อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๒)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๒ งานแต่งที่กัมปุเจีย

ครั้งสุดท้ายสำหรับการข้ามเขาเข้าแขมร์ของผมคือการได้ไปร่วมงานแต่งของเพื่อนกับสาวขแมร์ที่สะนึง (ស្នឹង) การนี้เพื่อนผมได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ผมตามไปทีหลังกับแม่ของเพื่อนและผู้ร่วมคณะฅนอื่น ๆ และหนนี้ผมได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีสำหรับต้อนรับเพื่อนเก่าอย่างทากด้วยยากันยุงชนิดน้ำ มันได้ผลเสมอ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นได้เสมอเช่นกัน

เราตกลงกันว่าจะรีบเดินเพื่อไม่ต้องค้างคืนกลางป่า นั่นหมายถึงว่า เราจะไม่หยุดเพื่อรับประทานอาหารกันจนกว่าจะถึงแปดเบ็ย กระสอบปุ๋ยที่ผมสะพายหลังมีเหล้าขาวห้าหกฃวดปนมากับเสื้อผ้าและสิ่งของในนั้น ทั้งนี้เนื่องมาจากการเดินทางครั้งก่อนที่มีการตั้งวงร่ำสุรากัน ทุกฅนต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่าเหล้าขาวของที่นี่รสชาติไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ และคราวนี้เป็นงานแต่งลูกชายทั้งที แม่ของเพื่อนผมจึงอยากเอาเหล้าขาวไทยมาให้ฅนแขมร์ได้ลองลิ้มชิมรสกันบ้าง ภาระต่าง ๆ จึงมาตกอยู่กับผม ที่ต้องประคับประคองมันไปตลอดทาง (คงจำเรื่องสับปะรดได้นะครับ)

นอกจากเหล้าขาวที่ว่าแล้ว ยังมีเงาะที่รวมอยู่กับเสื้อผ้าและสิ่งของต่าง ๆ เต็มกระสอบอีกด้วย และคราวนี้เมื่อมียากันยุงมาทาก็พอเบาใจเรื่องทากได้หน่อย แต่อย่างที่บอกว่าการเดินทางของเรานั้นต้องข้ามน้ำไปมากันตลอด ดังนั้นเมื่อขึ้นจากน้ำทีผมก็ต้องทายากันทีหนึ่ง เรียกว่าทากันไปตลอดทางนั่นแหละ

และด้วยความรีบเร่งเราจึงลงเขาทันก่อนตะวันลับฟ้า แต่ก็ทั้งหิวทั้งเหนื่อยและล้าเต็มทน เมื่อหิวผมก็อดไม่ได้ที่จะล้วงกระสอบด้านหลัง เงาะที่ถูกอัดมาด้านบนนั่นแหละ ไม่ได้คิดแล้วว่าความตั้งใจคือเอามาฝากฅนทางนี้มากกว่า ความหิวทำให้ผมเดินไปล้วงกินไปโดยไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่…

.
ฟ้ายังพอมีแสงถึงตะวันจะลับป่าไปสักพักแล้ว เรายังอยู่บนเส้นทางที่ห่างจากหมู่บ้านมากพอดู ท่ามกลางอากาศเริ่มเย็นลง ผมเริ่มรู้สึกผะอืดผะอม สะบัดร้อนสะบัดหนาว ใจสั่น วิงเวียน คลื่นไส้ ไม่ใช่อาการของมาลาเรีย เพราะผมลาขาดจากมันแล้วอย่างที่บอก คราวนี้อาการของผมมาจากทากอีกแล้ว ทากทำให้ผมต้องเดินไปทายากันยุงไปตลอดทาง การทำเช่นนั้นมันทำให้ฝ่ามือของผมเหนียวหนึบเลยทีเดียว และฝ่ามือเหนียวหนึบเมื่อจับเงาะเข้าปาก ก็เท่ากับว่าผมได้กินมันไปด้วย...

