▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
Backpack
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
เที่ยวยุโรป
ประเทศตุรกี
เที่ยวตุรกี ตอนที่ 2 "อิซมีร์"
มาพบกันในตอนที่ 2 เที่ยวอิซมีร์ดินแดนโบราณที่แสนจะโรแมนติก หลังจากตอนที่ 1 เที่ยวอิสตันบูลมาแล้วใครที่อยากจะอ่านตอนที่แรกตามลิงค์นี้ไปเลยนะครับ https://ppantip.com/topic/42533754
โปรแกรมการเที่ยวของเรานั้นจะเที่ยวอิซมีร์ 2 วัน คือวันที่ 8 และ 9 ตุลาคม 2565
เช้ามืดของวันที่ 8 เราต้องเดินทางจากอิสตันบูลไปสนามบินเราเลือกใช้บริการของ Havaist Bus เที่ยวแรกเลยคือ 06.00 เราออกจากที่พัก 05.00 ซึ่งตอนที่ออกมานั้นรถรางยังไม่วิ่งเราก็เดินกันสักพักเพื่อหาแท็กซี่ก็มาลงที่สถานี Aksaray เพื่อรอขึ้นรถบัสไปสนามบินระยะทางจากที่พักไม่ไกลมาก เราก็มารอขึ้นรถบัส ป้ายที่ขึ้นก็โล่งๆแบบนี้เลยครับ
ไปถึงสนามบินตามเวลาที่เราวางแผนไว้ เรานั่งเครื่องจากอิสตันบูล(Istanbul Airport)ในวันที่ 8 ตุลาคม เวลา 09:00 ถึงสนามบิน Adnan Menderes Airport D เวลา 10:10 ราคาค่าตั๋วเที่ยวเดียวคนละ 1,195 บาท สองคนรวมกันก็ 2,390 บาท เป็นราคาที่ดีมากสำหรับเรา พอลงเครื่องมาสิ่งแรกที่เราทำคือดูเส้นทางไปที่พักซึ่งอยู่ที่เซสเม่ซึ่งห่างออกไปจากสนามบินอัดนัน 95 กิโลมเมตร การเดินทางไปเชสเม่มีทั้งรถเมล์และรถไฟแต่ใช้เวลาการเดินทางกว่า 4 ชั่วโมง เราจึงตัดสินใจที่จะเช่ารถขับเพราะจะสะดวกในการเดินทางและการเที่ยวด้วย ปัญหาคือเราไม่มีใบขับขี่สากลถาวรแต่ผมติดเอาใบขับขี่ชั่วคราวมาด้วยแต่หมดอายุไปแล้ว ก็ได้แต่ลุ้นว่าจะสามารถเช่ารถได้หรือไม่(ไม่ควรทำอย่างยิ่งแต่ตอนนั้นไม่มีทางเลือกแล้ว) ผมก็ลองเข้าไปขอเช่ารถซึ่งมีอยู่ประมาณ 5-6 บริษัทก็มีเยอะพอสมควรเคาท์เตอร์จะอยู่ชั้นล่างของสนามบินเลยครับ ก็เข้าไปถาม3บริษัทแรกไม่ให้เช่าเลยคิดว่าจะลองดูอีกสักบริษัท สรุปก็ได้เช่ารถกับ Duray Rent A Car ในราคาที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยมากคือวันละประมาณ 700 บาท เป็นรถขนาดเล็กที่ดูดีมากๆพวงมาลัยซ้ายก็ต้องปรับตัวอยู่พักหนึ่ง
-ขับรถออกมาได้พักเดียวก็มีเหตุการณ์อุบัติเหตุเล็กๆน้อยก่อนที่จะได้เที่ยวคือ "ยางรั่ว" พอเราขับออกมาจากสนามบินก็จะต้องเติมน้ำมันเพราะเราจะเดินทางไปไกลพอสมควร ในขณะที่เราจอดเติมน้ำมันอยู่นั้นก็มีพนักงานเติมน้ำมันก็เดินมาพูดกับเราเป็นภาาษาตุรกีคือฟังไม่ออก พยายามจะสื่อสารด้วยแต่ก็ไม่รู้เลยสรุปใช้ภาษากายคุยกัน เขาเดินมาชี้ที่ล้อรถเราก็เลยลงไปดูจึงรู้ว่ายางรั่ว เราก็เลื่อนรถไปจอดด้านข้างเพื่อจะติดต่อกับบริษัทที่เราเช่ารถซึ่งเรามีเอกสารอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่โทรศัพท์เราไม่สามารถใช้โทรได้ พนักงานเติมน้ำมันจึงอาสาช่วยโทรให้ เราก็รู้สึกขอบคุณมากและคนตุรกีก็มีน้ำใจมากๆ ขณะที่รอเขาก็ชวนให้ไปนั่งในร้านมินิมาร์ท รอสัก 20 