อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๕ ตีกันงานแต่ง
บัตด็อมบองมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง อย่างน้อยวันนี้ที่นี่ก็มีห้างสรรพสินค้าแล้ว บรรดาตึกซึ่งสมัยก่อนเป็นเพียงตึกร้างนั้นต่างได้รับการบูรณะซ่อมแซมกลายเป็นที่พักอาศัยห้างร้านหมดแล้วเช่นกัน เมืองมีการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด หากถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างที่บอก แต่บรรยากาศเก่า ๆ นั้นยังคงมีให้ได้เห็นเช่นกัน
สถานที่แรกซึ่งเพื่อนผมพาไปก็คือห้างสรรพสินค้าเพิ่งเปิดใหม่ของที่นี่ เท่าที่ได้เดินดูภายในผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ห้างสรรพสินค้านั้นอาจไม่ได้รับความนิยมจากฅนที่นี่สักเท่าไรนัก อย่างน้อยก็ตอนนี้ (ตอนที่ได้ไปหลายปีก่อนนะครับ ตอนที่เขียนนี่ไม่รู้เหมือนกัน) เพราะเท่าที่เห็นนั้นสินค้าจะมีบางตาพอ ๆ กับฅนที่มาเดิน ห้างนั้นดูกว้างขวางทีเดียว หากแต่พื้นที่บางส่วนยังคงว่างเปล่า และมืดสลัว ไฟจะถูกเปิดเฉพาะจุดที่มีร้านค้าเท่านั้น บันไดเลื่อนซึ่งมีอยู่หลายตัวนิ่งสนิท ไม่มีการเปิดใช้งานแต่อย่างใด คงต้องการประหยัดค่าไฟเนื่องจากลูกค้าน้อย สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อผ้าเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้น้องสาวเพื่อนที่ไปด้วยกันอดควักกระเป๋าไม่ได้เหมือนกัน
เราเดินดูโดยรอบตัวเมืองกันสักพักเมื่อออกจากห้างมาแล้ว จากนั้นผมจึงขอให้เพื่อนพาไปร้านอินเทอร์เน็ต เพื่อจะได้ดูข่าวคราวเพื่อน ๆ ในสังคมออนไลน์นั่นแหละ แฮ่ ไม่ใช่เฟซบุ๊กหรอกครับ เพราะถ้าจะว่าตามจริงนั้นแรกเริ่มผมไม่เคยคิดจะเล่นเฟซบุ๊กเลย แต่ทีนี้เพื่อน ๆ ที่ติดต่อกันในสังคมอื่นหนีมาอยู่เฟซบุ๊กกันหมดน่ะสิ ผมจะทำอย่างไรได้ล่ะนอกจากตามมาในที่สุด ก่อนที่จะติดเสียงอมแงมนั่นแหละ
นอกเรื่องอีกจนได้ มาว่ากันต่อดีกว่า แฮ่
ร้านซึ่งให้บริการทางอินเทอร์เน็ตของที่นี่จะแตกต่างจากบ้านเราอยู่มากทีเดียว เช่นว่าบ้านเรานั้นต้องนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงเวลาเล่น แต่ที่นี่จอคอมฯ จะหันเข้าหากำแพงมากกว่า ฅนเล่นจึงต้องนั่งหันหลังเข้ากำแพงแทน แถมด้านข้างก็ยังปิดกั้นมิดชิด ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาชะโงกมองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เรียกว่าเป็นส่วนตัวกันสุด ๆ แม้จะเล่นในร้านก็ตาม
แต่ผมนั้นคงทำได้แค่เปิดดูอัปเดตของเพื่อน ๆ เสียมากกว่า เพราะแป้นพิมพ์จะมีแต่ภาษาอังกฤษ ซึ่งผมเองนอกจากภาษาไทยแล้วภาษาอื่น ๆ ก็ดูจะงูงูปลาปลาเสียทั้งหมด (ภาษาไทยก็ใช่ว่าจะแตกฉานอะไรด้วย)
.
