1.) Who ? = Possessive Force แรงหวง , กำกับโดย จริยา บุญยอด , ศิริเบญจพรรณ ชุมเรือง
- ความน่าสนใจของตอนนี้ตรงที่ใช้ร้านขายน้ำมาเป็น Plot หลักแล้วยังเรียกแขกด้วยการใส่ Plot ความเป็น Horror ผสมฆาตกรรมเพิ่มความบันเทิงลงไปปรุงปรากฎว่าดันเข้ากันอย่างงง ๆ คือ มันมีกลิ่นอายคล้ายกับเรื่อง เชือดก่อนชิม (2552) ของศาสดาพจน์ โนแลน อยู่แค่ในแง่ของการใช้ของกินเป็นสื่อนำ แน่นอนว่าพอมาเล่นแนวนี้มันต้องมีกลิ่นอายความอยากรู้อยากสงสัยจากตัวละครในการหาตัวว่าใครเป็นฆาตกร ใครจะถูกฆ่าตายก่อนตามลำดับ เป็น Fight บังคับที่มันต้องมีสำหรับแนวนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องนั่งลุ้นให้เสียเวลาว่าใครคือฆาตกรเพราะเอาให้เห็นโต้ง ๆ ไปเลย ที่เหลือไปลุ้นเอาเองว่าใครจะตุยก่อนตุยหลังและฆาตกรจะมีจุดจบอย่างไร ขณะเดียวกันก็มีกิมมิคเล็ก ๆ โผล่มาให้เอะใจเล่น ๆ ทีละนิดอย่างสีของเครื่องดื่มแต่ละอย่างที่เห็นแล้วชวนหิวน้ำขึ้นมาหรือตัวหุ่นลองเสื้อผ้าที่วางโชว์เปล่า ๆ แต่แอบหลอน ๆ คล้ายกับเรื่อง In Fabric (2018) ก็ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้เรื่องมีบรรยากาศลึกลับชวนน่าติดตามขึ้นแล้วยังแฝงนัยยะบางอย่างให้เราไปตีความ ๆ ก่อนที่จะนำพาไปสู่บทสรุปที่บิดเบียวได้ใจอยู่ ถึงแม้จะไม่มีที่มาถึงต้นเหตุว่าทำไปเพื่ออะไร ? ทำแล้วได้อะไร ? แต่ถ้ามองในแง่ของงานศิลป์ถือว่าทำได้ดีและคุ้มค่าต่อความบันเทิง เสียอย่างเดียวเลยจริง ๆ คือดันแสดงกลางแจ้ง ที่จริงต้องแสดงในสถานที่ปิด เพราะการรับชมมันต้องใช้สมาธิในเสพหรือเก็บ Details ทุกอย่าง อย่าให้มีใครหรือมีอะไรมารบกวนเด็ดขาด ไม่งั้นสติหลุดทันทีไม่พอเกิดหงุดหงิดตามมาอีกด้วย โดยเฉพาะไอ้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็นว่าเล่นเนี่ย คือ จะขยันเดินอะไรหนักหนาวะ จะดูน้อง ๆ เขาแสดงกัน
2.) Whom ? = Tag you are it , กำกับโดย ณัฐวดี เทพจันทร์ , พรญาณี โชรัมย์ (นักแสดงนำ)
- ชอบตอนนี้ที่สุด ถึงตัว Plot ไม่ได้แปลกใหม่แต่วิธีการเล่าที่ซื่อตรงในกรอบของบทแต่การจัด Set ฉากที่ออกแบบมาดีเกินไปสร้างความน่ากลัวให้เหมือนหยั่งกะอยู่ในดงเมรุเผาศพยังไงไม่รู้ แถมมีความใส่ใจใน Details ทุกอย่างว่าทำแบบไหนถึงสามารถดึงอารมณ์คนดูออกมาได้ง่ายขึ้น กลับใช้งานมันได้คุ้มและทำให้ผมติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่อาจละสายตาไปได้แม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากจะแสดงในสถานที่ปิดแล้วบรรยากาศภายในห้องที่ถูก Set เป็นห้องนอนเล็ก ๆ เชื่อมติดกับห้องเก็บของโดยมีตู้ล็อคเกอร์จำนวนมากวางเรียงกันเป็นตับล้อมรอบเหมือนเป็นที่ปิดตายเท่านี้ก็ช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศรอบข้างมีมวลสารจากพลังงานบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแฝงอยู่ในความมืดแถมเป็นใจให้ผมที่ยืนดูน้องแสดงต่อหน้ารู้สึกอึดอัดตามไปด้วย ซึ่งทั้งเรื่องมีนักแสดงเล่นกันอยู่ 2 คน ด้วย plot ง่าย ๆ เลยคือ ไอ้น้อง 2 คนดึก ๆ ไม่หลับไม่นอนและไม่รู้จะทำอะไรก็เลยชวนกันเล่นซ่อนหา แรก ๆ ก็เล่นกันสนุกอยู่จนกระทั่งพอคนพี่ถูกคนน้องแกล้งขังในห้องเก็บของอยู่นานพอออกมาได้ก็เลยเอาคืนน้องมันหน่อยแต่รอบนี้แตกต่างออกไปตรงที่คนพี่เริ่มมีอาการแปลก ๆ จนตัวน้องเริ่มสังเกตกับความผิดปกติของตัวพี่ทีละนิดจนผมเชียร์อยู่ลึก ๆ ว่าตัวละครจะเป็นอย่างไร ? จะรอดไปได้หรือไม่ ? พอถึงช่วงท้าย ๆ เหตุการณ์กลับทวีความคลั่งขึ้นจนประสาทเกือบจะกิน มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องพวก Suspiria (2018) หรือ Saint Maud (2019) ระดับมินิลอยเข้ามาในหัว ที่ดีงามจริงคือน้อง 2 คนแสดงดีมาก รับส่งอารมณ์กันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะตอนคนพี่ตะโกนเสียงออกมาผมนี้ผมสะดุ้งในอินเนอร์ของน้องจนขนลุกซู่ไปหมด ส่วนตรรกะของน้อง 2 คนนี้ที่จริงก็มองข้ามไปแล้วแต่อดคิดไม่ได้ว่า ดึก ๆ เอ็ง 2 คนไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง ? นึกอยากจะเล่นอะไรในเวลาแบบนี้ นอนเล่นโทรศัพท์มือถือไถ Facebook คุยกับกิ๊กเล่น ๆ บนเตียงยังมีประโยชน์กว่าอีก
3.) Whose ? = Something is my love กลวิวาห์ , กำกับโดย อริส บาเหะ , เมวดี อุ่นวิมล
- สิ่งแรกที่นึกถึงคือ โทนภาพมันช่างจ้าจนแสบตาซะเหลือเกินแถมฉากในเรื่องที่มี Theme เป็นงานแต่งก็ยิ่งนึกถึงเรื่อง Midsommar (2019) ขึ้นมาไม่ได้ แค่เปลี่ยนจากจัดงานเทศกาลหมู่บ้านมาเป็นงานแต่งระดับในห้อง Ball Room เชิญแขกผู้มีเกียรติที่เป็นเพื่อนสนิท ญาติโกโหติกา กระทั่งมีคนถูกลากมาจากไหนไม่รู้มาร่วมนั่งดื่มน้ำสังข์แล้วชนแก้วเป็นสักขีพยานไปด้วยกันอย่างงง ๆ แล้วที่ประหลาดใจคือคนดูอย่างเราก็พลอยมีส่วนร่วมไปกับเขาด้วย เหมือนเป็นแขกกิตติมศัพท์ที่ถูกเชิญมาโดยที่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวตรงไหน นอกจากเราเหมือนเป็นตัวละครอีกตัวที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วยังทำให้เราใกล้ชิดกับตัวละครที่กำลังแสดงอยู่ในขณะนั้นยิ่งกว่าดูในระบบ 4 มิติ แอบสะดุ้งตอนช่วงที่ตัวละครคนหนึ่งพูดอยู่แล้วหันมาทางผมก็คิดในใจว่า กูทำอะไรผิดหรือเปล่า ? กูจะโดนอะไรมั้ยวะ ? ส่วนปมตอนแรกคิดว่าจะออกมาธรรมดาก็แค่คู่รักกำลังแต่งงานกันแล้วโชว์ VDO Present ว่าใครเป็นใคร มีความสัมพันธ์ยังไง ทำไมถึงแต่งงานกันจนกระทั่งมาถึงจุดพลิกผันเท่านั้นแหล่ะ ผมนี้ตกใจทันที ที่ตกใจไม่ใช่จุดหักมุมอะไรแต่ตกใจน้อง ๆ นักแสดงสมทบ Extra ที่นั่งปะปนมากับคนดูนี่แหล่ะ แต่ละคนปล่อยของออกมาสุดกำลัง แล้วไม่ใช่แค่คนเดียว ค่อย ๆ มีคนแสดง Effects ออกมาทีละคน ๆ อย่างกะโดนน้ำร้อนลวกจนผมรีบหันไปมองดูรอบ ๆ ว่าใครเป็นอะไร ? แล้วหันไปมองคนใกล้ ๆ ด้วยว่าใครจะปล่อยของออกมาอีกบ้าง ยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มดูตอนแรกผมสงสัยน้องบางคนว่าทำไมแต่งตัวสวยและโดดเด่นกว่าคนอื่นจังแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะอยากดู Story มากกว่าแต่ก็ยังแอบดูน้องเป็นระยะ ๆ จนมาถึงตอนสุดท้ายนี่แหล่ะที่ทำเอาผมเผลอสตั๊นท์ในใจขึ้นมาในความเล่นใหญ่รัชดาลัยของน้องนักแสดงที่ใช้งานได้ทุกจุดให้คนดูอย่างผมให้ตกใจทีเผลอได้ เก่งจริง ๆ
- ถึงละครเวทีเรื่องนี้จะมี 3 เรื่องสั้นย่อย ๆ ตามชื่อเรื่องที่เริ่มต้นและจบในตอนแต่จะมีนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่ทำหน้าเป็นผู้บรรยาย เป็นกาวใจแนะนำและพาคนดูนั่งดูและร่วม Joint ไปด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 เรื่องสั้นจะมี Theme ความเป็น Urban Legends แบบไทย ๆ ร่วมสมัยที่ยังคงกลิ่นอายความเป็น Mystery ปน Romance สไตล์หนังตะวันตกเพื่อให้คนดูเข้าถึงง่ายขึ้น ระหว่างจะไปตอนถัดไปจะมีเรื่องสั้นพิเศษคั่นกลางเหมือนเป็น Feel รายการ Reality ยุค 90’s ในสไตล์ Found Footage คล้ายหนังตระกูล V/H/S ซึ่งนำเสนอในเชิงทดลองได้น่าสนใจเอาเรื่องแม้จะยังงง ๆ กับบทที่ไม่มีที่มาที่ไปอยู่ก็ตาม
- สรุปภาพรวมในระยะเวลาเกือบ 1 ชั่วโมงที่ดูไปทั้ง 3 ตอนบวกกับ 1 ตอนมินิเป็นโฆษณาพัก Break สำหรับผมสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก น้องนักแสดงทุกคนเล่นดี ทีมงานทุกคนจัด Location ดี ใช้สอยอย่างคุ้มค่า แค่มี Ideas ดีก็มีชัยเกินกว่าครึ่ง ทีมผู้กำกับและเขียนบทแต่ละตอนเขียนดีเล่าเรื่องสนุกถึงจะมีการหยิบหนังหลายเรื่องมาเป็น Reference บ้างแต่ก็มา Adapt ในฉบับของตนจนมีลายเซ็นที่ชัดเจนจับต้องได้ว่าบทนี้เป็นของกู อีกทั้งได้กุนซือโดยคุณ Pattarasuda Anuman Rajadhon ผู้กำกับละครเวทีชื่อดังจาก ART มาเป็น Producer ในการควบคุมการแสดงหรือทีมงานทุกภาคส่วนให้แก่น้อง ๆ นิสิตชั้นปี 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ทักษิณ ผลิตผลงานออกมาได้สนุกได้อรรถรสในการชมที่ต่างไปอีกแบบและยอดเยี่ยมเกินความคาดหมายที่ควรจะเป็นจนอยากให้เพิ่มเวลาเล่นอีกหน่อย เพราะ เวลาที่ให้มาเท่านี้มันผ่านไปไวซะจริง ๆ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.87 Who Whom Whose (2567) : ใคร ? ใคร ? ของใคร ? By นิสิตชั้นปี 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ทักษิณ , TSU DRAMA
