สวัสดีค่ะ อยากจะแชร์ประสบการณ์ทำงานช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเ เราเปลี่ยนที่ทำงานมาทั้งหมด 4 เลยอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนได้อ่านและอยากจะให้กำลังใจทุกๆคนที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงานค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 ประมาณเดือน พฤษจิกายน เราทำงานในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ได้ทำงานที่นี่มาเกือบ 3 ปี ยอมรับเลยว่ารู้สึกผูกพันกับที่นี่มาก เพื่อนร่วมงานดี หัวหน้างานดี สังคมก็ดี งานที่ได้รับผิดชอบก็รู้สึกว่าเป็นตัวเรามากๆ
จนมาถึงช่วงโควิด เพราะเราเป็นลูกจ้างเหมาบริการ ในการทำงานจะต้องมีงบจ้าง และสถานการณ์ของทางบ้านก็ไม่มีดีมากด้วย เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คิดที่จะเปลี่ยนงาน
แต่ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น เราเป็นคนที่กลัวการเริ่มต้นใหม่ เข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง ถ้าจะไปเริ่มใหม่หลายๆอย่างมันก็กลัวที่จะเริ่มต้น ระหว่างนั้นก็ได้สมัครงานไปด้วยโดยเริ่มจากที่ใกล้บ้านก่อน แต่จุดเปลี่ยนมันคือมันไม่ได้หยุด ส-อา. นักขัต เหมือนที่ที่เก่า
จนได้สัมภาษณ์เข้าทำงานกับบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง เป็นสาขาย่อยแถวๆบ้าน ระบบงานที่เค้าแนะนำก็รู้สึกว่าโอเค เราสามารถทำได้ เงินเดือน 14K ไม่รวมค่าคอม ซึ่งน้องที่รู้จักกันก็การันตรีว่าร้านนี้ค่าคอมเยอะ เพราะลูกค้าเจ้าใหญ่ส่งกันเยอะ คิดอยู่ประมาณอาทิตย์นึงจึงตัดสินใจลาออกจากยื่นลาออกจากที่เก่า และเริ่มงานใหม่ ในช่วงปลายเดือน ธันวาคม 65
เราได้เริ่มงานใหม่งานที่ 1 ช่วงนั้นหยุดปีใหม่พอดี ยกเลิกทริปทั้งหมดเพื่อเริ่มงานที่ใหม่55555 คนอื่นได้หยุดส่วนชั้นทำงานจ้า เข้าไปวันแรกตื่นเต้นมาก งานก็ไม่น่ายากอะไร เพราะว่าแค่คีย์ของเข้าระบบ กรอกเบอร์โทรต่างๆ รับเงินลูกค้าปิดยอดร้าน เออชิวๆแหละ วันแรกผ่านไปกลับบ้าน 1 ทุ่ม ก็โอเคอยู่นะก็ทำเรื่อยมาจนเข้าวันที่ 5 ผจก.ร้าน ปรับเวลาให้เราเข้างาน 10.00 น. และดูแลถือเงินทอน เรื่องบัญชีในร้าน ทำผ่านมาเข้าอาทิตย์ที่สอง เริ่มรู้สึกนิดว่าเพราะเราเลิกงานเกือบ 5 ทุ่มมาสองวันติดกัน ของที่ส่งให้ลูกค้าตีกลับเยอะต้องตามของ มีของหลุดสถานะอีก รับงานเจ้าใหญ่เยอะมาก ลูกค้ารายวันก็เยอะ และเริ่ม ปสด. ผ่านไป 1 เดือน เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น เลิกงาน ตี 1 ติดกันอาทิตย์นึง โอทีไม่ได้ โดนค่าปรับร้านอีกสินค้ามีปัญหา เพื่อนที่ทำงานไม่ตอบโจทย์ ใช้คำว่าสภาพพพพพ กับตัวเองแบบหนักมาก แต่คิดว่าต้องมีอะไรที่ดีขึ้นแหละ รับเด็กใหม่เข้ามาทำงาน สองคน มันเจองานที่ต้องทำเข้าไปทำไม่ถึงอาทิตย์ ลาออก5555555555555 แต่ชั้นยังอยู่ ทำไปทำมา เข้าสู่เดือนที่ 2 วิกฤตละ เงินค่าคอม ที่ว่าจะได้ ไม่ได้เลยทั้งๆที่งานเลิกเกือยเที่ยงคืนมาตลอด มีแต่ค่าปรับ เจอลูกค้าที่แบบ คนนิสัยแบบนี้มีอยู่บนโลกด้วยอะ ปสด. มาก คิดว่าพนักงานคือที่ระบายอารมณ์ประมาณนั้น เริ่มไม่โอเค เดือนที่ 3 หนักสุดๆ เลิกงานตี1 ทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน ลูกค้าตามของที่ส่งโหดมาก และสั่งงานเราเหมือนเป็นแอดมินของทางร้านเลย ต้องสรุปยอดของที่ส่ง ของตีกลับต้องทำในexCal งานที่ร้านก็ต้องทำแล้วทำงานที่บริษัทของลูกค้าอีก กลุ่มไลน์ก็คือเดือดมากทุกวัน เดือนที่ 3 คือเราอยู่กับความรู้สึกแบบนี้มาตลอด จนคิดว่าไม่ไหวแล้ว ทำไมต้องมาทนให้คนอื่นด่า เพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัว เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น เปลี่ยนงานค่ะ
เริ่มหางานใหม่ทันที งานที่ 2 ที่ได้คือเป็นเจ้าหน้าที่บัญชี ของบริษัทแห่งหนึ่งแถวบ้าน ซึ่งเค้ามีหลายสาขา ค่อนข้างติดตลาดแล้วก็ดูมั่นคง แต่งานด้านบัญชีเราเพิ่งเคยทำครั้งแรก ก็เป็นการปรับตัวอยู่พอสมควร แต่ก็เรียนรู้ได้ไม่เป็นไร งานที่ได้รับผิดชอบก็ออกบิลธรรมดา ใบกำกับภาษี ส่งงบนั้นนี้ทำไปสักพัก เด็กที่ทำงานที่ร้านลาออก ติดกัน เลย สองคน ทั้งๆที่เค้าทำงานมาเกือบ 10 ปี ด้วยอะไรหลายๆอย่างเค้าอยู่ไม่ได้ แต่คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเรา เออไม่เป็นไรหรอก เราทำงานได้ ทำไปทำมาสักพัก เริมละเดือนและ เงินเดือนจ่ายไม่ตรง เป็นระบบที่แบบเค้าหมุนเงินกันเอง และเป็นระบบครอบครัวมากๆ ตอนที่รับทำงานตอนแรกเค้าไม่แจ้ง เดือนแรกได้เงินไม่ครบ เค้าติดไปไว้เดือนหน้า รายจ่ายในแต่ละวันของเค้าคือแบบ เยอะมาก ซึ่งพนักงานใครจะเบิกรายวัน รายอาทิตย์ก็ได้ สลิปเงินเดือนไม่มี เริ่มอีกละ ไม่โอเคเลย เพราะทำงานมาควรจะได้เงินตรงเดือน เข้าเดือนที่ 2 เอาอีก ทีนี่กระทบกับชีวิตเราละ เพราะรายรับไม่พอรายจ่าย เงินที่ได้ไม่ตรงกับทิ่คิดไว้ ไม่เท่าไร ทำงานทุกหน้าที่ไปเลย และเนื่องจากเป็นระบบครอบครัว เค้าเลยแบบทำตามใจเมียบ้าง วันไหนทะเลาะกัน ก็มาลงที่บริษัทบ้าง มองการไกลละ อยู่ไม่ได้แน่นอน ไม่เคยเขียนแบบไม่เคยรับลูกค้าหน้าร้าน ต้องไปวาดแบบให้ช่าง จากที่ทำเรื่องบัญชีอย่างเดียวดันต้องไปรับลูกค้าอีก แล้วช่างที่ประสานงานด้วยคือ ไม่สามารถบรรยายมาเป็นคำพูดได้จริงๆอะหางานใหม่อีกเป็น รอบที่ 3 งานนี้เป็นงานนิติบุคคล หมู่บ้าน ไม่เคยทำมาก่อนและไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไรบ้าง คิดว่าแค่รับเงินออกบิลแค่นั้น เลยลองสัมภาษณ์ดู สรุปว่าผ่านเลยลาออกงานที่ 2 แบบไม่คิดเลย
