ใครที่กำลังประสบปัญหาการรักษาแมวป่วยไตและหัวใจพร้อมกัน มาอ่านประสบการณ์ของเจ้าของกระทู้ได้ที่นี่ค่ะ

แมวของเราเป็นพันธุ์เปอร์เซีย อายุ 10 ปี น้ำหนักประมาณ 3 kg. เลี้ยงระบบปิด ให้อาหารเม็ดรอยัลคานินโดยมาตลอด แทบจะไม่ได้กินอาหารคน และมีให้ขนมแมวเลียบ้างแต่เป็นส่วนน้อยมาก แต่นิสัยอย่างหนึ่งของแมวเราคือกินน้ำน้อย ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปบังคับอะไรน้องและเลี้ยงแบบนี้มาเรื่อยๆ

หลังๆ มานี้ประมาณ 1 ปี เราสังเกตเห็นความผิดปกติของแมวเราอย่างหนึ่งคือ จะนอนเยอะมาก ซึ่งเราคิดว่าน้องแก่แล้ว คงนอนเยอะเหมือนแมวแก่ทั่วไป จนวันหนึ่งเราเห็นความผิดปกติที่ชัดขึ้นมาคือ น้องมีกลิ่นปากแรงมาก เราพยายามง้างปากดูแล้วพบว่ามีเลือดซึมนิดหน่อย จึงคิดว่าน่าจะเหงือกอักเสบ เลยจะพาไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น

บ้านเราอยู่โซนบางซื่อ เราจึงเลือกไปที่ รพ.สัตว์ ย่านประชานิเวศน์ เพราะปกติเราก็พาน้องแมวมารักษาอาการป่วยทั่วไปที่นี่มาโดยตลอด คุณหมอได้บอกว่าแมวมีอาการเหงือกอักเสบจริง แต่กลิ่นปากที่ผิดปกตินี้ต้องตรวจเช็คเรื่องไตด้วยเพราะมีแนวโน้มสูงในโรคนี้เช่นกัน เมื่อผลเลือดออก แมวเราค่าไตสูงมาก (Crea 13 ซึ่งค่าปกติไม่ควรเกิน 3) และมีภาวะเลือดเป็นกรดสูงมาก จึงต้องแอดมิท รพ.ที่นี่จนกว่าอาการจะดีขึ้น น้องแมวเราต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดและมีรับยาปฏิชีวนะ น้องใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 5 วันค่ะ ค่า Crea ลดลงมาอยู่ที่ 9 และภาวะเลือดเป็นกรดค่อยๆ ดีขึ้น เราจึงขอย้ายมารักษาต่อที่ใกล้บ้านขึ้นมาอีกนิด และค่ารักษาระยะยาวไม่แพงมากจนเกินไป เพราะค่าใช้จ่ายที่นี่ค่อนข้างสูงมาก

รพ.สัตว์แห่งที่ 2 ที่เราทำเรื่องส่งตัวมารักษาต่อ อยู่ย่านประชาชื่น คุณหมอได้แนะนำให้น้องแมวแอดมิทต่อจนกว่าค่าไตจะกลับมาอยู่ที่ระดับดีกว่านี้ถึงจะกลับบ้านได้ แมวเรายังคงรับน้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดต่อ ซึ่งน้องแมวเราแอดมิทอยู่ที่นี่ได้ประมาณ 3 วัน ค่าต่างๆ ยังไม่ค่อยดีขึ้นมากเท่าที่ควร แต่เราเห็นสภาพร่างกายน้องเริ่มแย่และมีอาการเครียดมาก เลยสอบถามคุณหมอเรื่องพากลับบ้าน คุณหมอบอกว่าทำได้แต่ให้น้ำมารับน้ำเกลือช่วงกลางวันแล้วตอนเย็นรับกลับบ้าน เราจึงเลือกทำโซลูชั่นนี้เผื่อจะช่วยลดอาการเครียดของน้องลงได้บ้าง