จากนั้นสักพักเราจึงกลับไปยังบ้านพี่สาวของเพื่อนผมอีกครั้ง หลังกินข้าวปลาอาหารที่เขาหามาต้อนรับแล้ว เรานั่งคุยกันได้สักพักโทรศัพท์ของเพื่อนผมก็ดังขึ้น…
“รอผมที่นี่ได้ไหม เพื่อนผมโทรมาตามให้ไปงานแต่ง” เพื่อนบอกกับผมหลังจบการสนทนา
‘เฮ้ย ได้ไง’
ผมรีบค้านทันที เพื่อนทำท่าคิดสักพักก่อนพาเราสองฅนไปด้วยกัน
.
เมื่อไปถึงบ้านงานก็เห็นว่ามีแขกเหรื่ออยู่พอควร เพื่อนพาเราสองฅนไปนั่งรวมกับผู้ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะตัวหนึ่ง
การเข้ามาอย่างผิดกฎหมายแล้วต้องมาเข้าสังคมกับฅนไม่รู้จัก แถมมีการกินเหล้ากินยาแบบนี้ก็ทำให้ผมอดจะเกร็งไม่ได้เหมือนกัน สักพักเพื่อนผมจึงบอกว่า ฅนที่นั่งร่วมโต๊ะทุกฅนนั้นต่างเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันกับเขาทั้งหมดนั่นแหละ จึงค่อยเบาใจกันได้หน่อย แฮ่
งานเลี้ยงที่นี่จะนิยมเสิร์ฟเบียร์กระป๋อง ซึ่งจะมีเด็ก ๆ คอยเอามาวางให้เมื่อกระป๋องถูกเปิด เรียกว่าเปิดกระป๋องหนึ่งก็วางกันกระป๋องหนึ่ง นานเข้าอาจจะด้วยความขี้เกียจหรืออย่างไรก็แล้วแต่ จึงกลายเป็นเปิดกระป๋องหนึ่งวางสองกระป๋อง สุดท้ายก็ยกมาวางเสียทั้งถาดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ฮ่า
.
อย่างที่เคยบอกว่าผมนั้นจะเลิกเหล้าเลิกเบียร์มานานแล้ว เมื่อมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาก็ต้องคอยปฏิเสธว่าไม่ดื่ม ซึ่งก็ไม่มีใครบังคับกันมากมายหรอก แต่นิสัยการดื่มของฅนที่นี่นั้นจะต้องชนแก้วทุกครั้งที่ยกดื่ม (ในที่นี้คือชนกระป๋อง) เรียกว่าจะดื่มทีเป็นต้องยกมาชนเฮฮากันที ผมก็เหมือนตัวประหลาดสิครับทีนี้ ขณะที่เขาเฮฮาผมได้แต่นั่งนิ่ง จะฮาฮาไปกับเขาก็คงจะแปลกน่าดู ในที่สุดก็ตะบะแตกจนได้ ดื่มก็ดื่มวะ จะได้ดูกลมกลืนหน่อย นาน ๆ ครั้งคงไม่เป็นไรหรอก มีปลอบใจตัวเองอีกต่างหาก
และงานเลี้ยงที่นี่นั้นจะเน้นดื่มกินกันจริง ๆ ยอมรับว่าอาหารแต่ละอย่างเหนือความคาดหมายบ้างเหมือนกัน อย่างต้มยำกุ้งตัวโต ๆ แบบนี้ อย่าลืมว่าที่นี่อยู่ไกลทะเลมากและอาหารทะเลก็มีราคาแพงมากด้วยนะครับ
อีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อกระทะหรือเนื้อย่างเกาหลี (ฅนที่นี่จะนิยมกินเนื้อวัวมากกว่าหมู) ซึ่งมีกันถึงสองกระทะเลยทีเดียว แต่เจ้ากรรม ผมไม่ได้กินมันเลยสักคำ นั่นเพราะทันทีที่เนื้อถูกวางลงบนกระทะ มันก็จะถูกคีบไปจิ้มน้ำจิ้มส่งเข้าปากในทันทีเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเลือดไม่ทันหยุดหยดนะครับ ต้องเรียกว่าถึงเขาจะคีบจากถ้วยไปจิ้มน้ำจิ้มกันเลยก็คงไม่ต่าง เล่นกินแบบนี้แล้วใครจะไปกินทันกันล่ะ ต่อให้มีสักสิบกระทะก็เถอะ
.
