ทุกคนเคยรู้สึกกว่างเปล่ากันไหมคะ?

คือเราก้อไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนก่อนดี อันดับแรกเลยปกติแล้วเราเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองค่ะเพราะด้วยแม่เราค่อนข้างหัวโบราณสมัยเด็กๆแม่เราเลยชอบพูดเปรียบเทียบเรากับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ คือเราก้อเข้าใจค่ะว่าแกอยากให้เรามองตัวอย่างดีๆแต่แค่ไม่รู้จะสอนหรือจะสื่อสารยังไงเลยกลายเป็นเปรียบเทียบไป และเพราะด้วยความที่เรายังเด็กเราเลยไม่มั่นใจในการเป็นตัวเองค่ะ แบบนั้นช่วงที่เราเรียนประถมจนถึงมัธยมต้นเราเรียนด้วยความรู้สึกลึกๆข้างในปนความสงสัยค่ะว่าที่เราตื่นมาแปดวิชาทุก5วัน จันทร์-ศุกร์ เราเรียนไปเพื่ออะไร เราไม่มีเป้าหมายและแรงผลักดันอะไรเลยค่ะ มันทำให้เราเรียนอะไรก้อไม่เข้าใจ มีการบ้านอะไรเราก้อไม่มีใจอยากจะทำ เราเลยมีผลการเรียนในระดับกลางๆมาตลอด ติด ร.บ้าง1-2 วิชา จนวันนึงตอนม.3ทางโรงเรียนได้เชิญคณะอาจารย์จากสถาบันต่างๆเพื่อมาแนะแนวช่องทางในการเรียนต่อ และเราก้อได้รู้สึกสนใจสาขาวิชานึงมากๆ และทำให้เราได้ตัดสินใจที่จะเข้าสถาบันนั้น ซึ่งก่อนจะถึงวันแนะแนวเราได้ลองถามแม่ดูแล้วว่าแม่อยากให้เราเรียนต่ออะไร แม่เราบอกว่าแล้วแต่เราตัดสินใจขอแค่เราเรียนต่อ จากนั้นเราเลยได้บอกแม่ว่าเราอยากเรียนสถาบันนี้สาขานี้ แต่..แม่ไม่อนุญาติให้เราเรียนค่ะและแม่เราได้ส่งเราไปเรียนนายร้อยทั้งที่เราไม่อยากเรียนแต่ขัดแม่ไม่ได้ ตอนนั้นเรารู้สึกผิดหวังมากๆเลนค่ะที่ผลสุดท้ายแล้วก้อไม่ได้เป็นอย่างที่คุยกันไว้เราเรียนนายร้อยได้แค่ 4เดือน และก้อดรอปมาอยู่บ้านค่ะ แล้วอยู่ๆแม่ก้อพาเราไปหาหมอดูแล้วถามหมอดูว่าหนักใจกับเราไม่รู้จะให้เราเรียนต่ออะไรดี หมอดูเลยย้อนถามแม่ไปว่า แล้วไม่ถามลูกล่ะว่าลูกอยากเรียนอะไรมาถามหมอทำไม แม่ก้อเล่าให้หมอดูฟังว่าเราอยากเรียนสถาบันนี้สาขานี้ ไม่อยากให้เราเรียน หมอก้อเลยบอกว่าก้อให้เรียนไปสิไม่เห็นจะมีอะไรนิ เด็กมันอยากเรียนอะไรก้อให้มันเรียนตามใจ ตอนนั้นเราได้ฟังเราก้อน้ำคลอพร้อมกับมีคำถามนึงจุกอยู่ในใจว่าลุงเขาเป็นหมอดูทั้งทีเพิ่งเจอกันแท้ๆแต่ทำไมลุงเขาถึงเข้าใจเรามากกว่าแม่เราอีก และเพราะแบบนั้นเราถึงได้เข้าเรียนในสาขาที่เราอยากเรียนค่ะ กลายเป็นว่าจากเด็กที่มีเกรดกลางๆไม่ถึง2.5 กลายเป็นคนที่ได้อันดับ1ของห้องเกรด3.7-3.8 เด็กที่ไม่มั่นใจในตัวเองก้อได้กลายคณะกรรมการโรงเรียนได้จับไมค์พูดหน้าหอประชุมได้ไปแข่งไปออกบูธต่างๆของสถาบัน ถึงในตอนแรกที่เราบอกแม่ว่าเราได้ที่หนึ่งของห้อง แต่แม่กลับตอบมาว่า ที่เราได้ที่หนึ่งไม่ใช่เพราะเราเก่งแต่เพราะคนอื่นเรียนมาในโรงเรียนที่ด้อยกว่าเรา ตอนนั้นเราก้อแอบเสียใจเล็กๆค่ะ แต่เราก้อไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะเราภูมิใจในตัวเองแบบสุดๆเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้ขนาดนี้...