตระหนัก  และผมก็เริ่มที่จะคิดว่านี่คือสถานการณ์ที่  นักลงทุนหรือถ้าจะเรียกว่านักเก็งกำไรน่าจะถูกต้องกว่า  “กำลังหมดหวังและหมดกำลังใจ” กับตลาดหุ้นไทยอย่างรุนแรงและได้แสดงออกผ่านตัวเลขและข้อมูลหลาย ๆ  อย่างดังต่อไปนี้

          แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2567 จะปรับตัวขึ้นแรงประมาณ 1% เป็น 1,386 จุด แต่ปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งวันอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาทเศษ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีตเมื่อซัก 3-4 ปีก่อน ที่ถ้าดัชนีขึ้นแรงขนาดนั้น  ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็มักจะขึ้นไปแตะระดับ  “แสนล้านบาท” เพราะแรงเก็งกำไรที่เข้ามาเล่นหรือซื้อขายหุ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนส่วนบุคคลทั้งรายย่อยและ “รายใหญ่” ที่ซื้อขายหุ้นต่อวันเป็นระดับร้อยหรือหลายร้อยบาทในเวลาเพียง 1 วัน

          แต่ในวันที่ 8 นั้น  ดูเหมือนว่าคนที่เข้าไปซื้อหุ้นส่วนใหญ่คือนักลงทุนต่างชาติที่ในช่วงหลัง ๆ  กลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดหุ้นไทย  ที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นรวมมากกว่า 50% ของตลาด  และในวันที่ 8 นั้น  พวกเขาซื้อหุ้นสุทธิเป็นจำนวนประมาณ 1,600 ล้านบาท  จากที่ในระยะหลัง ๆ  จะเป็นผู้ขายสุทธิเป็นส่วนใหญ่  และทำอย่างนั้นมาเป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว  ดังนั้น  การซื้อสุทธิแค่ 1,600 ล้านบาท  ก็อาจจะส่งผลให้ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปได้ถึง 1%  อย่างง่าย ๆ 

          การที่หุ้นขึ้นไปแรงถึง 1% ในวันเดียวนั้น  ในอดีตในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเต็มไปด้วยนักเก็งกำไรส่วนบุคคลทั้งรายใหญ่และรายย่อย  หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 10 อันดับแรก  ก็มักจะประกอบไปด้วย “หุ้นที่กำลังมีการเก็งกำไรร้อนแรง” ซึ่งก็มักจะเป็นหุ้นที่กำลังมีการ “Corner” โดยเฉพาะจาก “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่เข้าไปเล่นหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น  ทั้งผลประกอบการที่โตดีมากและกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งจากธุรกิจเดิมและการเทคโอเวอร์ “ธุรกิจแห่งอนาคต” หรือการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ “ระดับโลก” ที่จะเปลี่ยนบริษัทกลายเป็น Global หรือ Regional Player คือเป็นบริษัทระดับโลกที่จะมีมูลค่าหรือ Market Cap. ระดับ “แสนล้านบาท”

          เช่นเดียวกัน  หุ้นที่เพิ่งจะ IPO เข้าซื้อขายในวันแรกก็มักจะ “ร้อนแรงเป็นไฟ” ไม่ว่าบริษัทจะทำอะไร  ขอให้เป็นหุ้นที่มี Free Float หรือหุ้นที่กระจายในตลาดหุ้นน้อยและเจ้าของพร้อมที่จะเข้ามาเล่นด้วย  ก็จะมีปริมาณการซื้อขายหุ้นติด 1 ใน 10 อันดับอย่างแน่นอน  เพราะนักเก็งกำไรส่วนบุคคลทั้งรายย่อยและรายใหญ่ต่างก็จะเข้ามาเล่นหุ้นที่ “การันตี” ถึง “ความผันผวนสุดยอด”  ที่จะทำให้ได้เสียกันอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว

