ผมวิศวกรคนหนึ่ง เพิ่งจบใหม่ๆจากสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากรับใบปริญญาไม่นานเพื่อได้ชวนไปรับงานตรวจสอบแก้ไขตามสถานีเครือข่ายมือถือที่กระจายทั่วประเทศ ซึ่งการแก้ไขงานนั้นมีทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งการทำงานจะมีคู่หูติดตามไปด้วยเพื่อความปลอดภัย เรื่องนี้เกิดขึ้นกับสถานีฐานหนึ่งบนตึกสี่ชั้นย่านกระทุ่มแบน สมุทรสาคร ได้รับหมอบหมายงานเรียบร้อยหลังจากเตรียมอุปกรณ์แล้ว เดินทางจากนครปฐมไปหน้างานที่ตึกกระทุ่มแบนไปถึงหน้าตึกประมาณห้าทุ่ม ลานจอดรถหน้าตึกค่อนข้างเงียบเหงาเนื่องจากคนพักส่วนใหญ่ทำงานเป็นกะในโรงงานแถวนั้น ผมกับเพื่อนเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและขนขึ้นตึกไปชั้นสี่ด้วยลิฟเก่าๆตัวหนึ่ง ประตูเปิดมาค่อนข้างตกใจเนื่องจากสภาพในชั้นนี้รกมากไม่มีคนอาศัยอยู่ไปก้อไม่มี ออกจากลิฟเดินไปทางขวาต้องเปิดไฟมือถือและเดินเกาะกันไปเนื่องจากเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ลมโชยมาจึงเย็นๆผ่านช่องลมมาประทะผิวกาย แต่ความเย็นนี้มันผิดไปจากทุกทีที่เคยมา มันเย็นขึ้นไปถึงหนังหัวพาขนลุกขึ้นมาทันที
เมื่อประคองกันมาถึงหน้าห้องที่มีอุปกรณ์สัญญานจึงรีบเปิดประตูเปิดไฟเข้าไปในห้อง จัดแจงตรวจสอบอุปกรณ์ที่คาดว่าจะเสียในระหว่างนั้นชายตาพลันเห็นคนเดินผ่านหน้าห้องไปสองสามครั้ง จึงบอกเพื่อนให้ไปปิดประตูเสียไม่อยากให้เขามองมาด้านในห้อง จากนั้นจัดการเปลี่ยนอุปกรณ์เรียบร้อยพลันมีเสียงแปลกๆที่ประตูฝั่งระเบียงห้อง คล้ายๆเสียงคนเอาเล็บขูดประตู “ครืด ครืด” แต่ไม่ชัดนักผมจึงเดินไปฟังใกล้ๆ “ตูม ตูม ตูม” อยู่ๆเสียงก้อดังขั้นกระทันหันเหมือนมีคนทุบประตูอยู่ด้านนอกทั้งที่ประตูนี้ปกติจะปิดตายและด้านนอกคือระเบียงชั้นสี่จะมีใครอยู่ได้ยังงัย พลันขนหัวก้อลุกขึ้นมา “ไอ้แบ๊งค์ ไปโว้ยเสร็จแล้ว” จากนั้นก้อรีบเก็บของปิดล็อกประตูและรีบวิ่งมาที่ลีฟทันที ลิฟท์ช่างรู้สึกช้ามากในยามนี้หัวใจสั่นหันไปหันมาแบบหวาดระแวง
ทันทีลิฟขึ้นมาและประตูลิฟท์เปิดออกก้อเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาวยืนอยู่ข้างใน แต่สิ่งทำใจหัวใจจะหยุดเต้นคือเลือดที่ไหลอาบอยู่ตรงอกซ้าย เท่านั้นแหละของอะไรในมือไม่ต้องห่วงกัน “อ๊าก ผีหลอก.... ไอ้แบ้งค์วิ่งโว๊ยวิ่ง” จากชั้นสี่ลงมาถึงรถไวปานสายฟ้าแล็ป พรุ่งนี้ตั้งใจว่าเช้าๆค่อยเข้ามาใหม่มาเก็บของกลับอีกทีหนึ่งไปตั้งหลักก่อน