ช่วงเย็นวันนั้นเรารับแมวเรากลับบ้าน พอมาถึงบ้านน้องมีอาการแปลกๆ คือหายใจแรงมาก พยายามซ่อนตัวตามใต้โต๊ะ เราเจอสภาพนี้แล้วบอกตรงๆ ว่าเราเครียดมาก ไลน์ถาม รพ.สัตว์ก็ได้คำตอบกลับมาว่า ถ้าคืนนี้น้องนอนได้ให้นอนก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยนำมาที่ รพ.สัตว์ เพราะที่นี่ไม่ได้รักษา 24 ชม. วันนั้นเรานอนหลับไม่สนิทเลยและสะดุ้งตื่นมาตอนตี 5 พบว่าอาการแมวเราแย่มาก หายใจลำบาก เราจึงรีบพาแมวไป รพ.สัตว์ย่านพญาไท ที่เปิด 24 ชม. เพื่อไปรักษาอาการนี้โดยด่วน

รพ.สัตว์แห่งที่ 3 ที่เรานำน้องมารักษาอาการหอบหายใจแรง หมอจับน้องแมว X-ray แล้ววินิจฉัยเบื้องต้นว่าน้องมีความผิดปกติที่หัวใจ มันพองโต และมีภาวะของเหลวในช่องอกจำนวนมาก รูปปอดนี่คือเป็นฝ้าขาว จากนั้นคุณหมอจึงรักษาอาการเบื้องต้นนี้โดยให้ยาขับน้ำเพื่อลดระดับน้ำลงมา ให้ยาเกี่ยวกับหัวใจ พร้อมทั้งให้อยู่ในตู้ออกซิเจนจนกว่าอาการจะดีขึ้น ตอนสายๆ ของวันนั้น รพ.แจ้งว่าน้องแมวเรามีอาการดีขึ้น แต่ยังหายใจแรงอยู่ พร้อมกับแจ้งว่าการรักษาโรคหัวใจต้องมาก่อน ซึ่งอาจต้องมีการเจาะช่องอกเพื่อระบายน้ำหากจำเป็น และเมื่อรักษาหัวใจดีขึ้นแล้ว ค่อยกลับมาดูเรื่องไตอีกรอบ

เราพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยหัวใจและไตมาทั้งวัน ข้อมูลต่างๆ ที่เรารวบรวมได้คือ
-  แมวเปอร์เซียมีความเสี่ยงเรื่องหัวใจ
-  ภาวะความเครียดและการรับน้ำเกลือเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้โรคหัวใจกำเริบได้
-  แมวป่วยหัวใจจำเป็นต้องควบคุมปริมาณการให้น้ำเกลือ
ซึ่งพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ แมวเรามีภาวะไตวายและหัวใจวาย การรักษาไตต้องให้น้ำเกลือในระยะยาว ส่วนการรักษาหัวใจต้องควบคุมปริมาณการให้น้ำ และต้องมีการให้ยารักษาซึ่งจะทำให้ค่าไตสูงขึ้น และอาจจะต้องมีการเจาะช่องอกเพื่อระบายน้ำออกจากภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งเป็นเพียงการบรรเทาอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกเรื่อยๆ และทำให้แมวทรมานมากๆ การรักษาไตและหัวใจมันจึงทำควบคู่กันไปได้ยากจริงๆ ค่ะ พอมาถึงจุดนี้ เราพอจะทราบชะตากรรมแล้วว่ามันจะดำเนินต่อไปอย่างไร เราจึงมีแพลนจะไปรับน้องกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น เพราะที่บ้านและแฟนก็ลงความเห็นมาคล้ายๆ กันว่าให้ยุติการรักษาและนำน้องกลับบ้านเถอะ