ครับ เมายากันยุงนั่นเอง กว่าจะรู้ตัวผมก็ต้องเดินไปต่อสู้กับอาการต่าง ๆ ตลอดทาง ในที่สุดก็เกินฝืนแข้งขาสั่น ๆ ให้ก้าวต่อได้ ผมทรุดกายถอดเป้ทิ้งนอนแผ่หราข้างทางนั่นเอง พวกที่มาด้วยก็ตกอกตกใจกันไปกับอาการของผม ใครจะไปคิดว่าอยู่ ๆ จะมีฅนเมายากันยุงกลางป่า

หลังจากนอนพักครู่หนึ่งผมก็หอบสังขารไปต่อได้ เราพักที่แปดเบ็ยหนึ่งคืนรุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อ จากแปดเบ็ยเราไปพักที่จ็อมการ์ละมุตก่อนเพราะยังไม่ถึงวันแต่ง ส่วนเพื่อนผมนั้นอยู่บ้านเจ้าสาวเพื่อช่วยเตรียมงานต่าง ๆ แล้ว ระหว่างนี้ผมก็เดินเที่ยว พักผ่อน กลางคืนก็ไปดูเขาร้องคาราโอเกะอีกเช่นเคย

.
เราเดินทางไปสะนึงก่อนวันแต่งหนึ่งวัน สะนึงกับสะเดาจะอยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไรนัก ไปถึงยังมีเวลาให้เดินเที่ยว มีกลุ่มวัยรุ่นเล่นฟุตบอลกลางนาผมจึงไปนั่งดูพวกเขาเล่นกัน สักพักจึงกลับมาเจอเพื่อนที่บ้านเจ้าสาว

“เขาสำเภาอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” ผมพูดพลางชี้มือไปยังยอดเขาซึ่งมองเห็นได้จากที่นี่

“อ้าว เรอะ ไม่รู้งั้นได้ไปเที่ยวแล้ว มาอยู่ตั้งหลายวัน” เพื่อนผมตอบมา

.
แม้จะยังไม่ถึงวันงานแต่คืนนี้ก็มีการเล่นรำวงกันแล้ว ที่วัดมีงานเช่นกัน หลังจากดูชาวบ้านรำวงกันได้สักพัก กลุ่มวัยรุ่นที่จะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้ชวนผมไปเที่ยวงานวัด ว่าที่เจ้าบ่าวจะตามไปด้วยแต่ถูกห้ามไว้ ก่อนแต่งเขาจะไม่ให้ไปไหนนั่นแหละ

วัยรุ่นที่ไปด้วยกันบอกให้ผมถอดหมวกก่อนเข้าประตูวัด มีฅนมาเที่ยวงานกันเยอะอยู่เหมือนกัน ผมไม่เห็นมีมหรสพหรือการแสดงอะไร นอกจากพิธีทางศาสนาแล้วก็มีแต่น้ำเต้าปูปลา งานนี้ไม่รู้จะเรียกมันว่ามหรสพได้หรือเปล่า แต่มันดูจะเป็นแหล่งบันเทิงของงานวัดที่นี่เลย และไม่ใช่แค่วงสองวงนัครับ แต่มันเห็นได้เป็นระยะทั่วงานเลยจริง ๆ

.
เมืองแขมร์ในตอนนั้นหลายอย่างจะค่อนข้างเสรี การต้มเหล้ายังสามารถทำได้ทั่วไป การพนันต่าง ๆ รวมถึงน้ำเต้าปูปลาซึ่งฅนแขมร์จะเรียกว่า ‘คลาโขลก’ นี่ด้วย เราสามารถเห็นมันได้ทั่วไปโดยเฉพาะตามงานวัดแบบนี้ (ปัจจุบันมีการเข้มงวดเรื่องการพนันมากขึ้น แต่ยังคงเห็นวงน้ำเต้าปูปลาตามงานวัดได้เช่นกัน)

.
แต่เช้ามืดที่ผมถูกปลุกด้วยเสียงเพลงงานแต่งจากเครื่องดนตรีสามสี่ชิ้นอันประกอบด้วย ซอ จะเข้ กลอง และระนาด นักแสดงที่จะต้องทั้งเล่นและร้องรำนั้นเหมือนจะไม่มีเวลาหยุดพัก พวกเขาจะเริ่มบรรเลงแต่เช้ามืดถึงดึกดื่นในแต่ละวัน ตลอดเวลาสามวันสี่คืนของพิธี