ตอนเช้าเข้ามาตั้งแต่เจ็ดโมงสว่างล่ะลมเย็นโชยๆยืนอยู่ทางขึ้นตึกมองตรงเข้าไปตรงทางเข้าแปลกใจมียันต์ผืนใหญ่ปิดตรงหน้าตึกตรงทางเข้าเลย จำได้ว่าเป็นของหลวงพ่อทางนครปฐม บนยีนต์หลวงพ่อท่านนั่งบนเสือล้อมด้วยยันต์ทั้งผืน มองซ้ายมองขวาที่ชั้นหนึ่งทุกห้องที่ประตูออกระเบียงจะมียันต์ต่างๆแปะอยู่หลากหลายแบบ นึกแปลกใจเล็กๆว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ จากนั้นชวยน้องแบงค์ขึ้นไปเก็บของระหว่างเดินขึ้นมองดูแต่ละห้องทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองมียันต์ปิดที่ประตูเข้าห้องเช่นเดียวกัน ความหนาวเหน็บเริ่มเข้ามาดีนะวันนี้กลับเข้ามากลางวัน ถึงกระนั้นก้อไม่กล้าขึ้นลิฟท์ไปชั้นสี่อีกเลย ภาพมันจับตามากขนาดนั้นกล้าก้อเก่งแล้ว
ขึ้นมาถึงชั้นสามต้องแปลกใจอีก ไม่ใช่เรื่องผ้ายันต์แต่ชั้นนี้ไม่มีคนอยู่เลยรกร้าง เงียบและน่ากลัวมากถ้าเมื่อคืนเดินขึ้นคงไม่ถึงชั้นสี่แน่ๆ เดินมาถึงชั้นสี่พากันเก็บของที่กระจายทั่วๆไป มันมีความหนาวๆในใจอยู่เมื่อคิดว่าเจออะไรมา เมื่อมองไปทางห้องที่เข้าไปทำงานเมื่อคืนมีห้องหนึ่งที่ติดกันแต่อยู่ด้านใน ลองใจกล้าเดินไปดูห้องนี้แปลกๆมีของใช้รกอยู่ด้านในฝุ่นและใยแมงมุมเต็มไปหมด และที่นอนเก่าๆสีคล้ำๆกลิ่นเหม็นอบอวลแปลกๆในขณะที่ห้องอื่นๆทั้งชั้นสามและสี่นั้นไม่มีของในห้องเลย
จากนั้นพากันลงเอาของมาเก็บในรถหันไปเห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ด้านข้างตึกนั้นเองจึงเดินเข้าไปหาแกเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง “ลุงครับ ลุงอาศัยอยู่ที่นี่มานานรึยังครับ อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นครับทำไมมีแต่คนติดยันต์เต็มไปหมด แล้วชั้นสามกับชั้นสี่ทำไมไม่มีคนมาพักครับ” ผมถามลุงแกไปเผื่อจะได้ทราบอะไรบ้าง “ลุงมาอยู่กับลูกชายสองคนปกติเขาจะไปทำงานในโรงงานแถวนี้แหละ เอ็งใช่ที่ร้องกลางดึกเมื่อคืนไหม 5555” ลุงหัวเราะแปลกๆยังงัยกันละ “ใช่ครับลุง เหมือนว่าจะโดนผีหลอก” ผมสารภาพไปเพื่อจะได้ถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” “อืม...ที่นี่เมื่อก่อนคนอยู่เต็มทั้งสี่ชั้นนะ ไม่เคยว่างและไม่เคยเหงา แต่มาวันหนึ่งห้องบนชั้นสี่ห้องในสุดได้ยินเสียงผัวเมียทะเลาะกัน ผัวมีคนมาฟ้องว่าเมียที่อยู่ด้วยไปแอบคบชู้กับหัวหน้างานในโรงงานเดียวกัน ที่ทำให้มันโกรธคือหัวหน้างานแผนกนั้นคือเพื่อนของผัวมัน ด้วยความโกรธมันจึงมาทะเลาะกับเมียมันที่ห้องในกลางดึกวันนั้น