นั่งกินกันไปผมยังอดห่วงไม่ได้ กลัวว่าเพื่อนจะติดลมจนไม่ทันได้ขึ้นเขาสำเภา จึงมีการคอยเตือนเป็นระยะ และระหว่างที่นั่งกินกันนี้ก็มีการเปิดเพลงเต้นรำกันไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ วัยรุ่นหนุ่มสาวทุกวันนี้ไม่นิยมรำวงกันแล้ว เมื่อใดที่มีเสียงเพลงรำวง หนุ่ม ๆ สาว ๆ จะพากันเดินออก ปล่อยให้ฅนแก่วาดลวดลายกันไป ต่อเมื่อเปิดเพลงฮิปฮอปจึงจะเข้าไปเต้นแร้งเต้นกากันอีกที ก็เป็นเรื่องของยุคสมัยนั่นแหละครับ
เมื่อต่างฅนต่างเริ่มได้ที่อิ่มหมีพีมันแล้ว เจ้าภาพก็มาเอาซองมาแจก แฮ่ ฟังไม่ผิดหรอกครับ มาแจกซองนั่นแหละ... ซึ่งการแจกซองนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างบ้านเขาบ้านเราอย่างชัดเจน
บ้านเราสังคมไฮโซนั้นผมไม่รู้นะครับ แต่ถ้าเอาแบบบ้านนอกบ้านนาบ้านผมกับงานเลี้ยงแบบนี้นั้น มันจะมีบุคคลบางจำพวกประเภทที่ว่า ซองเดียวไปกันทั้งบ้าน โดยอ้างว่าอยากจ่าหน้าซองลงท้าย ‘และครอบครัว’ ทำไมล่ะ ซึ่งนิสัยแบบนี้นั้นที่นี่หมดสิทธิ์ใช้ครับ เพราะจะมีการกำหนดชัดเจนกันไปเลยว่าต้องจ่ายเป็นรายหัวฅนละเท่าไร โดยคำนวณจากอาหารที่เจ้าภาพจัดเลี้ยงนั่นแหละ โต๊ะไหนมีใครเบี้ยว (ซึ่งปกติจะหายาก) พวกที่อยู่ต้องรับผิดชอบ
และการแจกซองก็เพื่อให้แขกใส่กันตอนนั้นเลย เป็นการยืนยันว่าจ่ายแล้วแน่นอน ผมว่าก็ยุติธรรมดีนะครับแบบนี้ ไม่ต้องกลัวชักดาบไม่ต้องกลัวขาดทุน
และงานนี้เราต้องจ่ายฅนละห้าร้อย ซึ่งก็คุ้มค่ากับอาหารที่กินกันนั่นแหละ โดยเฉพาะเบียร์ที่เสิร์ฟกันไม่อั้นอย่างที่บอก เพื่อนผมเป็นฅนรับผิดชอบในส่วนของผมกับน้องสาวเพื่อนโดยไม่ยอมให้เราได้จ่าย ซึ่งตอนแรกเราไม่รู้ด้วยว่าเขาใช้ระบบนี้กันจึงยอมให้เพื่อนจ่าย เท่ากับงานนี้เพื่อนผมหมดไปพันห้าร้อยบาท นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาอยากให้เรารออยู่บ้านพี่สาวของเขาแต่แรกก็ได้ แม้จะกินคุ้มแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นเงินไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับชาวบ้านที่ต้องกินอยู่ประหยัดอย่างเรากัน
และแม้จะจ่ายค่าอาหารไปแล้ว แต่เพื่อนผมยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากโต๊ะเสียที ไอ้ผมก็ห่วงเรื่องการขึ้นเขาสำเภากลัวจะไม่ทันนั่นแหละ และเมื่อเริ่มเย็นลงวัยรุ่นที่มาเต้นกันก็ดูจะมีมากขึ้น
“นี่ถ้าเป็นเมืองไทยวัยรุ่นมันตีกันแล้ว” ผมอดบอกกับเพื่อนไปแบบนั้นไม่ได้