นอกจากการร้องรำแล้ว พวกเขายังรับดูแลเรื่องชุดแต่งงานของคู่บ่าวสาว และเพื่อนบ่าวสาวที่เรียกว่า ‘ลูกหนู’ (កូនកណ្ដុរ) อีกสามคู่ด้วย ซึ่งชุดที่ว่านี้จะต้องผลัดเปลี่ยนกันทั้งวัน (กว่าจะจบงานก็ตกฅนละสิบกว่าชุด) โดยแต่ละชุดจะมีหลากหลาย ทั้งแบบโบราณ แฟนซี ชุดสากลแบบเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ก็มี บางชุดเปลี่ยนแค่ถ่ายภาพเก็บไว้ก็มี

และด้วยสภาพแวดล้อมที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ช่างภาพจึงหาฉากหลังสวยงามได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องลงนาลุยทุ่งกันหน่อย

ปัจจุบันฉากหลังมักถูกตัดต่อด้วยโฟโต้ช็อป ยอมรับว่าเสียดายตรงนี้มาก ผมมองว่าฉากหลังธรรมชาตินั้นนอกจากจะสวยงามกว่าแล้ว ยังเป็นการบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมได้ดีอีกด้วย

.
มาว่ากันที่พิธีโดยรวมกันบ้าง น่าเสียดายที่ผมฟังไม่ค่อยออก ทั้งไม่เข้าใจพิธีนี้มากนักจึงอาจอธิบายได้ไม่สมบูรณ์เท่าไร แต่เอาเท่าที่เข้าใจก็จะคล้ายกับพิธีทำขวัญนาคของบ้านเรา เพียงแต่รายละเอียดต่าง ๆ นั้นจะมากกว่า มีทั้งพิธีตัดผมบ่าวสาวซึ่งไม่ทราบว่าแฝงอะไรเหมือนกัน และพิธีที่ดำเนินไปตลอดนั้นจะมีการแสดงประกอบด้วยเสมอ อย่างเช่นนักแสดงทำท่าเดินป่าเก็บผลไม้ เมื่อเจอเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็พาบ่าวสาวไปกราบไหว้อะไรประมาณนั้น มีการหยอดมุกตลกซึ่งบางครั้งก็ดึงฅนดูให้มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน เรียกว่านักแสดงเหล่านี้ถือเป็นสีสันสำคัญอันเป็นเอกลักษณ์งานแต่งของพวกเขาเลยทีเดียว และกว่าจะจบพิธีกันก็ดึกดื่นอย่างที่บอก ยังมีรำวงต่ออีก ตีห้าเสียงเพลงก็ดังมาอีกแล้ว เรียกว่าแทบไม่ได้พักผ่อนกันเลยตลอดสี่คืนสามวัน

วันสุดท้ายมีการตั้งขบวนขันหมากไม่ห่างบ้านเท่าไรนัก เจ้าบ่าวจะได้รับของสิ่งหนึ่งซึ่งห่อผ้าไว้มิดชิดเพื่อนำไปมอบให้เจ้าสาว พร้อมถูกกำชับว่าต้องดูแลเป็นอย่างดี หากทำหล่นพิธีเป็นอันยุติ เจ้าบ่าวเพื่อนผมก็ลุ้นสิครับว่ามันเป็นอะไรถึงได้สำคัญเสียขนาดนี้ ขออนุญาตเก็บไว้ก่อนยังไม่เฉลยนะครับ แฮ่…

เมื่อขบวนแห่มาถึงหน้าบ้านก็มีการร้องรำ มีการกั้นประตูเงินประตูทองแบบบ้านเราอยู่เหมือนกัน

พิธีการสุดท้ายเริ่มจากเจ้าบ่าวจูงมือเจ้าสาวเข้าหอ ได้เวลาผูกข้อมือ แต่ก่อนอื่นต้องแกะห่อผ้าที่เจ้าบ่าวถือมากันก่อน มันคือดอกมะพร้าวที่ยังอ่อนอยู่นั่นเอง เจ้าดอกมะพร้าวที่ว่านี้จะถูกปลิดออกมาและโปรยไปทั่วบริเวณ…