นาทีทางบริษัทก็เอารถมาเปลี่ยนให้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าเราเติมน้ำมันใส่รถคันแรกเต็มถังไปแล้ว เราอยากจะให้เขาช่วยเติมใส่คันใหม่ให้ได้ไหมเก็พยายามสื่อสารกับคนที่เอารถมาเปลี่ยนแต่ไม่ค่อยเข้าใจกัน พนักงานเติมน้ำมันคงเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามจะสื่อจึงช่วยพูดกับคนที่เอารถมาเปลี่ยนให้ สุดท้ายพนักงานเลยเติมน้ำมันใส่รถคนใหม่ให้เราในปริมาณเดียวกันกับที่เราเติมไปแล้ว รู้สึกขอบคุณมากๆ ก่อนออกจากปั้มเราซื้อขนมและของกินแบ่งให้พนักงานคนนั้นเป็นน้ำใจเล็กน้อยเขาก็รับไว้และยิ้มขอบคุณเรา คนที่ช่วยเราก็คนในรูปนี้เลยครับ
หลังจากเสร็จสิ้นเราก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ "เชสเม่" บอกเลยว่าใครมาเที่ยวอิชมีร์ไม่ไปเชสเม่ถือว่าพลาดมาก เพราะเป็นที่ที่เราสองคนชอบมากๆ เซสเม่เป็นเมืองเล็กๆริมทะเลที่น่ารักและโรแมนติกมาก มีที่เที่ยวสำคัญคือ ปราสาทเซสเม่ (Cesme Castle) เราขับรถไปกว่าจะถึงที่พักก็เล่นเอาเหนื่อยเพราะระยะทางไกลพอสมควรจากสนามบิน และทางเข้าที่พักของเราค่อนข้างแคบและทางชันพอสมควร แต่แล้วก็ถึงจนได้ที่พักของเราคือ Yalcin Hotel เราจะพักที่นี่ 2 คืน คือวันที่ 8 - 9 ตุลาคม และเช็คเอาท์ในวันที่ 10 ตุลาคม ค่าที่พักทั้ง 2 คืนรวม 1,529 บาท ตกคืนละ 765 บาท ที่พักเราน่ารักมากเจ้าของใจดีมากพูดคุยภาษาอังกฤษดีมากอัธยาศัยดี เราได้ที่พักชั้นบนสุดเมื่อเราเข้าห้องเอาของเก็บก็เดินออกมาที่ระเบียงห้องพัก และนี่คือวิวหลังห้องเราครับ
หลังจากที่เราถึงที่พักเราก็อาบน้ำพักผ่อนสักพักก็เตรียมออกจากที่พักไปเที่ยวและที่เที่ยวแรกที่เราจะไปก็คือ "อลาคาติ" บอกได้เลยว่าใครมาที่นี่ต้องชอบมากๆเพราะมันสวยน่ารักและโรแมนติกมากๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ห่างจากเชสเม่ แค่ประมาณ 20 นาทีก็ถึง เราสองคนก็ขับรถไปจนถึงอลาคาติหาที่จอดรถและเดินไปอีกแค่ 300 เมตรก็ถึง สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก คา้ฟมากมาย อาคารต่างๆสีสันสวยงามมาก และที่นี่คือ อลาคาติ
เราเดินอยู่ที่ อลาคาติ กันจนเย็นๆก็หาอะไรทานก่อนกลับไปเดินเล่นที่เซสเม่ อยากบอกว่าที่นั่นตอนกลางคืนสวยสงบบรรยากาศดีมากๆ เสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายรูปกันมาเลยเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับบรรยากาศวันแรกเราสองคนก็จบลงด้วยการเที่ยวที่นี่ กลับไปพักผ่อนที่ห้องจบวันที่ 8 ตุลาคม 2565
เข้าสู่วันที่ 9 ตุลาคม 2565 เรามีโปรแกรมจะไปเที่ยวเมืองโบราณเอฟริซัส (Ephesus) เป็นเมืองในสมัยกรีกโบราณซึ่งเคยรุ่งเรืองและใหญ่เป็นอับดับสองของจักรวรรดิโรมันรองจากเมืองหลวงคือโรม ด้วยระยทางไกลพอสมควรประมาณ 150 กิโลเมตร เราออกเดินทางในช่วงเช้าเราตั้งใจว่าจะเข้าไปเที่ยวในเมือง Selcuk ก่อนเพื่อไปหาไรกินนิดหน่อยแล้วค่อยเข้าไปเที่ยวที่ มืองโบราณเอฟริซัสช่วงบ่าย เราใช้เวลาในการเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงเส้นทางที่เราใช้เป็นเส้นทางเลาะชายเขามาเรื่อยๆและที่สวยงามมากคือเส้นทางริมทะเล ระหว่างทางจะมีวิวทะเลให้เราได้ลงไปสูดอากาศและชมทะเลสวยเก็บภาพมานิดเดียว