สักพักเสียงก้อเงียบไป....” ลุงเล่าและเอาน้ำขึ้นมาดื่ม “ตอนเช้าคนในห้องใกล้ๆไปดูพบว่าผู้หญิงนอนตายบนเตียงเสียแล้วโดยมีมีดปักอยู่ที่อกซ้าย โดยที่ผัวมันคงหนีไปเมื่อคืน ที่ทำให้ทุกอย่างที่นี่เปลี่ยนไปเริ่มต้นตรงนี้ หลังจากมูลนิธิมาเก็บศพไปแล้วคืนนั้นก้อเกิดเรื่อง ผีสาวผู้นั้นไปไล่เคาะห้องใกล้ในชั้นสี่ทีละห้องด้วยเสียงแหบๆว่า...ช่วยหนูด้วย...เมื่อมองในช่องตาแมวจะเห็นผู้หญิงมีรอยเลือดที่อกซ้ายยืนหน้าประตู”
“ทุกห้องในชั้นสี่โดนหมดจนไม่มีใครกล้ากลับดึกอีกเลย พร้อมกระนั้นได้พากันเอายันต์มาปิดจนครบทุกห้อง สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดคือมีเสียงเกาที่ประตูตามด้วยเสียงเคาะ ปัง ปัง ปัง เคยมีคนใจกล้าลองเปิดประตูเห็นผู้หญิงห้อยหัวอยู่ตรงระเบียง จากนั้นประตูหลังกลางคืนไม่ต้องเปิดกันพร้อมปิดยันต์ทับ เท่านั้นไม่พอหากใครขึ้นลงลิฟท์ก้อมักจะเจอตรงหน้าลิฟท์หรือในลิฟท์เสมอ สุดท้ายคนที่พักชั้นสี่ก้อทยอยย้ายกันออกไปจนหมด” ลุงจิบน้ำอีกรอบ
“ตรงชั้นสามก้อไม่รอดเมื่อไม่มีใครอยู่ชั้นสี่มาก้อมาหาทุกห้องที่ชั้นสามในแบบเดียวกัน และแล้วทั้งสองชั้นนั้นจึงไม่คนอยู่ตามที่เห็นนั่นแหละ อีกสองชั้นที่เหลือเขาก้อมาโวยกับเจ้าของตึกเพราะไม่อยากย้ายด้วยที่นี่ใกล้ที่ทำงานมาก จึงได้มีการนิมันต์พระมาทำบุญใหญ่ พร้อมด้วยการบวงสรวงของพิธีพราหมณ์เพื่อนำส่งดวงวิญญานและทำบุญในตัว จากนั้นมาก้อเงียบสงบลง แต่ก้อไม่มีใครกล้าไปพักที่ชั้นสามและสี่อยู่ดีจึงร้างอย่างที่เห็น ว่าแต่เอ็งโดนอะไรมาล่ะ”
ผมได้แต่ยิ้มและเดินจากมาหลังจากไหว้ขอบคุณแล้ว ในใจก้อนึกว่าดีนะที่ประคูหลังในห้องอุปกรณ์นั้นเปิดไม่ได้ ไม่งั้นบันเทิงแน่ๆ จากการเจอที่นี่จากนั้นพระไม่เคยห่างคออีกเลย อย่างน้อยก้อสบายใจที่มีพระอยู่ด้วย
เล่าเรื่องโดย เด็กวิดวะสายโทร
อะพาทเม้นพิศวง
เมื่อประคองกันมาถึงหน้าห้องที่มีอุปกรณ์สัญญานจึงรีบเปิดประตูเปิดไฟเข้าไปในห้อง จัดแจงตรวจสอบอุปกรณ์ที่คาดว่าจะเสียในระหว่างนั้นชายตาพลันเห็นคนเดินผ่านหน้าห้องไปสองสามครั้ง จึงบอกเพื่อนให้ไปปิดประตูเสียไม่อยากให้เขามองมาด้านในห้อง จากนั้นจัดการเปลี่ยนอุปกรณ์เรียบร้อยพลันมีเสียงแปลกๆที่ประตูฝั่งระเบียงห้อง คล้ายๆเสียงคนเอาเล็บขูดประตู “ครืด ครืด” แต่ไม่ชัดนักผมจึงเดินไปฟังใกล้ๆ “ตูม ตูม ตูม” อยู่ๆเสียงก้อดังขั้นกระทันหันเหมือนมีคนทุบประตูอยู่ด้านนอกทั้งที่ประตูนี้ปกติจะปิดตายและด้านนอกคือระเบียงชั้นสี่จะมีใครอยู่ได้ยังงัย พลันขนหัวก้อลุกขึ้นมา “ไอ้แบ๊งค์ ไปโว้ยเสร็จแล้ว” จากนั้นก้อรีบเก็บของปิดล็อกประตูและรีบวิ่งมาที่ลีฟทันที ลิฟท์ช่างรู้สึกช้ามากในยามนี้หัวใจสั่นหันไปหันมาแบบหวาดระแวง
ทันทีลิฟขึ้นมาและประตูลิฟท์เปิดออกก้อเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาวยืนอยู่ข้างใน แต่สิ่งทำใจหัวใจจะหยุดเต้นคือเลือดที่ไหลอาบอยู่ตรงอกซ้าย เท่านั้นแหละของอะไรในมือไม่ต้องห่วงกัน “อ๊าก ผีหลอก.... ไอ้แบ้งค์วิ่งโว๊ยวิ่ง” จากชั้นสี่ลงมาถึงรถไวปานสายฟ้าแล็ป พรุ่งนี้ตั้งใจว่าเช้าๆค่อยเข้ามาใหม่มาเก็บของกลับอีกทีหนึ่งไปตั้งหลักก่อน
ตอนเช้าเข้ามาตั้งแต่เจ็ดโมงสว่างล่ะลมเย็นโชยๆยืนอยู่ทางขึ้นตึกมองตรงเข้าไปตรงทางเข้าแปลกใจมียันต์ผืนใหญ่ปิดตรงหน้าตึกตรงทางเข้าเลย จำได้ว่าเป็นของหลวงพ่อทางนครปฐม บนยีนต์หลวงพ่อท่านนั่งบนเสือล้อมด้วยยันต์ทั้งผืน มองซ้ายมองขวาที่ชั้นหนึ่งทุกห้องที่ประตูออกระเบียงจะมียันต์ต่างๆแปะอยู่หลากหลายแบบ นึกแปลกใจเล็กๆว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ จากนั้นชวยน้องแบงค์ขึ้นไปเก็บของระหว่างเดินขึ้นมองดูแต่ละห้องทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองมียันต์ปิดที่ประตูเข้าห้องเช่นเดียวกัน ความหนาวเหน็บเริ่มเข้ามาดีนะวันนี้กลับเข้ามากลางวัน ถึงกระนั้นก้อไม่กล้าขึ้นลิฟท์ไปชั้นสี่อีกเลย ภาพมันจับตามากขนาดนั้นกล้าก้อเก่งแล้ว
ขึ้นมาถึงชั้นสามต้องแปลกใจอีก ไม่ใช่เรื่องผ้ายันต์แต่ชั้นนี้ไม่มีคนอยู่เลยรกร้าง เงียบและน่ากลัวมากถ้าเมื่อคืนเดินขึ้นคงไม่ถึงชั้นสี่แน่ๆ เดินมาถึงชั้นสี่พากันเก็บของที่กระจายทั่วๆไป มันมีความหนาวๆในใจอยู่เมื่อคิดว่าเจออะไรมา เมื่อมองไปทางห้องที่เข้าไปทำงานเมื่อคืนมีห้องหนึ่งที่ติดกันแต่อยู่ด้านใน ลองใจกล้าเดินไปดูห้องนี้แปลกๆมีของใช้รกอยู่ด้านในฝุ่นและใยแมงมุมเต็มไปหมด และที่นอนเก่าๆสีคล้ำๆกลิ่นเหม็นอบอวลแปลกๆในขณะที่ห้องอื่นๆทั้งชั้นสามและสี่นั้นไม่มีของในห้องเลย
จากนั้นพากันลงเอาของมาเก็บในรถหันไปเห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ด้านข้างตึกนั้นเองจึงเดินเข้าไปหาแกเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง “ลุงครับ ลุงอาศัยอยู่ที่นี่มานานรึยังครับ อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นครับทำไมมีแต่คนติดยันต์เต็มไปหมด แล้วชั้นสามกับชั้นสี่ทำไมไม่มีคนมาพักครับ” ผมถามลุงแกไปเผื่อจะได้ทราบอะไรบ้าง “ลุงมาอยู่กับลูกชายสองคนปกติเขาจะไปทำงานในโรงงานแถวนี้แหละ เอ็งใช่ที่ร้องกลางดึกเมื่อคืนไหม 5555” ลุงหัวเราะแปลกๆยังงัยกันละ “ใช่ครับลุง เหมือนว่าจะโดนผีหลอก” ผมสารภาพไปเพื่อจะได้ถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” “อืม...