ผมมาทราบข้อมูลภายหลังว่าดอกมะพร้าวนี้ที่จริงต้องเป็นดอกหมาก แต่ดอกหมากจะหายากกว่าจึงใช้ดอกมะพร้าวแทน ซึ่งความหมายของดอกมากนั้นเปรียบได้กับการรักนวลสงวนตัวของเจ้าสาว ไม่ต่างจากดอกหมากที่จะซ่อนตัวอยู่ในกาบ ดอกหมากหรือดอกมะพร้าวจึงมากความหมายสำหรับการที่เจ้าบ่าวจะนำไปมอบให้เจ้าสาวนั่นเองครับ

หลังผูกข้อมือเสร็จก็เป็นพิธีรับประทานอาหารหรือกินเลี้ยง หลังจากนั้นเราจึงเตรียมตัวเดินทางกลับจ็อมการ์ละมุตกัน 

.
ที่โคนเสาต้นนั้น ผมยังเห็นมันวางกองอยู่ที่เดิม เหล้าขาวหกฃวดที่ผมประคับประคองเป็นอย่างดีจากเมืองไทยนั่นเอง ฃวดหนึ่งมีรอยถูกเปิดฝา มีน้ำใส ๆ เหลืออยู่ค่อนหนึ่ง นอกนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์

จำได้ว่าแม้แม่ของเจ้าบ่าวจะคะยั้นคะยอว่ามันมีรสชาติดีแค่ไหนก็ตาม แต่หลังจากได้ลองลิ้มชิมรสกันแล้วก็ไม่มีใครสนใจมันอีกเลย เรื่องของรสนิยมและรสชาตินั้นอาจเป็นเรื่องเฉพาะตัวเฉพาะถิ่น

ในที่สุดพวกเราจึงพากันจากมาโดยทิ้งมันไว้อย่างนั้นแหละ ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างไม่รู้เหมือนกัน

.
เมื่อมาถึงสะเดาแล้วเรายังต้องรออีกสองวันถึงจะได้กลับไทย หนนี้จะมีแม่และญาติเจ้าสาวเดินทางมากับเราด้วย เราจึงต้องหาเช่าเหมารถให้ไปส่งที่แปดเบ็ย ซึ่งปกติเราจะนั่งรถโดยสารกันตลอด แล้วการเหมารถนี้ก็ทำให้มีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นทันที นั่นคือนอกจากบรรดาญาติ ๆ ของเจ้าสาวที่บอกว่าจะมากับเราแล้ว ยังมีอีกหลายฅนเลยที่ต้องการข้ามเขาสู่ประเทศไทยเช่นกัน ไม่มีการบอกล่วงหน้าอะไรก่อนด้วย ถึงวันเรากลับต่างหิ้วกระเป๋ามากันเลย บางฅนถึงขนาดอยู่ ๆ โดดขึ้นรถตามมาเลยก็มี (ฅนที่ว่านี้ได้กลายมาเป็นเพื่อนกับผมในเวลาต่อมา)

.
ด้วยความที่ตอนนั้นที่นี่ยังไม่ค่อยมีงานอะไรให้ทำ เมื่อเห็นว่าเป็นการเดินทางโดยไม่ต้องเสียค่ารถแต่ละฅนจึงฉวยโอกาสนี้ในการมาหางานทำกัน เราเองก็อดกลัวกันไม่ได้หรอก เพราะการเข้าออกของเรานั้นผิดกฎหมายอยู่แล้ว แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกันนอกจากปล่อยเลยตามเลย

.
ยิ่งไปกว่านั้นอีก เมื่อมาถึงแปดเบ็ยเราได้รู้ว่าฅนนำทางของเราซึ่งคราวนี้ไม่ใช่น้าพรนั้น ได้กลับไปก่อนแล้ว ด้วยความไม่มั่นใจแม่ของเพื่อนผมจึงไปขอความช่วยเหลือจากทหารซึ่งเป็นฅนในหมู่บ้านให้ไปส่ง ทั้งที่เพื่อนผมบอกว่าเราไปกันเองก็ได้ (เขาจะแม่นเรื่องทิศทาง)

แต่เนื่องจากเรามากันหลายฅนแม่ของเพื่อนผมก็คงจะกลัวนั่นแหละจึงไปขอความช่วยเหลือ ทหารซึ่งรู้จักกับแม่ของเพื่อนผมบอกว่าเดินทางกลางคืนจะปลอดภัยกว่า เราจึงนอนพักที่บ้านของเขาเพื่อรอเดินทางช่วงดึก

.
เมื่อเราออกเดินทาง หลังจากพามาถึงตีนเขาแล้วฅนนำก็ไล่ให้ไปหลบในป่าข้างทาง ตรงนี้ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าเพราะอะไร จะว่ากลัวทหารมาเจอก็น่าจะให้เรารีบเข้าป่า แต่เมื่อเราให้เขาเป็นฅนนำทางแล้วก็คงต้องเชื่อฟัง 

ในสภาพมืดสนิทนั้น ผมหลงเข้าป่าไปกับอีกฅน ซึ่งมาทราบภายหลังว่าคือน้องชายของเขา (ฅนนำทาง) ที่ต้องการไปไทยด้วยเช่นกัน โดยฅนอื่น ๆ จะอยู่ห่างฅนละที่กับเรา

หลังจากซุ่มเงียบกันสักพักเรารู้สึกว่าชักไม่เข้าที จึงคิดออกจากจุดซ่อนไปรวมกลุ่มกันจะได้อุ่นใจขึ้น ขณะกำลังจะออกสู่ทาง เขา (คนนำทาง) ก็เดินมาเจอ และไล่ให้เรากลับไปอยู่ในป่าตามเดิม เราก็เลยต้องมานั่งกันอยู่สองฅนอีกครั้ง แต่ก็อุ่นใจขึ้น เพราะคิดว่าอย่างไรเขาซึ่งเป็นฅนนำทางก็รู้แล้วว่าเราซุ่มอยู่ตรงนี้ จึงนั่งรอกันอย่างใจเย็น

กระทั่งฟ้าสาง ชักไม่ค่อยดีแล้วสิ สว่างแล้วทำไมมันยังเงียบอยู่เลย เราค่อย ๆ ก้าวออกมาหาทาง มีเสียงฅนเดินมาจึงรีบหลบ แต่ช้าไป เขาเห็นเราก่อนแล้ว

“เฮ้ย ไอ้สองฅนนี่ยังไม่ไปอีกเหรอวะ เขาไปกันตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว” ฅนนำทางนั่นเองที่ร้องบอกเรา ยุ่งแล้วสิ ไปกันตอนไหนทำไมถึงไม่บอก ยังมีการมาต่อว่าเราด้วยว่าทำไมมาอยู่กันที่นี่สองฅน ทั้งที่เป็นฅนไล่ให้เราเข้ามาเองแท้ ๆ เลย

.
“จำทางได้ไหม” เขาถามเมื่อพาเรามายังจุดที่จะต้องปีนผาขึ้นไปกัน

ได้หรือไม่ได้ก็ต้องได้แล้วครับตอนนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรผมคงไม่ยอมติดค้างอยู่ที่นี่ฅนเดียวแน่นอน แม้จะรู้ว่าเข้าป่าทีไรจะต้องหลงเป็นประจำก็เถอะ นิสัยดันทุรังทำให้ผมตัดสินใจปีนผาขึ้นมา ลุ้นไปด้วยตลอดเวลานั่นแหละ แน่นอนว่าอีกฅนที่มาด้วยนั้นไม่รู้เส้นทางเช่นกัน เขาจึงต้องฝากความหวังไว้กับผม โดยไม่รู้หรอกว่าผมอาจจะพาวนป่าไปออกไหนเสียก็ได้

.
แต่โชคดีที่พอปีนผาได้สำเร็จก็ได้เจอกับฅนในคณะของเราที่ออกมาตามหาเราเช่นกัน พวกเขาออกเดินทางกันตั้งแต่ตอนกลางคืน กระทั่งเช้าจึงรู้ว่าผมไม่ได้ร่วมเดินทางด้วย เพื่อนจึงให้บางฅนย้อนกลับมาดู

เกือบได้กินข้าวลิงอยู่เขาบรรทัดเสียแล้วสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งคงเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการปีนเขาอย่างที่บอก

แต่การเดินทางเข้าออกเมืองแขมร์ของผมยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่