1.) Who ? = Possessive Force แรงหวง , กำกับโดย จริยา บุญยอด , ศิริเบญจพรรณ ชุมเรือง
- ความน่าสนใจของตอนนี้ตรงที่ใช้ร้านขายน้ำมาเป็น Plot หลักแล้วยังเรียกแขกด้วยการใส่ Plot ความเป็น Horror ผสมฆาตกรรมเพิ่มความบันเทิงลงไปปรุงปรากฎว่าดันเข้ากันอย่างงง ๆ คือ มันมีกลิ่นอายคล้ายกับเรื่อง เชือดก่อนชิม (2552) ของศาสดาพจน์ โนแลน อยู่แค่ในแง่ของการใช้ของกินเป็นสื่อนำ แน่นอนว่าพอมาเล่นแนวนี้มันต้องมีกลิ่นอายความอยากรู้อยากสงสัยจากตัวละครในการหาตัวว่าใครเป็นฆาตกร ใครจะถูกฆ่าตายก่อนตามลำดับ เป็น Fight บังคับที่มันต้องมีสำหรับแนวนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องนั่งลุ้นให้เสียเวลาว่าใครคือฆาตกรเพราะเอาให้เห็นโต้ง ๆ ไปเลย ที่เหลือไปลุ้นเอาเองว่าใครจะตุยก่อนตุยหลังและฆาตกรจะมีจุดจบอย่างไร ขณะเดียวกันก็มีกิมมิคเล็ก ๆ โผล่มาให้เอะใจเล่น ๆ ทีละนิดอย่างสีของเครื่องดื่มแต่ละอย่างที่เห็นแล้วชวนหิวน้ำขึ้นมาหรือตัวหุ่นลองเสื้อผ้าที่วางโชว์เปล่า ๆ แต่แอบหลอน ๆ คล้ายกับเรื่อง In Fabric (2018) ก็ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้เรื่องมีบรรยากาศลึกลับชวนน่าติดตามขึ้นแล้วยังแฝงนัยยะบางอย่างให้เราไปตีความ ๆ ก่อนที่จะนำพาไปสู่บทสรุปที่บิดเบียวได้ใจอยู่ ถึงแม้จะไม่มีที่มาถึงต้นเหตุว่าทำไปเพื่ออะไร ? ทำแล้วได้อะไร ? แต่ถ้ามองในแง่ของงานศิลป์ถือว่าทำได้ดีและคุ้มค่าต่อความบันเทิง เสียอย่างเดียวเลยจริง ๆ คือดันแสดงกลางแจ้ง ที่จริงต้องแสดงในสถานที่ปิด เพราะการรับชมมันต้องใช้สมาธิในเสพหรือเก็บ Details ทุกอย่าง อย่าให้มีใครหรือมีอะไรมารบกวนเด็ดขาด ไม่งั้นสติหลุดทันทีไม่พอเกิดหงุดหงิดตามมาอีกด้วย โดยเฉพาะไอ้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็นว่าเล่นเนี่ย คือ จะขยันเดินอะไรหนักหนาวะ จะดูน้อง ๆ เขาแสดงกัน
2.) Whom ? = Tag you are it , กำกับโดย ณัฐวดี เทพจันทร์ , พรญาณี โชรัมย์ (นักแสดงนำ)
- ชอบตอนนี้ที่สุด ถึงตัว Plot ไม่ได้แปลกใหม่แต่วิธีการเล่าที่ซื่อตรงในกรอบของบทแต่การจัด Set ฉากที่ออกแบบมาดีเกินไปสร้างความน่ากลัวให้เหมือนหยั่งกะอยู่ในดงเมรุเผาศพยังไงไม่รู้ แถมมีความใส่ใจใน Details ทุกอย่างว่าทำแบบไหนถึงสามารถดึงอารมณ์คนดูออกมาได้ง่ายขึ้น กลับใช้งานมันได้คุ้มและทำให้ผมติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่อาจละสายตาไปได้แม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากจะแสดงในสถานที่ปิดแล้วบรรยากาศภายในห้องที่ถูก Set เป็นห้องนอนเล็ก ๆ เชื่อมติดกับห้องเก็บของโดยมีตู้ล็อคเกอร์จำนวนมากวางเรียงกันเป็นตับล้อมรอบเหมือนเป็นที่ปิดตายเท่านี้ก็ช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศรอบข้างมีมวลสารจากพลังงานบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแฝงอยู่ในความมืดแถมเป็นใจให้ผมที่ยืนดูน้องแสดงต่อหน้ารู้สึกอึดอัดตามไปด้วย ซึ่งทั้งเรื่องมีนักแสดงเล่นกันอยู่ 2 คน ด้วย plot ง่าย ๆ เลยคือ ไอ้น้อง 2 คนดึก ๆ ไม่หลับไม่นอนและไม่รู้จะทำอะไรก็เลยชวนกันเล่นซ่อนหา แรก ๆ ก็เล่นกันสนุกอยู่จนกระทั่งพอคนพี่ถูกคนน้องแกล้งขังในห้องเก็บของอยู่นานพอออกมาได้ก็เลยเอาคืนน้องมันหน่อยแต่รอบนี้แตกต่างออกไปตรงที่คนพี่เริ่มมีอาการแปลก ๆ จนตัวน้องเริ่มสังเกตกับความผิดปกติของตัวพี่ทีละนิดจนผมเชียร์อยู่ลึก ๆ ว่าตัวละครจะเป็นอย่างไร ? จะรอดไปได้หรือไม่ ? พอถึงช่วงท้าย ๆ เหตุการณ์กลับทวีความคลั่งขึ้นจนประสาทเกือบจะกิน มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องพวก Suspiria (2018) หรือ Saint Maud (2019) ระดับมินิลอยเข้ามาในหัว ที่ดีงามจริงคือน้อง 2 คนแสดงดีมาก รับส่งอารมณ์กันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะตอนคนพี่ตะโกนเสียงออกมาผมนี้ผมสะดุ้งในอินเนอร์ของน้องจนขนลุกซู่ไปหมด ส่วนตรรกะของน้อง 2 คนนี้ที่จริงก็มองข้ามไปแล้วแต่อดคิดไม่ได้ว่า ดึก ๆ เอ็ง 2 คนไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง ? นึกอยากจะเล่นอะไรในเวลาแบบนี้ นอนเล่นโทรศัพท์มือถือไถ Facebook คุยกับกิ๊กเล่น ๆ บนเตียงยังมีประโยชน์กว่าอีก
3.) Whose ? = Something is my love กลวิวาห์ , กำกับโดย อริส บาเหะ , เมวดี อุ่นวิมล
- สิ่งแรกที่นึกถึงคือ โทนภาพมันช่างจ้าจนแสบตาซะเหลือเกินแถมฉากในเรื่องที่มี Theme เป็นงานแต่งก็ยิ่งนึกถึงเรื่อง Midsommar (2019) ขึ้นมาไม่ได้ แค่เปลี่ยนจากจัดงานเทศกาลหมู่บ้านมาเป็นงานแต่งระดับในห้อง Ball Room เชิญแขกผู้มีเกียรติที่เป็นเพื่อนสนิท ญาติโกโหติกา กระทั่งมีคนถูกลากมาจากไหนไม่รู้มาร่วมนั่งดื่มน้ำสังข์แล้วชนแก้วเป็นสักขีพยานไปด้วยกันอย่างงง ๆ แล้วที่ประหลาดใจคือคนดูอย่างเราก็พลอยมีส่วนร่วมไปกับเขาด้วย เหมือนเป็นแขกกิตติมศัพท์ที่ถูกเชิญมาโดยที่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวตรงไหน นอกจากเราเหมือนเป็นตัวละครอีกตัวที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วยังทำให้เราใกล้ชิดกับตัวละครที่กำลังแสดงอยู่ในขณะนั้นยิ่งกว่าดูในระบบ 4 มิติ แอบสะดุ้งตอนช่วงที่ตัวละครคนหนึ่งพูดอยู่แล้วหันมาทางผมก็คิดในใจว่า กูทำอะไรผิดหรือเปล่า ? กูจะโดนอะไรมั้ยวะ ? ส่วนปมตอนแรกคิดว่าจะออกมาธรรมดาก็แค่คู่รักกำลังแต่งงานกันแล้วโชว์ VDO Present ว่าใครเป็นใคร