ที่นี่เมื่อก่อนคนอยู่เต็มทั้งสี่ชั้นนะ ไม่เคยว่างและไม่เคยเหงา แต่มาวันหนึ่งห้องบนชั้นสี่ห้องในสุดได้ยินเสียงผัวเมียทะเลาะกัน ผัวมีคนมาฟ้องว่าเมียที่อยู่ด้วยไปแอบคบชู้กับหัวหน้างานในโรงงานเดียวกัน ที่ทำให้มันโกรธคือหัวหน้างานแผนกนั้นคือเพื่อนของผัวมัน ด้วยความโกรธมันจึงมาทะเลาะกับเมียมันที่ห้องในกลางดึกวันนั้น สักพักเสียงก้อเงียบไป....” ลุงเล่าและเอาน้ำขึ้นมาดื่ม “ตอนเช้าคนในห้องใกล้ๆไปดูพบว่าผู้หญิงนอนตายบนเตียงเสียแล้วโดยมีมีดปักอยู่ที่อกซ้าย โดยที่ผัวมันคงหนีไปเมื่อคืน ที่ทำให้ทุกอย่างที่นี่เปลี่ยนไปเริ่มต้นตรงนี้ หลังจากมูลนิธิมาเก็บศพไปแล้วคืนนั้นก้อเกิดเรื่อง ผีสาวผู้นั้นไปไล่เคาะห้องใกล้ในชั้นสี่ทีละห้องด้วยเสียงแหบๆว่า...ช่วยหนูด้วย...เมื่อมองในช่องตาแมวจะเห็นผู้หญิงมีรอยเลือดที่อกซ้ายยืนหน้าประตู”
“ทุกห้องในชั้นสี่โดนหมดจนไม่มีใครกล้ากลับดึกอีกเลย พร้อมกระนั้นได้พากันเอายันต์มาปิดจนครบทุกห้อง สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดคือมีเสียงเกาที่ประตูตามด้วยเสียงเคาะ ปัง ปัง ปัง เคยมีคนใจกล้าลองเปิดประตูเห็นผู้หญิงห้อยหัวอยู่ตรงระเบียง จากนั้นประตูหลังกลางคืนไม่ต้องเปิดกันพร้อมปิดยันต์ทับ เท่านั้นไม่พอหากใครขึ้นลงลิฟท์ก้อมักจะเจอตรงหน้าลิฟท์หรือในลิฟท์เสมอ สุดท้ายคนที่พักชั้นสี่ก้อทยอยย้ายกันออกไปจนหมด” ลุงจิบน้ำอีกรอบ
“ตรงชั้นสามก้อไม่รอดเมื่อไม่มีใครอยู่ชั้นสี่มาก้อมาหาทุกห้องที่ชั้นสามในแบบเดียวกัน และแล้วทั้งสองชั้นนั้นจึงไม่คนอยู่ตามที่เห็นนั่นแหละ อีกสองชั้นที่เหลือเขาก้อมาโวยกับเจ้าของตึกเพราะไม่อยากย้ายด้วยที่นี่ใกล้ที่ทำงานมาก จึงได้มีการนิมันต์พระมาทำบุญใหญ่ พร้อมด้วยการบวงสรวงของพิธีพราหมณ์เพื่อนำส่งดวงวิญญานและทำบุญในตัว จากนั้นมาก้อเงียบสงบลง แต่ก้อไม่มีใครกล้าไปพักที่ชั้นสามและสี่อยู่ดีจึงร้างอย่างที่เห็น ว่าแต่เอ็งโดนอะไรมาล่ะ”
ผมได้แต่ยิ้มและเดินจากมาหลังจากไหว้ขอบคุณแล้ว ในใจก้อนึกว่าดีนะที่ประคูหลังในห้องอุปกรณ์นั้นเปิดไม่ได้ ไม่งั้นบันเทิงแน่ๆ จากการเจอที่นี่จากนั้นพระไม่เคยห่างคออีกเลย อย่างน้อยก้อสบายใจที่มีพระอยู่ด้วย
เล่าเรื่องโดย เด็กวิดวะสายโทร