เรื่องสั้นของผมชื่อ อาเย้ง

กระทู้สนทนา
เรื่อง : เรื่องสั้นของผมชื่อ 'อาเย้ง'
โดย : ละเว้

เอาเข้าจริงแล้วผมว่าเชียงใหม่นั้นไม่ได้มีอะไรใหม่สำหรับผมเลย แม้จะเป็นการได้เยือนครั้งแรกก็ตามที แต่ที่พูดมาคงต้องบอกว่า หากไม่มียอดดอยและชนเผ่าต่าง ๆ นั่นละก็นะ

หลังจากความตั้งใจถ่ายภาพแสงแรกแห่งปีหมดไปกับเช้าที่ดูอับเฉานั้น

“ไปม่อนแจ่มไหม เจ็ดร้อยเมตรเองเดินสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว” ผมมองป้ายชี้ทางข้างรีสอร์ตพลางหันกลับมาถามลูกพี่ ผู้ทำให้ผมได้มาเชียงใหม่แบบไม่ตั้งใจจากการถูกชวนให้มาเป็นเพื่อนกับครอบครัวของเขา ลูกพี่ผมดูเหมือนจะตื่นเพื่อมองหาแสงแรกเช่นกัน ขณะที่ฅนอื่นยังคงหลับสบายในที่พัก รวมถึงลูกชายของเขาซึ่งคงลืมเรื่องที่ได้ตกลงกันไว้อย่างดิบดีตั้งแต่มาถึงแล้วว่า เราจะออกสำรวจเส้นทางในเช้าวันนี้กัน 

ถึงแม้รู้ว่าสายหน่อยเราจะได้นั่งรถตู้ไปที่นั่นกันอยู่ดี แต่การได้เดินเท้านั้นเป็นกิจกรรมซึ่งผมชื่นชอบอยู่แล้ว อีกอย่างถึงอยู่นี่ก็ไม่ได้ถ่ายภาพหรือไม่มีอะไรให้ทำนั่นแหละ ระยะทางก็ใช่ว่าจะไกลอะไรนักด้วย น่าจะใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีอย่างที่บอก เพียงแต่ผมลืมไปว่า มันเป็นเส้นทางไต่ระดับขึ้นสู่ยอดดอยเท่านั้นเอง

.
วันนี้ อาเย้ง หรือ ชัย เด็กชายตัวเล็กในหมู่บ้านบริเวณยอดดอยแห่งนี้ ยังคงตื่นเช้าเช่นทุกวัน เขาหยิบชุดประจำเผ่าที่แม้จะไม่ได้ตัดเย็บจากผ้าทอมือเหมือนที่พ่อของเขามี การประดับตบแต่งดูจะไม่ละเอียดลออเท่าไรด้วย แต่เมื่อนำมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่เดิม มันก็ทำให้เขาดูเป็นม้งได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจทีเดียว หากเด็กชายคงได้ใช้มันแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น เย้งมองตัวเองในกระจกพลางคิดว่า เขาก็มีส่วนคล้ายพ่ออยู่มากเหมือนกัน แต่คงเป็นตอนที่พ่อจะไม่เมามายนั่นหรอกนะ

เมื่อพร้อมแล้วเขาก็ก้าวเท้าฝ่าสายหมอกขึ้นสู่ยอดดอย ตอนนี้เด็ก ๆ หลายฅนคงพร้อมในชุดม้งแล้วเช่นกัน รวมถึงไอ้จาคู่หูของเขาด้วย

.
ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่ามันต้องใช้เวลามากกว่าสิบห้านาทีแน่นอน เราได้เหงื่อพอควรกับการเดินขึ้นดอยยามเช้าแบบนี้ อีกสิ่งที่เพิ่งได้รู้ก็คือ ยิ่งสายแสงตะวันอันน้อยนิดนั้นยิ่งจางหาย และสลายไปกับหมอกขาวรอบกายในที่สุด 

หลังจากเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกตามเส้นทางบนยอดดอยกันสักพักเราก็มาถึงจุดชมวิวของม่อนแจ่มจนได้

.
อาเย้งคงไม่ได้สนใจอะไรนัก ไม่ว่าจะดอกไม้ที่ยังคงสวยงามแม้จะบอบช้ำจากการแวะเวียนมาของนักท่องเที่ยว เขาตรงมายังม้านั่งเตี้ย ๆ ข้างกอไม้เหี่ยวเฉาซึ่งจานั่งอยู่ก่อนแล้ว เย้งนั่งลงเงียบ ๆ ยิ้มให้คู่หูที่หันมาพยักหน้าทักทาย และหน้าที่ในตอนนี้ของทั้งคู่ก็คือรอ

.
ม่อนจ่มอาจจะสวย เพราะมีไม้ดอกเมืองหนาว แปลก ๆ เยอะทีเดียว แต่ไม่มากไปกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ดูเหมือนจะต้องเข้าคิวกันเลย หากอยากได้ภาพคู่กับดอกไม้สวย ๆ สักภาพ