“เขมรไม่มีตีกัน” เพื่อนผมตอบมา แม้คำว่าเขมรนั้นฅนส่วนใหญ่จะถือว่าเป็นคำเรียกแบบดูถูกก็ตาม แต่เพื่อนผมและอีกหลายฅนซึ่งผมได้รู้จักที่นี่มักเรียกตัวเองว่าเขมรกับผมอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องหัดเรียกเขาว่าแขมร์ให้ชินปากนั่นแหละ
และแทบไม่ทันขาดคำของเพื่อนผมเลยทีเดียว วัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ชกต่อยกันชุลมุน ผมไวอยู่แล้วงานนี้ แฮ่ ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ แค่รีบล้วงมือถือออกมาบันทึกวิดีโอไว้เท่านั้นแหละ แต่เพียงไม่ถึงนาทีการตะลุมบอนนั้นก็เลิกรากันไป
“นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เขมรมีตีกัน” เพื่อนผมพูดแก้เก้อออกมา แต่งานนี้ก็ทำให้เขาลุกจากโต๊ะและพาไปเขาสำเภาได้เสียที ส่วนเขาสำเภาจะมีอะไรหรือเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
(พระตะบองในวันนั้น)
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๕)
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๕ ตีกันงานแต่ง
บัตด็อมบองมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง อย่างน้อยวันนี้ที่นี่ก็มีห้างสรรพสินค้าแล้ว บรรดาตึกซึ่งสมัยก่อนเป็นเพียงตึกร้างนั้นต่างได้รับการบูรณะซ่อมแซมกลายเป็นที่พักอาศัยห้างร้านหมดแล้วเช่นกัน เมืองมีการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด หากถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างที่บอก แต่บรรยากาศเก่า ๆ นั้นยังคงมีให้ได้เห็นเช่นกัน
สถานที่แรกซึ่งเพื่อนผมพาไปก็คือห้างสรรพสินค้าเพิ่งเปิดใหม่ของที่นี่ เท่าที่ได้เดินดูภายในผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ห้างสรรพสินค้านั้นอาจไม่ได้รับความนิยมจากฅนที่นี่สักเท่าไรนัก อย่างน้อยก็ตอนนี้ (ตอนที่ได้ไปหลายปีก่อนนะครับ ตอนที่เขียนนี่ไม่รู้เหมือนกัน) เพราะเท่าที่เห็นนั้นสินค้าจะมีบางตาพอ ๆ กับฅนที่มาเดิน ห้างนั้นดูกว้างขวางทีเดียว หากแต่พื้นที่บางส่วนยังคงว่างเปล่า และมืดสลัว ไฟจะถูกเปิดเฉพาะจุดที่มีร้านค้าเท่านั้น บันไดเลื่อนซึ่งมีอยู่หลายตัวนิ่งสนิท ไม่มีการเปิดใช้งานแต่อย่างใด คงต้องการประหยัดค่าไฟเนื่องจากลูกค้าน้อย สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อผ้าเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้น้องสาวเพื่อนที่ไปด้วยกันอดควักกระเป๋าไม่ได้เหมือนกัน