งานที่ 3 รู้สึกว่าเป็นตัวเองมากที่สุด งานที่เป็นเอกสารอยู่ในออฟฟิตและที่สำคัญทำงานคนเดียว โดยจะมีกรรมการในหมู่บ้านเป็นหัวหน้างาน รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้ทำงานนี้เลยตั้งใจทำงานแบบเต็มที่ และผลงานก็ออกมาค่อนข้างดีเลย จะมีปวดหัวและมีปัญหาอยู่บ้างซึ่งทุกงานก็คือต้องมีอยุ่แล้ว ทำมาได้ดีตลอดจนเข้าเดือนที่ 3 เริ่มไม่เป็นเวลางานละ เข้างาน9 โมง เค้าโทรมาสั่งงานเราตั้งแต่ 7 โมงเช้า สี่ทุ่ม 5 ทุ่มมาตอบไลน์ลูกบ้าน แต่ทีนี่คือเราปรับที่ตัวเราเอง เวลาเลิกงานคือเลิก เวลาทำงานคือทำงาน โอเคก็จัดการได้ จากเริ่มงาน เค้าเริ่มเงินเดือนที่ 12K เราทำผลงานได้ดี จนเค้าปรับขึ้นเงินเดือนให้ 15K ภายใน 6 เดือน ซึ่งเป็นที่น่าพอใจมาก เราก็ทำงานแฮปปี้มาตลอด ที่ผ่านมาก็มีหลายๆเหตุการณรแหละที่ไม่โอเค แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร จนกระทั่งได้ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ แห่งหนึ่งโดยการอนุมัติเป็นไปตามมติกรรมการ ซึ่งแน่นอน ความเห็นของพวกเค้าไม่ตรงกันและทำให้เราทำงานยาก ประสานงานกับหน่วยงานไปแล้วเอาแบบนี้ แล้วเปลี่ยนกลับไปกลับมาจนแบบ ไม่ใช่อะ คิดว่าถ้าโอเคแล้ววก็คือคิดว่าทุกคนตอบตกลงมาแล้วถึงให้เราประสานต่อ แต่พอประสานต่อแล้วมาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันไม่ใช่มือชีพเลย แล้วอย่างนึงคือเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ข้างบนเค้าไม่ถูกกันไม่ลงรอยกัน มันกระทบกับเรา
เลยตัดสินใจครั้งสุดท้าย ครั้งนี่ถ้าเปลี่ยนงานคือ จะต้องสอบให้ติดไม่เป็นพนักงานราชการ หรือ ข้าราชการให้ได้ มุ่งอ่านหนังสือทุกเย็นหลังเลิกงาน ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือก่อนมาทำงาน สมัครสอบทุกสนามที่เป็นพนักงานราชการ จนผลลัพท์ออกมาคือ ติดรายชื่ออยู่ 3 กรม รู้สึกดีใจมาก แล้วอันดับคือ ต้องโดนเรียกแน่ๆ ตัดสินใจแจ้งกรรมการ ว่าเราจะลาออกช่วงประมาณเดือน ธันวาคม 66 หลังจากนั้นแหละ ทุกคนเปลี่ยนเลย แต่ก็กดดันกันมากขึ้นงานที่ต้องทำต้องเสร็จตอนนี้ กดดันเราระดับนึง พูดหว่านล้อมเราสารพัด ไม่อยากให้เราไป แต่มันสะสมมานานแล้ว อยู่มาเกือบ 8 เดือน มันเลยทำให้รู้ว่าเราไม่สารมารถจะไปต่อได้เลยทั้งความคิด ทั้งการกระทำของคนที่สั่งงานเรา มันไม่ใช่อะ ระหว่างที่รอเรียก เราก็เคลียงานพร้อมส่งมอบ แต่ก็หางานใหม่ไปด้วยนะ งานนี้คิดว่าเราคาดหวังมากเลย ทำทุกทาง บนทุกที่ มูทุกสำนัก