ขับไปเรื่อยจนมาถึงเซลจุก เมืองนี้ไม่ใหญ่มากแต่มีเครื่องประดับที่สวยมากๆอยู่อย่างนึงคือ "พลอยเปลี่ยนสี" ซึ่งมันจะเปลี่ยนสีไปตามแสงที่ตกกระทบ หากอยู่ในที่แสงน้อยจะมีสีเขียว หากมีแสงมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และแดดจ้าจะเป็นสีชมพูสวยมาก เราใช้เวลาเดินกันอยู้สักพักหิวก็หาไรทานกัน จะบอกว่าหาของกินที่เราจะกินได้แบบถูกปากคนไทยยากนิดนึง ไม่เหมือนที่อิสตันบูลจะมีอาหารให้เลือกเยอะ เราสั่งสลัดกรีกมาทาน แต่ก็ไม่ถูกปากเราอะเนอะเพราะไม่คุ้นเคยกับรสชาตจริงๆแต่มีที่อร่อยคือในรูป(ไม่รู้เรียกว่าอะไร)กับขนมอร่อยมากๆ
หลงัจากเดินเที่ยวกินอาหารอิ่มแล้วก็ขับต่อไปยังเมืองโบราณ เมื่อเข้าไปถึงด้านหน้าจะมีที่จอดรถและร้านขายของที่ระลึกเยอะมากๆ เราก็ซื้อตั๋วเข้าไปแต่เราต้องเดินเข้าไปเรื่อยก็จะผ่านเมืองโบราณ ใครที่ชอบแนวโบราณสถาน ประวัติศาสตร์จะชอบมากโดยเฉพาะผมที่เป็นคนชอบสถาปัตยกรรมแบบยุโรป กรีกโบราณ และที่นี่เองที่ผมตั้งใจจะมาขอแฟนแต่งงานซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจให้เลือกที่นี่ แต่พอผมได้ไปยังสถานที่ที่ผมตั้งใจไว้มันสวยมากจริงๆและผมก็ไม่ลังเลเลยในการขอแฟนแต่งงานแบบง่ายๆตามแบบของผม 55555 ภาพที่ได้มาก็เลยเป็นภาพสวมแหวนของแฟนผม(ภรรยาในปัจจุบัน) นะครับขออภัยที่มีแต่ภาพภรรยาครับ
ราคาตั๋วและเวลาในการเข้าชม
ได้ตั๋วมาแล้วลุยเลย
ขณะที่เราเดินเล่นถ่ายรูปก็เจอกับฝรั่งสองคนนี้พยายามที่จะถ่ายรูปคู่กัน เราก็เลยอาสาช่วยถ่ายให้เค้าน่ารักดีมากๆอัธยาศัยดีเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางทั่วโลกจริงๆสองคนนี้
โรงละครซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมกรีกโบราณ
และการเที่ยววันนี้ก็จบลงเรียบร้อยครับ เราขับรถกลับไปที่พักและเดินเที่ยวเชสเม่ตอนกลางคืนสวยมากแต่ยังหารูปไม่เจอ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะมารีวิวเซสเม่ให้อ่านกันนะครับ เรานอนที่เชซเม่ในคืนวันที่ 9 ตุลาคมอีกคืน และในวันที่ 10 เราก็จะเดินทางไป ปามุคคาเล เที่ยวที่นั่น 1 คืน ซึ่งที่นั่นมีสถานที่เที่ยวสวยงามน่าเที่ยวอีกแห่งก็คือ ปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) แล้วเราจะมาเล่าต่อใน ตอนที่ 3 "ปามุคคาเล่" ในเช้าวันที่ 10 ตุลาคม เราก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักก็ได้ถ่ายรูปกับเจ้าของโรงแรมซึ่งน่ารักมากๆแนะนำการเดินทางและเที่ยวให้เราสองคน
หลังจากนั้นเราก็ขับรถออกจากเชสเม่เพื่อเดินทางเข้าไปส่งรถคืนที่สนามบิน และเราก็จะเดินทางไป ปามุคคาเล่กันต่อ ฝากติดตามเรื่องเล่าเที่ยวตุรกีด้วยนะครับ เจอกัน ตอนที่ 3 "ปามุคคาเล่" นะครับ