เราเดินดูโดยรอบตัวเมืองกันสักพักเมื่อออกจากห้างมาแล้ว จากนั้นผมจึงขอให้เพื่อนพาไปร้านอินเทอร์เน็ต เพื่อจะได้ดูข่าวคราวเพื่อน ๆ ในสังคมออนไลน์นั่นแหละ แฮ่ ไม่ใช่เฟซบุ๊กหรอกครับ เพราะถ้าจะว่าตามจริงนั้นแรกเริ่มผมไม่เคยคิดจะเล่นเฟซบุ๊กเลย แต่ทีนี้เพื่อน ๆ ที่ติดต่อกันในสังคมอื่นหนีมาอยู่เฟซบุ๊กกันหมดน่ะสิ ผมจะทำอย่างไรได้ล่ะนอกจากตามมาในที่สุด ก่อนที่จะติดเสียงอมแงมนั่นแหละ
นอกเรื่องอีกจนได้ มาว่ากันต่อดีกว่า แฮ่
ร้านซึ่งให้บริการทางอินเทอร์เน็ตของที่นี่จะแตกต่างจากบ้านเราอยู่มากทีเดียว เช่นว่าบ้านเรานั้นต้องนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงเวลาเล่น แต่ที่นี่จอคอมฯ จะหันเข้าหากำแพงมากกว่า ฅนเล่นจึงต้องนั่งหันหลังเข้ากำแพงแทน แถมด้านข้างก็ยังปิดกั้นมิดชิด ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาชะโงกมองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เรียกว่าเป็นส่วนตัวกันสุด ๆ แม้จะเล่นในร้านก็ตาม
แต่ผมนั้นคงทำได้แค่เปิดดูอัปเดตของเพื่อน ๆ เสียมากกว่า เพราะแป้นพิมพ์จะมีแต่ภาษาอังกฤษ ซึ่งผมเองนอกจากภาษาไทยแล้วภาษาอื่น ๆ ก็ดูจะงูงูปลาปลาเสียทั้งหมด (ภาษาไทยก็ใช่ว่าจะแตกฉานอะไรด้วย)
.
จากนั้นสักพักเราจึงกลับไปยังบ้านพี่สาวของเพื่อนผมอีกครั้ง หลังกินข้าวปลาอาหารที่เขาหามาต้อนรับแล้ว เรานั่งคุยกันได้สักพักโทรศัพท์ของเพื่อนผมก็ดังขึ้น…
“รอผมที่นี่ได้ไหม เพื่อนผมโทรมาตามให้ไปงานแต่ง” เพื่อนบอกกับผมหลังจบการสนทนา
‘เฮ้ย ได้ไง’
ผมรีบค้านทันที เพื่อนทำท่าคิดสักพักก่อนพาเราสองฅนไปด้วยกัน
.
เมื่อไปถึงบ้านงานก็เห็นว่ามีแขกเหรื่ออยู่พอควร เพื่อนพาเราสองฅนไปนั่งรวมกับผู้ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะตัวหนึ่ง
การเข้ามาอย่างผิดกฎหมายแล้วต้องมาเข้าสังคมกับฅนไม่รู้จัก แถมมีการกินเหล้ากินยาแบบนี้ก็ทำให้ผมอดจะเกร็งไม่ได้เหมือนกัน สักพักเพื่อนผมจึงบอกว่า ฅนที่นั่งร่วมโต๊ะทุกฅนนั้นต่างเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันกับเขาทั้งหมดนั่นแหละ จึงค่อยเบาใจกันได้หน่อย แฮ่
งานเลี้ยงที่นี่จะนิยมเสิร์ฟเบียร์กระป๋อง ซึ่งจะมีเด็ก ๆ คอยเอามาวางให้เมื่อกระป๋องถูกเปิด เรียกว่าเปิดกระป๋องหนึ่งก็วางกันกระป๋องหนึ่ง นานเข้าอาจจะด้วยความขี้เกียจหรืออย่างไรก็แล้วแต่ จึงกลายเป็นเปิดกระป๋องหนึ่งวางสองกระป๋อง สุดท้ายก็ยกมาวางเสียทั้งถาดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ฮ่า
.