และในที่สุด บริษัท มหาชน แห่งนึงก็โทรมาให้เราไปสัมภาษณ์ ดีใจมากๆอีกครั้งเพราะเป็นเครือของบริษัทใหญ่ ตกลงสัมภาษณ์ทันทีที่เค้าติดต่อมา แต่ก็มีเรื่องให้พีคอยู่คือเค้าให้สัมเป็นภาษาอังกฤษ แต่ชั้นผู้ซึ่งโง่อิงค์มากกกกก ตอนนั่งรอสัมแว๊บนึงจะหนีกลับเลย รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก ชั้นพูดไม่ได้แน่ๆ แต่ในแว๊บนึงก็ ไม่เป็นไรหรอก ลองดูเค้าไม่รู้จักเรา ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สัมภาษณ์เสร็จจะได้กลับ เลยสู้อีก พูดแนะนำตัวไปงูๆปลาๆ และก็บอกกับกรรมการไปตรงๆว่า ขออนุญาตพูดเป็นภาษาไทย เพราะยังไม่ค่อยเก่งอิงค์ เขินมาก แต่พอเป็นภาษาไทย มั่นใจสุดๆ กรรมการดูสนใจในประวัติการทำงานของเราที่ผ่านมา555555 สัมกันอยู่นานก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ทำที่นี่นะ เพราะเค้าต้องการตนเกางอิงค์แน่ๆ
รอประมาณ 2 อาทิตย์ ทางบริษัทติดต่อกลับมาว่าเราได้ทำงานที่นี่ กริ๊ดลั่นบ้านเลย ดีใจมากกก เงินเดือน สวัสดิการ แล้วยังได้หยุดส.-อาทิตย์อีก สายมูคือของจริงมากๆ ตกลงเซ็ยสัญญาแล้วยื่นลาออกที่เก่า คือก็มีผลเดือนนั้นเลย
สรุปเราเปลียนงานมาทั้งหมด 3 งาน งานแรก ทำ 6 เดือน งานที่ 2 ทำงานอยู่ 3 เดือน งานที่ 3 ทำงานอยู่ 1 ปี
ปัจจุบันได้ทำงานที่นี่แล้วโอเคสุดๆ เพื่อนรวมงานดี มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น การทำงานที่ดีควรทำงานแค่ 5 วันต่อสัปดาห์จริงๆนะ อยากจะบอกเพื่อนๆที่กำลังจะเปลี่ยนงาน หรือลาออกแล้วไม่กล้าจะลาออก ลองดูค่ะ เราสามารถเลือกที่เราสบายใจที่จะอยู่ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเราไม่เก่งหรือไม่มีความสามารถอะไร ทุกคนมีดีหมดอยุ่ที่ว่าจะเอาความสามารถของตัวเองมาใช้ในด้านไหนเท่านั้นเอง
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า
[CR] แชร์ประสบการณ์เปลี่ยนที่ทำงาน มากกว่า 4 ครั้งภายใน 1 ปี
แต่ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น เราเป็นคนที่กลัวการเริ่มต้นใหม่ เข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง ถ้าจะไปเริ่มใหม่หลายๆอย่างมันก็กลัวที่จะเริ่มต้น ระหว่างนั้นก็ได้สมัครงานไปด้วยโดยเริ่มจากที่ใกล้บ้านก่อน แต่จุดเปลี่ยนมันคือมันไม่ได้หยุด ส-อา. นักขัต เหมือนที่ที่เก่า
จนได้สัมภาษณ์เข้าทำงานกับบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง เป็นสาขาย่อยแถวๆบ้าน ระบบงานที่เค้าแนะนำก็รู้สึกว่าโอเค เราสามารถทำได้ เงินเดือน 14K ไม่รวมค่าคอม ซึ่งน้องที่รู้จักกันก็การันตรีว่าร้านนี้ค่าคอมเยอะ เพราะลูกค้าเจ้าใหญ่ส่งกันเยอะ คิดอยู่ประมาณอาทิตย์นึงจึงตัดสินใจลาออกจากยื่นลาออกจากที่เก่า และเริ่มงานใหม่ ในช่วงปลายเดือน ธันวาคม 65