มีความสัมพันธ์ยังไง ทำไมถึงแต่งงานกันจนกระทั่งมาถึงจุดพลิกผันเท่านั้นแหล่ะ ผมนี้ตกใจทันที ที่ตกใจไม่ใช่จุดหักมุมอะไรแต่ตกใจน้อง ๆ นักแสดงสมทบ Extra ที่นั่งปะปนมากับคนดูนี่แหล่ะ แต่ละคนปล่อยของออกมาสุดกำลัง แล้วไม่ใช่แค่คนเดียว ค่อย ๆ มีคนแสดง Effects ออกมาทีละคน ๆ อย่างกะโดนน้ำร้อนลวกจนผมรีบหันไปมองดูรอบ ๆ ว่าใครเป็นอะไร ? แล้วหันไปมองคนใกล้ ๆ ด้วยว่าใครจะปล่อยของออกมาอีกบ้าง ยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มดูตอนแรกผมสงสัยน้องบางคนว่าทำไมแต่งตัวสวยและโดดเด่นกว่าคนอื่นจังแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะอยากดู Story มากกว่าแต่ก็ยังแอบดูน้องเป็นระยะ ๆ จนมาถึงตอนสุดท้ายนี่แหล่ะที่ทำเอาผมเผลอสตั๊นท์ในใจขึ้นมาในความเล่นใหญ่รัชดาลัยของน้องนักแสดงที่ใช้งานได้ทุกจุดให้คนดูอย่างผมให้ตกใจทีเผลอได้ เก่งจริง ๆ
- ถึงละครเวทีเรื่องนี้จะมี 3 เรื่องสั้นย่อย ๆ ตามชื่อเรื่องที่เริ่มต้นและจบในตอนแต่จะมีนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่ทำหน้าเป็นผู้บรรยาย เป็นกาวใจแนะนำและพาคนดูนั่งดูและร่วม Joint ไปด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 เรื่องสั้นจะมี Theme ความเป็น Urban Legends แบบไทย ๆ ร่วมสมัยที่ยังคงกลิ่นอายความเป็น Mystery ปน Romance สไตล์หนังตะวันตกเพื่อให้คนดูเข้าถึงง่ายขึ้น ระหว่างจะไปตอนถัดไปจะมีเรื่องสั้นพิเศษคั่นกลางเหมือนเป็น Feel รายการ Reality ยุค 90’s ในสไตล์ Found Footage คล้ายหนังตระกูล V/H/S ซึ่งนำเสนอในเชิงทดลองได้น่าสนใจเอาเรื่องแม้จะยังงง ๆ กับบทที่ไม่มีที่มาที่ไปอยู่ก็ตาม
- สรุปภาพรวมในระยะเวลาเกือบ 1 ชั่วโมงที่ดูไปทั้ง 3 ตอนบวกกับ 1 ตอนมินิเป็นโฆษณาพัก Break สำหรับผมสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึก น้องนักแสดงทุกคนเล่นดี ทีมงานทุกคนจัด Location ดี ใช้สอยอย่างคุ้มค่า แค่มี Ideas ดีก็มีชัยเกินกว่าครึ่ง ทีมผู้กำกับและเขียนบทแต่ละตอนเขียนดีเล่าเรื่องสนุกถึงจะมีการหยิบหนังหลายเรื่องมาเป็น Reference บ้างแต่ก็มา Adapt ในฉบับของตนจนมีลายเซ็นที่ชัดเจนจับต้องได้ว่าบทนี้เป็นของกู อีกทั้งได้กุนซือโดยคุณ Pattarasuda Anuman Rajadhon ผู้กำกับละครเวทีชื่อดังจาก ART มาเป็น Producer ในการควบคุมการแสดงหรือทีมงานทุกภาคส่วนให้แก่น้อง ๆ นิสิตชั้นปี 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ทักษิณ ผลิตผลงานออกมาได้สนุกได้อรรถรสในการชมที่ต่างไปอีกแบบและยอดเยี่ยมเกินความคาดหมายที่ควรจะเป็นจนอยากให้เพิ่มเวลาเล่นอีกหน่อย เพราะ เวลาที่ให้มาเท่านี้มันผ่านไปไวซะจริง ๆ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้