อย่างที่เคยบอกว่าผมนั้นจะเลิกเหล้าเลิกเบียร์มานานแล้ว เมื่อมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาก็ต้องคอยปฏิเสธว่าไม่ดื่ม ซึ่งก็ไม่มีใครบังคับกันมากมายหรอก แต่นิสัยการดื่มของฅนที่นี่นั้นจะต้องชนแก้วทุกครั้งที่ยกดื่ม (ในที่นี้คือชนกระป๋อง) เรียกว่าจะดื่มทีเป็นต้องยกมาชนเฮฮากันที ผมก็เหมือนตัวประหลาดสิครับทีนี้ ขณะที่เขาเฮฮาผมได้แต่นั่งนิ่ง จะฮาฮาไปกับเขาก็คงจะแปลกน่าดู ในที่สุดก็ตะบะแตกจนได้ ดื่มก็ดื่มวะ จะได้ดูกลมกลืนหน่อย นาน ๆ ครั้งคงไม่เป็นไรหรอก มีปลอบใจตัวเองอีกต่างหาก
และงานเลี้ยงที่นี่นั้นจะเน้นดื่มกินกันจริง ๆ ยอมรับว่าอาหารแต่ละอย่างเหนือความคาดหมายบ้างเหมือนกัน อย่างต้มยำกุ้งตัวโต ๆ แบบนี้ อย่าลืมว่าที่นี่อยู่ไกลทะเลมากและอาหารทะเลก็มีราคาแพงมากด้วยนะครับ
อีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อกระทะหรือเนื้อย่างเกาหลี (ฅนที่นี่จะนิยมกินเนื้อวัวมากกว่าหมู) ซึ่งมีกันถึงสองกระทะเลยทีเดียว แต่เจ้ากรรม ผมไม่ได้กินมันเลยสักคำ นั่นเพราะทันทีที่เนื้อถูกวางลงบนกระทะ มันก็จะถูกคีบไปจิ้มน้ำจิ้มส่งเข้าปากในทันทีเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเลือดไม่ทันหยุดหยดนะครับ ต้องเรียกว่าถึงเขาจะคีบจากถ้วยไปจิ้มน้ำจิ้มกันเลยก็คงไม่ต่าง เล่นกินแบบนี้แล้วใครจะไปกินทันกันล่ะ ต่อให้มีสักสิบกระทะก็เถอะ
.
นั่งกินกันไปผมยังอดห่วงไม่ได้ กลัวว่าเพื่อนจะติดลมจนไม่ทันได้ขึ้นเขาสำเภา จึงมีการคอยเตือนเป็นระยะ และระหว่างที่นั่งกินกันนี้ก็มีการเปิดเพลงเต้นรำกันไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ วัยรุ่นหนุ่มสาวทุกวันนี้ไม่นิยมรำวงกันแล้ว เมื่อใดที่มีเสียงเพลงรำวง หนุ่ม ๆ สาว ๆ จะพากันเดินออก ปล่อยให้ฅนแก่วาดลวดลายกันไป ต่อเมื่อเปิดเพลงฮิปฮอปจึงจะเข้าไปเต้นแร้งเต้นกากันอีกที ก็เป็นเรื่องของยุคสมัยนั่นแหละครับ
เมื่อต่างฅนต่างเริ่มได้ที่อิ่มหมีพีมันแล้ว เจ้าภาพก็มาเอาซองมาแจก แฮ่ ฟังไม่ผิดหรอกครับ มาแจกซองนั่นแหละ... ซึ่งการแจกซองนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างบ้านเขาบ้านเราอย่างชัดเจน