          แต่ข้อมูลหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 10 อันดับของวันที่ 8 นั้นก็คือ  หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ Market Cap. ของตลาดหลักทรัพย์แทบทั้งหมด  ไม่มี “หุ้นเล็ก” ที่มี Market Cap. ต่ำกว่าแสนล้านบาทติดอันดับเลย  ในขณะที่ในอดีตที่การเก็งกำไรของตลาดหลักทรัพย์ร้อนแรงมากนั้น  แทบทุกวันจะมีหุ้นตัวเล็กและขนาดกลางที่มีการเก็งกำไรสูงหรือหุ้นที่กำลังถูก Corner ติดอันดับ Top Ten ถึง 4-5 ตัวเป็นประจำ

          ซึ่งก็เป็นการแสดงว่า  นักเก็งกำไรทั้งรายย่อยและรายใหญ่หายไปจากตลาดหุ้น  หรือไม่ก็ได้แต่นั่งดูเป็นส่วนใหญ่  เหตุผลก็อาจจะเป็นว่า  ในระยะหลัง  อาจจะ 2-3 ปีที่ผ่านมา  พวกเขาเข้าไปเล่นเก็งกำไรแล้วก็ขาดทุนเป็นส่วนใหญ่  พอขาดทุนซ้ำ ๆ  ซาก ๆ  ก็หมดหวังและทยอยเลิกเล่น  และสิ่งนี้อาจจะไม่ได้เกิดเฉพาะนักเล่นรายย่อย  แต่เกิดขึ้นกับนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ด้วย  เพราะความเป็นจริงก็คือ  การเล่นหุ้นที่ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้นเลยนั้น  รายใหญ่ก็ต้องพยายาม  “กินรายย่อย”  และเมื่อรายย่อย “ตาย”  รายใหญ่ก็อยู่ยาก

          ดัชนี MAI ซึ่งเป็นระดับราคาของหุ้นตัวเล็กที่เป็นกลุ่มหุ้นที่นักเก็งกำไรชอบเล่นเพราะสามารถทำราคาขึ้นไปได้สูงมากเป็นหลาย ๆ  เท่าได้นั้น  ในวันที่ 8 อยู่ที่ 410 จุด  และถือเป็นจุดที่ต่ำมากและเป็นระดับที่ลดลงมาเรื่อย ๆ  เป็นเวลาอย่างน้อย 3-4 ปีมาแล้ว  ว่าที่จริง  ดัชนี MAI  เมื่อประมาณ 9 ปีมาแล้วนั้นเคยสูงถึงเกือบ 800 จุด  ซึ่งเท่ากับว่าในเวลา 9 ปี  ราคาเฉลี่ยหุ้นขนาดเล็กใน MAI ลดลงมาเกือบ 50% ทั้ง ๆ  ที่เมื่อ 3-4 ปีก่อนหุ้น MAI ก็ยังร้อนแรงมาก  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเมื่อเทียบกับขนาด Market Cap. ของตัวเองก็สูงลิ่ว  อย่างไรก็ตาม  ตอนนี้ดูเหมือนว่านักเก็งกำไรจะ “ถอดใจ”  แล้วกับหุ้น MAI

          หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีขนาดกลางหรือใหญ่ที่ครั้งหนึ่งประมาณ 3-4 ปีมาแล้วเป็น  “หุ้นนางฟ้า” Market Cap. เคยวิ่งขึ้นไปแตะระดับ “แสนล้านบาท” ช่วงนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเหงาหงอยมาก  ราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็ลดลงต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีจนราคา “แทบจะกลับมาที่เดิม”ก่อนที่จะขึ้นแบบติดจรวดในยามที่นักเก็งกำไรอยู่กันเต็มตลาดหุ้น

          หุ้นนางฟ้าแทบทุกตัวทยอยปรับลง 30-50% จากจุดสูงสุดหรือมากกว่านั้น  ทั้ง ๆ ที่บางตัวบริษัทก็ยังมีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแม้ว่ากำไรที่เพิ่มจะลดลงเรื่อย ๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  ค่า PE ที่เคยสูงลิ่วเกิน 40-50 เท่าเพราะคนคิดว่าเป็นหุ้นเติบโตหรือเป็น “ซุปเปอร์ตสต็อก” นั้น  ทยอยปรับตัวลงเรื่อย  ๆ  จนอาจจะเหลือแค่ 15-20 เท่า  เพราะคนเริ่มรู้สึกว่าหุ้นไม่ได้โตเร็วจริงหรือไม่ได้เป็นซุปเปอร์สต็อก  แต่เป็นหุ้นธรรมดาที่บังเอิญโตเร็วในช่วงเวลาหนึ่งก่อนหน้านี้  และตอนนี้เริ่มไม่โตแล้ว  และก็ไม่ได้แข็งแกร่งหรือยิ่งใหญ่อะไรแบบหุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกจริง ๆ