เราได้เริ่มงานใหม่งานที่ 1 ช่วงนั้นหยุดปีใหม่พอดี ยกเลิกทริปทั้งหมดเพื่อเริ่มงานที่ใหม่55555 คนอื่นได้หยุดส่วนชั้นทำงานจ้า เข้าไปวันแรกตื่นเต้นมาก งานก็ไม่น่ายากอะไร เพราะว่าแค่คีย์ของเข้าระบบ กรอกเบอร์โทรต่างๆ รับเงินลูกค้าปิดยอดร้าน เออชิวๆแหละ วันแรกผ่านไปกลับบ้าน 1 ทุ่ม ก็โอเคอยู่นะก็ทำเรื่อยมาจนเข้าวันที่ 5 ผจก.ร้าน ปรับเวลาให้เราเข้างาน 10.00 น. และดูแลถือเงินทอน เรื่องบัญชีในร้าน ทำผ่านมาเข้าอาทิตย์ที่สอง เริ่มรู้สึกนิดว่าเพราะเราเลิกงานเกือบ 5 ทุ่มมาสองวันติดกัน ของที่ส่งให้ลูกค้าตีกลับเยอะต้องตามของ มีของหลุดสถานะอีก รับงานเจ้าใหญ่เยอะมาก ลูกค้ารายวันก็เยอะ และเริ่ม ปสด. ผ่านไป 1 เดือน เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น เลิกงาน ตี 1 ติดกันอาทิตย์นึง โอทีไม่ได้ โดนค่าปรับร้านอีกสินค้ามีปัญหา เพื่อนที่ทำงานไม่ตอบโจทย์ ใช้คำว่าสภาพพพพพ กับตัวเองแบบหนักมาก แต่คิดว่าต้องมีอะไรที่ดีขึ้นแหละ รับเด็กใหม่เข้ามาทำงาน สองคน มันเจองานที่ต้องทำเข้าไปทำไม่ถึงอาทิตย์ ลาออก5555555555555 แต่ชั้นยังอยู่ ทำไปทำมา เข้าสู่เดือนที่ 2 วิกฤตละ เงินค่าคอม ที่ว่าจะได้ ไม่ได้เลยทั้งๆที่งานเลิกเกือยเที่ยงคืนมาตลอด มีแต่ค่าปรับ เจอลูกค้าที่แบบ คนนิสัยแบบนี้มีอยู่บนโลกด้วยอะ ปสด. มาก คิดว่าพนักงานคือที่ระบายอารมณ์ประมาณนั้น เริ่มไม่โอเค เดือนที่ 3 หนักสุดๆ เลิกงานตี1 ทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน ลูกค้าตามของที่ส่งโหดมาก และสั่งงานเราเหมือนเป็นแอดมินของทางร้านเลย ต้องสรุปยอดของที่ส่ง ของตีกลับต้องทำในexCal งานที่ร้านก็ต้องทำแล้วทำงานที่บริษัทของลูกค้าอีก กลุ่มไลน์ก็คือเดือดมากทุกวัน เดือนที่ 3 คือเราอยู่กับความรู้สึกแบบนี้มาตลอด จนคิดว่าไม่ไหวแล้ว ทำไมต้องมาทนให้คนอื่นด่า เพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัว เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น เปลี่ยนงานค่ะ
เริ่มหางานใหม่ทันที งานที่ 2 ที่ได้คือเป็นเจ้าหน้าที่บัญชี ของบริษัทแห่งหนึ่งแถวบ้าน ซึ่งเค้ามีหลายสาขา ค่อนข้างติดตลาดแล้วก็ดูมั่นคง แต่งานด้านบัญชีเราเพิ่งเคยทำครั้งแรก ก็เป็นการปรับตัวอยู่พอสมควร แต่ก็เรียนรู้ได้ไม่เป็นไร งานที่ได้รับผิดชอบก็ออกบิลธรรมดา ใบกำกับภาษี ส่งงบนั้นนี้ทำไปสักพัก เด็กที่ทำงานที่ร้านลาออก ติดกัน เลย สองคน ทั้งๆที่เค้าทำงานมาเกือบ 10 ปี ด้วยอะไรหลายๆอย่างเค้าอยู่ไม่ได้ แต่คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเรา เออไม่เป็นไรหรอก เราทำงานได้ ทำไปทำมาสักพัก เริมละเดือนและ เงินเดือนจ่ายไม่ตรง เป็นระบบที่แบบเค้าหมุนเงินกันเอง และเป็นระบบครอบครัวมากๆ ตอนที่รับทำงานตอนแรกเค้าไม่แจ้ง เดือนแรกได้เงินไม่ครบ เค้าติดไปไว้เดือนหน้า รายจ่ายในแต่ละวันของเค้าคือแบบ เยอะมาก ซึ่งพนักงานใครจะเบิกรายวัน รายอาทิตย์ก็ได้ สลิปเงินเดือนไม่มี เริ่มอีกละ ไม่โอเคเลย เพราะทำงานมาควรจะได้เงินตรงเดือน เข้าเดือนที่ 2 เอาอีก ทีนี่กระทบกับชีวิตเราละ เพราะรายรับไม่พอรายจ่าย เงินที่ได้ไม่ตรงกับทิ่คิดไว้ ไม่เท่าไร ทำงานทุกหน้าที่ไปเลย และเนื่องจากเป็นระบบครอบครัว เค้าเลยแบบทำตามใจเมียบ้าง วันไหนทะเลาะกัน ก็มาลงที่บริษัทบ้าง มองการไกลละ อยู่ไม่ได้แน่นอน ไม่เคยเขียนแบบไม่เคยรับลูกค้าหน้าร้าน ต้องไปวาดแบบให้ช่าง จากที่ทำเรื่องบัญชีอย่างเดียวดันต้องไปรับลูกค้าอีก แล้วช่างที่ประสานงานด้วยคือ ไม่สามารถบรรยายมาเป็นคำพูดได้จริงๆอะหางานใหม่อีกเป็น รอบที่ 3 งานนี้เป็นงานนิติบุคคล หมู่บ้าน ไม่เคยทำมาก่อนและไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไรบ้าง คิดว่าแค่รับเงินออกบิลแค่นั้น เลยลองสัมภาษณ์ดู สรุปว่าผ่านเลยลาออกงานที่ 2 แบบไม่คิดเลย
งานที่ 3 รู้สึกว่าเป็นตัวเองมากที่สุด งานที่เป็นเอกสารอยู่ในออฟฟิตและที่สำคัญทำงานคนเดียว โดยจะมีกรรมการในหมู่บ้านเป็นหัวหน้างาน รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้ทำงานนี้เลยตั้งใจทำงานแบบเต็มที่ และผลงานก็ออกมาค่อนข้างดีเลย จะมีปวดหัวและมีปัญหาอยู่บ้างซึ่งทุกงานก็คือต้องมีอยุ่แล้ว ทำมาได้ดีตลอดจนเข้าเดือนที่ 3 เริ่มไม่เป็นเวลางานละ เข้างาน9 โมง เค้าโทรมาสั่งงานเราตั้งแต่ 7 โมงเช้า สี่ทุ่ม 5 ทุ่มมาตอบไลน์ลูกบ้าน แต่ทีนี่คือเราปรับที่ตัวเราเอง เวลาเลิกงานคือเลิก เวลาทำงานคือทำงาน โอเคก็จัดการได้ จากเริ่มงาน เค้าเริ่มเงินเดือนที่ 12K เราทำผลงานได้ดี จนเค้าปรับขึ้นเงินเดือนให้ 15K ภายใน 6 เดือน ซึ่งเป็นที่น่าพอใจมาก เราก็ทำงานแฮปปี้มาตลอด ที่ผ่านมาก็มีหลายๆเหตุการณรแหละที่ไม่โอเค แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร จนกระทั่งได้ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ แห่งหนึ่งโดยการอนุมัติเป็นไปตามมติกรรมการ ซึ่งแน่นอน ความเห็นของพวกเค้าไม่ตรงกันและทำให้เราทำงานยาก ประสานงานกับหน่วยงานไปแล้วเอาแบบนี้ แล้วเปลี่ยนกลับไปกลับมาจนแบบ ไม่ใช่อะ คิดว่าถ้าโอเคแล้ววก็คือคิดว่าทุกคนตอบตกลงมาแล้วถึงให้เราประสานต่อ แต่พอประสานต่อแล้วมาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันไม่ใช่มือชีพเลย แล้วอย่างนึงคือเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ข้างบนเค้าไม่ถูกกันไม่ลงรอยกัน มันกระทบกับเรา