บ้านเราสังคมไฮโซนั้นผมไม่รู้นะครับ แต่ถ้าเอาแบบบ้านนอกบ้านนาบ้านผมกับงานเลี้ยงแบบนี้นั้น มันจะมีบุคคลบางจำพวกประเภทที่ว่า ซองเดียวไปกันทั้งบ้าน โดยอ้างว่าอยากจ่าหน้าซองลงท้าย ‘และครอบครัว’ ทำไมล่ะ ซึ่งนิสัยแบบนี้นั้นที่นี่หมดสิทธิ์ใช้ครับ เพราะจะมีการกำหนดชัดเจนกันไปเลยว่าต้องจ่ายเป็นรายหัวฅนละเท่าไร โดยคำนวณจากอาหารที่เจ้าภาพจัดเลี้ยงนั่นแหละ โต๊ะไหนมีใครเบี้ยว (ซึ่งปกติจะหายาก) พวกที่อยู่ต้องรับผิดชอบ
และการแจกซองก็เพื่อให้แขกใส่กันตอนนั้นเลย เป็นการยืนยันว่าจ่ายแล้วแน่นอน ผมว่าก็ยุติธรรมดีนะครับแบบนี้ ไม่ต้องกลัวชักดาบไม่ต้องกลัวขาดทุน
และงานนี้เราต้องจ่ายฅนละห้าร้อย ซึ่งก็คุ้มค่ากับอาหารที่กินกันนั่นแหละ โดยเฉพาะเบียร์ที่เสิร์ฟกันไม่อั้นอย่างที่บอก เพื่อนผมเป็นฅนรับผิดชอบในส่วนของผมกับน้องสาวเพื่อนโดยไม่ยอมให้เราได้จ่าย ซึ่งตอนแรกเราไม่รู้ด้วยว่าเขาใช้ระบบนี้กันจึงยอมให้เพื่อนจ่าย เท่ากับงานนี้เพื่อนผมหมดไปพันห้าร้อยบาท นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาอยากให้เรารออยู่บ้านพี่สาวของเขาแต่แรกก็ได้ แม้จะกินคุ้มแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นเงินไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับชาวบ้านที่ต้องกินอยู่ประหยัดอย่างเรากัน
และแม้จะจ่ายค่าอาหารไปแล้ว แต่เพื่อนผมยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากโต๊ะเสียที ไอ้ผมก็ห่วงเรื่องการขึ้นเขาสำเภากลัวจะไม่ทันนั่นแหละ และเมื่อเริ่มเย็นลงวัยรุ่นที่มาเต้นกันก็ดูจะมีมากขึ้น
“นี่ถ้าเป็นเมืองไทยวัยรุ่นมันตีกันแล้ว” ผมอดบอกกับเพื่อนไปแบบนั้นไม่ได้
“เขมรไม่มีตีกัน” เพื่อนผมตอบมา แม้คำว่าเขมรนั้นฅนส่วนใหญ่จะถือว่าเป็นคำเรียกแบบดูถูกก็ตาม แต่เพื่อนผมและอีกหลายฅนซึ่งผมได้รู้จักที่นี่มักเรียกตัวเองว่าเขมรกับผมอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องหัดเรียกเขาว่าแขมร์ให้ชินปากนั่นแหละ
และแทบไม่ทันขาดคำของเพื่อนผมเลยทีเดียว วัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ชกต่อยกันชุลมุน ผมไวอยู่แล้วงานนี้ แฮ่ ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ แค่รีบล้วงมือถือออกมาบันทึกวิดีโอไว้เท่านั้นแหละ แต่เพียงไม่ถึงนาทีการตะลุมบอนนั้นก็เลิกรากันไป
“นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เขมรมีตีกัน” เพื่อนผมพูดแก้เก้อออกมา แต่งานนี้ก็ทำให้เขาลุกจากโต๊ะและพาไปเขาสำเภาได้เสียที ส่วนเขาสำเภาจะมีอะไรหรือเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
(พระตะบองในวันนั้น)