สิ่งหนึ่งที่เราคิดในหัวและหาข้อมูลเผื่อไว้มาตลอดคือ "put to sleep" เนื่องจากเราเห็นน้องแมวของเราทรมานมากๆ กับอาการที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เราว่าไม่รักแมวนะคะ เรารักมากๆ รักเหมือนลูกสาว เลี้ยงเองมากับมือตลอด 10 ปี ผ่านเรื่องราวทั้งทุกข์และสุขมาด้วยกันเยอะมาก ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่น้องทรุดลงเรื่อยๆ เราหดหู่จิตใจมาก ร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง เราพร้อมสู้เพื่อแมวเราเสมอ แต่เมื่อร่างกายของน้องสู้ไม่ไหวแล้วนี่จึงอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย เราจึงตัดสินใจติดต่อ รพ.แห่งที่ 4 ย่านมีนบุรี ที่เขารับทำ put to sleep สัตว์ที่มีอาการป่วยเรื้อรังรักษาไม่หาย ทาง รพ. ให้ทำแบบประเมินและแจ้งมาว่าหมอที่ทำเรื่องนี้จะเข้ามาในวันอาทิตย์ ซึ่งแมวเรารอต้องรอประมาณ 1 วันถึงจะทำได้ เราไม่มีทางเลือกใดๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วหมอหลายๆ ที่มักจะไม่รับทำด้วยจรรยาบรรณ หรือเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่

เช้าวันเสาร์ตี 4 เราได้รับแจ้งจาก รพ.สัตว์ที่แมวเราแอดมิทอยู่ เรียกให้เข้าไปด่วนๆ เพราะน้องอาการแย่แล้ว เรารีบขับรถไปหาอย่างเร็วที่สุด พอเข้าไปเห็นคือน้องพะงาบๆ แล้ว อาการเหมือนหายใจไม่ออก ยิ่งน้องแมวเห็นเราคือร้องเสียงดังมาก แต่เป็นเสียงที่ทรมานสุดๆ หมอบอกว่าออกซิเจนไม่ไปเลี้ยงสมอง เราจึงขอคุณหมอว่าให้ปล่อยน้องไปเถอะค่ะ ไม่อยากให้เค้าทรมานอีกต่อไปแล้ว พูดไปน้ำตาไหลไป หมอที่นี่จึงตัดสินใจให้ยาระงับ โดยให้เราเซ็นเอกสารยินยอม ขณะที่เรากำลังกรอกเอกสาร พนักงานเรียกให้รีบเข้าไปหาน้องอีกรอบหนึ่ง เพราะน้องน่าจะไม่ไหวแล้ว สิ่งที่เราเห็นภาพสุดท้ายคือ น้องใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ดวงตาว่างเปล่าเหมือนคนกำลังจะจากไป คุณหมอบอกว่าหัวใจจะยังเต้นแบบนี้อีกสักพักนะคะ หมอกำลังฉัดยาระงับเข้าทางเส้นเลือดซึ่งมี 2 ตัวยา รู้แค่ว่าทำให้หัวใจหยุดเต้น จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องฉีดก็ได้ค่ะ เพราะดูเหมือนน้องก็จะจากไปอยู่ดี แต่เราไม่อยากให้เค้าทรมานนานกว่านี้ และเซ็นเอกสารไปแล้วด้วยค่ะ น้องแมวของเราจากไปเวลาตี 4 กว่า น้องไม่ได้ค่อยๆ หลับแล้วจากไปอย่างสงบแบบที่เราเคยคาดหวังไว้ ภาพและเสียงยังคงติดอยู่ในหัวเรามาอีกหลายวันค่ะ ซึ่งสักวันหนึ่งมันคงจะจางหายไปได้บ้าง เช้าวันนั้นที่น้องจากไป เรานำน้องไปฌาปนกิจวัดผาสุกมณีจักร ตรงเมืองทอง โดยเจ้าหน้าที่เค้าคิดราคาแมวอยู่ที่ 1,000 บาท ส่วนสุนัขคิดตามน้ำหนักคุ้นๆ ว่าเริ่มต้นที่ 2,000 ขึ้นไป เวลาที่รับฌาปนกิจตั้งแต่ 8 โมงเช้า - 4 โมงเย็นค่ะ หลังจากนั้นเราก็ได้แจ้งยกเลิก put to sleep กับ รพ.สัตว์ ย่านมีนบุรีไป