เลยตัดสินใจครั้งสุดท้าย ครั้งนี่ถ้าเปลี่ยนงานคือ จะต้องสอบให้ติดไม่เป็นพนักงานราชการ หรือ ข้าราชการให้ได้ มุ่งอ่านหนังสือทุกเย็นหลังเลิกงาน ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือก่อนมาทำงาน สมัครสอบทุกสนามที่เป็นพนักงานราชการ จนผลลัพท์ออกมาคือ ติดรายชื่ออยู่ 3 กรม รู้สึกดีใจมาก แล้วอันดับคือ ต้องโดนเรียกแน่ๆ ตัดสินใจแจ้งกรรมการ ว่าเราจะลาออกช่วงประมาณเดือน ธันวาคม 66 หลังจากนั้นแหละ ทุกคนเปลี่ยนเลย แต่ก็กดดันกันมากขึ้นงานที่ต้องทำต้องเสร็จตอนนี้ กดดันเราระดับนึง พูดหว่านล้อมเราสารพัด ไม่อยากให้เราไป แต่มันสะสมมานานแล้ว อยู่มาเกือบ 8 เดือน มันเลยทำให้รู้ว่าเราไม่สารมารถจะไปต่อได้เลยทั้งความคิด ทั้งการกระทำของคนที่สั่งงานเรา มันไม่ใช่อะ ระหว่างที่รอเรียก เราก็เคลียงานพร้อมส่งมอบ แต่ก็หางานใหม่ไปด้วยนะ งานนี้คิดว่าเราคาดหวังมากเลย ทำทุกทาง บนทุกที่ มูทุกสำนัก
และในที่สุด บริษัท มหาชน แห่งนึงก็โทรมาให้เราไปสัมภาษณ์ ดีใจมากๆอีกครั้งเพราะเป็นเครือของบริษัทใหญ่ ตกลงสัมภาษณ์ทันทีที่เค้าติดต่อมา แต่ก็มีเรื่องให้พีคอยู่คือเค้าให้สัมเป็นภาษาอังกฤษ แต่ชั้นผู้ซึ่งโง่อิงค์มากกกกก ตอนนั่งรอสัมแว๊บนึงจะหนีกลับเลย รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก ชั้นพูดไม่ได้แน่ๆ แต่ในแว๊บนึงก็ ไม่เป็นไรหรอก ลองดูเค้าไม่รู้จักเรา ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สัมภาษณ์เสร็จจะได้กลับ เลยสู้อีก พูดแนะนำตัวไปงูๆปลาๆ และก็บอกกับกรรมการไปตรงๆว่า ขออนุญาตพูดเป็นภาษาไทย เพราะยังไม่ค่อยเก่งอิงค์ เขินมาก แต่พอเป็นภาษาไทย มั่นใจสุดๆ กรรมการดูสนใจในประวัติการทำงานของเราที่ผ่านมา555555 สัมกันอยู่นานก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ทำที่นี่นะ เพราะเค้าต้องการตนเกางอิงค์แน่ๆ
รอประมาณ 2 อาทิตย์ ทางบริษัทติดต่อกลับมาว่าเราได้ทำงานที่นี่ กริ๊ดลั่นบ้านเลย ดีใจมากกก เงินเดือน สวัสดิการ แล้วยังได้หยุดส.-อาทิตย์อีก สายมูคือของจริงมากๆ ตกลงเซ็ยสัญญาแล้วยื่นลาออกที่เก่า คือก็มีผลเดือนนั้นเลย
สรุปเราเปลียนงานมาทั้งหมด 3 งาน งานแรก ทำ 6 เดือน งานที่ 2 ทำงานอยู่ 3 เดือน งานที่ 3 ทำงานอยู่ 1 ปี
ปัจจุบันได้ทำงานที่นี่แล้วโอเคสุดๆ เพื่อนรวมงานดี มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น การทำงานที่ดีควรทำงานแค่ 5 วันต่อสัปดาห์จริงๆนะ อยากจะบอกเพื่อนๆที่กำลังจะเปลี่ยนงาน หรือลาออกแล้วไม่กล้าจะลาออก ลองดูค่ะ เราสามารถเลือกที่เราสบายใจที่จะอยู่ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเราไม่เก่งหรือไม่มีความสามารถอะไร ทุกคนมีดีหมดอยุ่ที่ว่าจะเอาความสามารถของตัวเองมาใช้ในด้านไหนเท่านั้นเอง
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้