          ดังนั้น  คนก็ทยอยขายหุ้นนางฟ้าจนทำให้เป็นหุ้น “ตกสวรรค์”  และคนที่เข้าไปรับก็รับจน “หมดศรัทธา” และเลิกเล่นหุ้นเหล่านั้น  เพราะบางวันหุ้นก็เด้งขึ้นแรง  แต่แล้วก็ตกกลับลงไปใหม่มากกว่าเดิมทุกครั้ง

          อาการนักเก็งกำไร  “หายไปจากตลาด” นั้น  ไม่ได้เกิดเฉพาะในตลาดหุ้น  เหตุเพราะว่าช่วงนี้  ตราสารหรือเครื่องมือเก็งกำไรที่เคยร้อนรุนแรงเมื่อ 3-4 ปีก่อน  เฉพาะอย่างยิ่งทองคำและบิทคอยน์ซึ่ง “คนทั้งเมือง” โดยเฉพาะที่เป็นคนรุ่นใหม่ต่างก็เข้าไปเก็งกำไร  เพราะคิดว่ามันคือ  “เงินแห่งอนาคต” และราคาบิทคอยน์ขึ้นไปถึงกว่า  2 ล้านบาทต่อหนึ่งบิทคอยน์  ซึ่งก็ตกลงมาถล่มทลายเหลือเพียง 5 แสนกว่าบาทในเวลาไม่นาน  ทำให้นักเก็งกำไรเจ๊งกันเป็นแถวและเลิกพูดถึงบิทคอยน์ไปนาน

          แต่แล้ว  ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา  ราคาบิทคอยน์ก็กลับพุ่งขึ้นมาใหม่อย่างรุนแรงและราคากลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ประมาณ 2.4 ล้านบาทต่อ 1 บิทคอยน์  เช่นเดียวกัน  ทองคำที่คนเลิกพูดถึงไปนานก็มีราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเช่นกันที่ประมาณบาทละ 35,000 บาท ซึ่งถ้าเป็นช่วงหลายปีก่อน  นักเก็งกำไรก็คงจะป่าวร้องเชียร์กันอื้ออึงว่าเป็น  “ยุคใหม่แห่งการลงทุน” ไปแล้ว  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  “ความเงียบ” คนพูดถึงกันน้อยมาก  บางทีอาจจะเป็นเพราะนักเก็งกำไร  “ตายไปแล้ว” ไม่มีใครไปซื้อบิทคอยน์และทองคำก่อนหน้านี้  ไม่มีใครกำไรเป็นเรื่องเป็นราวจากการขึ้นของบิทคอยน์และทองคำงวดนี้  พวกเขาอาจจะ “หมดศรัทธา” ไปก่อนหน้านี้แล้ว

          แน่นอนว่านักเก็งกำไรไม่มีทางที่จะหายไปหมดและในที่สุดก็ต้องกลับมาใหม่โดยเฉพาะเมื่อสภาพแวดล้อมเป็นใจ  ว่าที่จริงช่วงนี้ก็ยังมีหุ้นตัวเล็ก ๆ ที่ “ยั่วเย้า” ให้คนเข้ามาเก็งกำไร  และแน่นอนว่ามีทองคำและบิทคอยน์ที่กำลังร้อนแรงและก็อาจจะเริ่มกระตุ้นให้นักเก็งกำไรกลับมาเล่นใหม่  แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จแคไหน  เพราะบทเรียนที่นักเก็งกำไรได้รับจากตลาดในช่วงที่ผ่านมานั้นค่อนข้างจะรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานจนคน “เข็ด”  และคงต้องใช้เวลาก่อนที่จะฟื้น  หรือไม่อย่างนั้น  ก็ต้องมีนักเก็งกำไรรุ่นใหม่เข้ามาร่วมในกิจกรรมที่ติดอยู่ในตัวของมนุษยชาติตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นี้

https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/398-nivate-has-the-profit-seeker-deceased

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่