จนชีวิตเราก้อมาเจอจุดพลิกผันแบบดิ่งลงเหวตอนนั้นเป็นตอนที่เราอยู่ปีสุดท้ายค่ะ เราตั้งท้องกับแฟนเราในตอนนั้น เราก้อบอกแฟนเราและก้อบอกกับทางครูที่ปรึกษา และบอกแม่ค่ะ ตอนนั้นครูที่ปรึกษาพาเราไปบอกแม่โดยที่ครูก้อคอยนั่งข้างอยู่ข้างๆค่ะวันนั้นมันเหมือนจะผ่านไปได้ เพราะครูก้อคอยปรับความเข้าใจกับแม่เรา แต่มันก้อผ่านไปโดยที่เรากับแม่ไม่ได้เข้าใจกันเลยค่ะ จากนั้นเราก้ออุ้มท้องไปเรียนตลอดเพราะทางสถาบันก้อไม่ได้กีดกั้นแต่ให้เราตัดสินใจว่าเราจะยังเรียนต่อหรือจะลาออกซึ่งเราก้อตัดสินใจเรียนต่อค่ะ เราอยู่บ้านแม่จนถึงวันผูกข้อไม้ข้อมือจากนั้นแม่ก้อให้เราออกจากบ้านไปอยู่หอกับแฟนและเราก้ออุ้มท้องไปเรียนตอนครูพาไปฝากครรภ์เรายังใส่ชุดนักศึกษาไปฝากครภ์เลยค่ะ ถ้าถามว่าเราอายไหมอะไรไหม ตอนสายตาคนอื่นมองมาเราก้อรู้สึกเกร็งๆค่ะ แต่เราก้อไม่ได้ถึงกับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร เราคิดว่าเราท้องค่ะ เราเป็นผู้หญิงการที่เราท้องมันเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติเพียงแค่ว่าเราท้องในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะแค่นั้น แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่เครียดไม่คิดอะไรเลยนะคะ ตอนอยู่คนเดียวเรามักจะร้องไห้และโทษตัวเองค่ะ เราโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพราะทั้งที่อยากเรียนขนาดนั้นตั้งใจเรียนมาขนาดนั้นและทั้งที่ชีวิตกำลังไปได้ดีขนาดนั้นแต่ตัวเรากลับพังทุกอย่างนั้นด้วยมือของตัวเอง และเพราะแบบนั้นในเมื่อเราทำให้เกิดขึ้นแล้วเราก้อต้องใช้ชีวิตโดยยอมรับผลการกระทำของตัวเองในเมื่อเราทำเองเราจะอายเพื่ออะไร เราจึงใช้ชีวิตตามปกติค่ะไปเรียนทุกวันในขณะที่ท้องค่อยๆใหญ่ขึ้นจนเราเรียนจบการศึกษามาได้ประมาณเดือนเศษๆเราก้อคลอดค่ะ เราก้อดูแลเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กมาตลอดโดยมีป้าเราค่อยช่วยดูช่วยแนะนำ จนลูกเราอายุได้8-9เดือนแม่เราก้ให้เรากลับบ้านไปช่วยแกขายของค่ะ เราก้อช่วยแกแกงขายไปดูแลลูกไปโดยที่แม่เราเขาจะให้ค่าแรงที่เราช่วยแกวันละ300เพื่อที่เราจะได้ซื้อนมซื้อแพมเพิสค่ะ แต่มันก้อไม่พอค่ะเพราะเขาเป็นเด็กที่กินนมเก่งมากๆ ถึงเราจะบดข้าวให้หัดทานและเขาก้อทานหมดตลอดแต่กลางคืนก้อยังกินนมเก่ง เราเลยเรียนบริบาลเพิ่มค่ะเพื่อที่จะได้มีงานทำที่มันมั่นคง จากนั้นเราก้อได้ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ศูนย์พักฟื้นค่ะซึ่งเป็นศูนย์ที่มีไว้พักฟื้นคนไข้ที่มีอาการทางระบบสาทและสมองส่วนใหญ่ก้อเป็นผู้สูงอายุค่ะ ซึ่งการที่เราจะเข้าไปทำงานเราต้องพักในหอพักที่ทางศูนย์จัดไว้ให้พนักงานเท่านั้นค่ะ เนื่องจากสถานการณ์โควิดเราและพนักงานทุกคนจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกตึกค่ะ เราก้อทำงานส่งเงินให้ลูกอยู่ตลอดและเป็นช่วงทะเลาะกับพ่อของน้องบ่อยมากค่ะ แล้ววันนั้นเป็นวันที่ความเป็นตัวเรามันพังทลายลงมาโดยที่เราไม่รู้ตัว วันนั้นป้าเราโทรมาบอกว่านมจะแล้วซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้สิ้นเดือนค่ะเงินเดือนเราหมดเราจึงโทรไปหาพ่อน้องแล้วถามเขาว่าที่เขามีเงินไหมซื้อนมให้ลูกหน่อยแล้วเขาก้อด่าเราค่ะว่าเราเอาเงินไปใช้อะไรหมดที่เขาเหลืออยู่300แล้วเขาจะเอาอะไรกิน ซึ่งตอนนั้นเรากำลังอยู่ในช่วงทดลองงาน4เดือนค่ะ เงินเดือนเรา12,000-13,000 เงินเดือนออกเราก้อโอนให้ป้า5,000 โอนเก็บให้ลูก3,000 แล้วก้อสั่งนมสั่งแพมเพิสไปให้ต่างหาก หมดแล้วค่ะเงินเดือนที่เพิ่งออก ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้เราออกเองคนเดียวค่ะไม่เคยขอให้พ่อน้องออกให้เลย