ด้านล่างจะเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เรานำน้องแมวไปรักษาแต่ละที่ เราเสียค่าใช้จ่ายรวมๆ ประมาณ 36,000 กว่าบาท เผื่อจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อท่านอื่นๆ ที่กำลังหาข้อมูลการรักษา โดยเราจะขอไม่ระบุชื่อสถานพยาบาล และราคาที่แสดงเป็นราคาแบบคร่าวๆ นะคะ

ที่แรก ย่านประชานิเวศน์ แอดมิท 5 วัน
-  ค่าบริการทางการแพทย์, ผู้ช่วย, ผู้ป่วยนอก/ใน รวมๆ ประมาณ 5,000 บาท
-  ค่ายาและสารอาหาร ประมาณ 5,000 บาท
-  ค่าตรวจวินิจฉัย (Lab) รวมๆ ประมาณ 9,000 บาท
-  ค่าบริการและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมๆ ประมาณ 3,000 บาท
-  ค่าฝากสัตว์ ประมาณ 1,000 บาท
-  ค่าอาหาร 500 บาท
-  ค่าสินค้าอื่นๆ ประมาณ 1,600 บาท

ที่สอง ย่านประชาชื่น แอดมิท 3 วัน
-  ค่าตรวจ 500 บาท
-  ค่าฝากเลี้ยง 1,000 บาท
-  ค่ายา 900 บาท
-  ค่าหัตถการ 200 บาท
-  ค่าตรวจเลือด 1,500 บาท
-  ค่าน้ำเกลือและอุปกรณ์ 950 บาท
-  ค่าอาหารพิเศษ 280 บาท

ที่สาม ย่านพญาไท แอดมิท 2 วัน
-  ค่าธรรมเนียมการแพทย์ 610 บาท
-  ค่า X-ray 850 บาท
-  ค่าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ 190 บาท
-  ค่าตรวจรักษา 2,555 บาท
-  ค่าคลินิกนอกเวลา 300 บาท
-  ค่ายา 460 บาท
-  ค่าสินค้า pet shop ประมาณ 300 บาท
-  ค่าฝากเลี้ยง 300 บาท
*และค่าอื่นๆ ที่ได้ข้อมูลจากใบประเมินราคา จะมีค่าตู้ออกซิเจน 2,050 บาท/วัน, ค่าอัลตร้าซาวด์ 3,500 บาท, ค่าตรวจเลือด 1,800 บาท, ค่าตรวจไต 500 บาท, ค่าตรวจหัวใจ 3,500 - 4,500 บาท

ที่สี่ ย่านมีนบุรี ค่าบริการ put to sleep สำหรับแมว เริ่มต้นที่ 4,500 บาท แต่เราไม่ได้ใช้บริการค่ะ

สุดท้ายนี้ เราขอให้กำลังใจเจ้าของสัตว์เลี้ยงและคุณหมอทุกคนนะคะ ที่กำลังรักษาอาการป่วยอยู่ สำหรับท่านที่สู้และสัตว์เลี้ยงก็สู้ด้วย เราขอยินดีกับคุณจริงๆ ค่ะ ที่ได้ต่ออายุให้กับสัตว์เลี้ยงให้อยู่กับคุณไปได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง แต่สำหรับใครที่ลงเอยแบบเราก็ไม่เป็นไรนะคะ อาการโทษตัวเองด้วยเรื่องต่างๆ อาจจะยังเกิดขึ้นในจิตใจเราเสมอ ว่าถ้าเราทำแบบนั้น คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น... ตอนนี้เรายังเหลือแมวอีก 1 ตัวให้ดูแลต่อค่ะ และจะนำบทเรียนครั้งนี้ไปปรับใช้และรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตเช่นกัน หลังจากหมดน้องแมวตัวสุดท้ายของเราแล้ว เราน่าจะออกจากวงการเลี้ยงสัตว์แล้วค่ะ จิตใจเราอ่อนแอเกินไป รักเค้ามากก็เจ็บปวดมากค่ะ คงจะหันไปทำบุญช่วยเหลือสัตว์อื่นๆ และปลูกต้นไม้แทนค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่