และพ่อน้องก้อไม่เคยออกช่วยค่ะ เราเลยตัดสินใจเลิกกับพ่อของน้องค่ะ จากนั้นเราก้อทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนไม่ค่อยได้มีเวลาโทรหาลูก เพราะที่ศูนย์ต้องดูแลคนไข้ทั้งกลางวันแล้วก้อกลางคืนถึงจะมีการเปลี่ยนเวรขึ้นกะ แต่บางวันเราก้อขึ้นทั้งสองกะ เลิกงานมาเราก้อกินข้าวอาบน้ำนอนค่ะ บางวันไม่กินข้าวแล้วอาบน้ำนอน บางวันก้อเหนื่อยจนนอนทั้งชุดทำงานไม่อาบน้ำเลยก้อมีค่ะ หลายเดือนเข้าเงินเดือนก็สูงขึ้นเราก้อยังคงส่งเงิน แต่เริ่มน้อยลงจากที่เคยเราเริ่มสั่งของจิปาถะมาสนองความสุขของตัวเองนานวันเข้าเราก้อเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่? ทำไมเราถึงมาอยู่นี่? ทำไมถึงต้องมาเหนื่อยขนาดนี้? ด้วยความที่เป็นศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยทางสมอง เลยมีคนไข้ทั้งอัลไซเมอร์ ทั้งซึมเศร้า และบางคนก้อมีอารมณ์ฉุนเฉียว และเราก็อยู่แบบนี้มาตลอดหลายเดือนและหลายๆสิ่งที่ต้องเจอในทุกวัน มันทำให้เรารู้สึกว่า เรามาทำอะไรทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ แรกๆก้อท่องตลอดว่าเพื่อลูกนะ เพื่อลูกนะ และแล้วมันก้อมีบางอย่างเกิดขึ้นในความรู้สึกส่วนลึกในใจค่ะ เรารู้ว่าเราต้องทำลูกค่ะ รู้ว่าเพื่อลูก..แต่มันไม่ใช่..มันว่างเปล่าค่ะ..ในความรู้สึกที่ลึกลงไปเวลาที่พยายามจะทำอะไรมันจะรู้สึกว่างเปล่าเหมือนไม่รู้ว่าทำไปทำไม พอจะพยายามจะทำอะไรมะนก้อรู้สึกเหมือนพยายามฝืนใจกินอะไรสักอย่างที่ไม่อยากกิน ต่อให้อยากอ้วกมันออกมาแค่ไหนก้อต้องฝืนกินมันลงไปทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมเราต้องฝืนกิน มันรู้สึกว่างเปล่าและมันก้อขยายวงมากขึ้น และความไม่เข้าใจก้อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ทำเพื่ออะไรไม่เข้าใจ เหนื่อยเพื่ออะไรไม่เข้าใจ ความสัมพันธ์แม่ลูกคืออะไรไม่เข้าใจ ความสุขคืออะไรไม่เข้าใจ และตอนนี้เราไม่รู้สึกอะไรเลยสักอย่างค่ะ มันว่างเปล่าไปหมด แม้แต่เราดิ้นรนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรตอนนี้เราก้อไม่เข้าใจแล้วค่ะ และยิ่งเราออกจากงานมาด้วยแล้วถึงความอึดอัดจะหายไปบ้างแต่ความรู้สึกว่างเปล่ามันยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ตอนนี้แม้มีเวลาเหลือเฟือแต่เรากลับไม่รู้สึกอยากโทรหาลูกเลย เราไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ทำไมมันถึงได้รู้สึกว่างเปล่าไปหมด เราอยากเจอลูกเราอยากไปหาลูก แต่พอเราคิดแบบนั้นความรู้สึกว่างเปล่ามันก้อวิ่งเข้าทำให้หมดแรงใจจะหาลูก (ตอนนี้เราอยู่บ้านของพ่อแม่แฟนคนปัจจุบันค่ะ) เราอยากบอกสิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้ให้ทางบ้านเราฟังแต่เรากลัวเขาไม่เข้าใจ อยากบอกแฟนเราแต่ก้อกลัวเขาหาว่าเราบ้า เราไม่อยากเป็นแบบนี้ เราทรมานมากร้องไห้ตลอดเพราะไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดกับเรา ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ เราไม่อยากเป็นแบบนี้เลย
ใครเคยเจอปัญหาคล้ายๆกันช่วยเราหน่อยค่ะ เราไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาชีวิต สุขภาพจิต โรคซึมเศร้า
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่