วิวสวย เพียงแต่นักท่องเที่ยวแต่ละฅนรวมถึงผมจะชมมันผ่านจอมือถือกันมากกว่า

.
การรอคอยของเย้งและจาสิ้นสุดลงเมื่อทั้งสองเป็นจุดสนใจของสามีภรรยาคู่หนึ่ง อย่างน้อยก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นวันได้ดีทีเดียวเมื่อมีลูกค้าแต่เช้า เย้งพยายามทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุด จาก็เช่นกัน

.
ครอบครัวนักท่องเที่ยวในชุดม้งนั่น พ่อและแม่กำลังผลัดกันถ่ายภาพกับลูกชายสองฅน มันเรียกความสนใจจากผมได้ดีทีเดียว บางทีผมน่าจะหาชุดม้งมาใส่บ้าง คิดว่าต้องมีให้เช่าแน่นอน

ผมหาชุดม้งใส่จนได้ มันเข้ากับสภาพของผมได้เป็นอย่างดี หลังจากเดินหามุมถ่ายภาพสักพักผมก็วนกลับมาที่เดิม เด็กชายในชุดม้งนั่นยังนั่งอยู่ที่เก่า ขณะพ่อแม่และพี่หรือน้องชายของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เขาดูเหมือนเด็กม้งจริง ๆ เลย ผมคิดแบบนั้น

หากคราบมอมแมมบนใบหน้าของเขาก็ทำให้ผมเข้าใจได้ เขาคือเด็กม้งที่มานั่งรอถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยวนั่นเอง

“ขอถ่ายภาพด้วยนะ คิดเท่าไร” ผมถาม

“แล้วแต่จะให้ครับ” เขาตอบเรียบ ๆ ผมนั่งลงข้างกัน ยกมือโอบไหล่ เขายกมือชูนิ้วโป้งเมื่อลูกพี่ผมยกสมาร์ตโฟนเล็งมายังเรา มันคงเป็นท่าประจำตัวในการถ่ายภาพของเขานั่นแหละ ผมคิดในใจ อยากชูสองนิ้วสู้ตายแข่งบ้างเหมือนกัน หากว่าจะทนความทุเรศของตัวเองได้ละก็นะ

.
นักท่องเที่ยวฅนนั้นจากไปแล้ว ขณะผู้ฅนรอบกายยังคงพากันสนใจไม้ดอกเมืองหนาวหลากพันธุ์ของที่นี่ แม้ว่ารอบด้านจะมีแต่หมอกมัวจนแทบมองไม่เห็นวิวอะไรแล้วก็ตาม และไม่ว่าอย่างไร วันนี้ที่นี่ยังมีฅนมากเหมือนเดิม เย้งนั่งมองนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา หวังแต่ว่าเขาจะสะดุดตาใครอีกสักฅน

.
เมื่อกลับที่พักผมก็ได้นั่งรถขึ้นจุดชมวิวนั้นอีกครั้ง หลังจัดการขนมจีนน้ำเงี้ยวจากร้านอาหารร้านเดียวบนนั้นเสร็จผมก็เดินชมวิวชมหมอกมัว ๆ กันต่อ ตอนนี้จะเห็นว่ามีเด็กม้งหลายฅนเลยมานั่งรอให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพกัน และแต่ละฅนก็จะมีมาดฮา ๆ กวน ๆ หน้ากล้องตามประสาเด็กของเขาแตกต่างกันไป ผมเดินถ่ายรูปพวกเขาสลับกับดอกไม้ที่เบ่งบานรอให้เราบันทึกภาพ ท่ามกลางสภาพที่ยิ่งมัวหม่นในทุกขณะ ชักไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้ละอองฝอยที่สัมผัสผิวกายและหน้าจอมือถือตอนนี้ มันคือหมอกหรือว่าฝน

ข้างกอไม้ที่ดูเหี่ยวเฉา เขายังคงอยู่ตรงนั้นเมื่อผมวนมาจุดเดิมอีกครั้ง นั่งเงียบอยู่ฅนเดียวท่ามกลางผู้ฅนรายล้อม มีนักท่องเที่ยวนั่งอยู่ข้างเขา แต่ก็มองออกว่าหญิงฅนนั้นแค่พักเหนื่อยและปลดปล่อยเขาจากความสนใจไปแล้ว

ขณะรถแล่นลงดอยผมได้เปิดภาพในโทรศัพท์ดูไปเรื่อยเปื่อย กลับสะดุดตาจนต้องขยายออกมา ใบหน้ามอมแมมกับริมฝีปากที่ฉีกยิ้มนั้น หากแววตาของเขากลับดูไม่ได้แสดงออกอย่างที่เจ้าตัวต้องการ ทุกภาพของเขาไม่ต่างกัน

.
ไร้ซึ่งแสงตะวัน รอบกายยังคงหม่นมัว เด็กชายลากเท้ากลับที่พัก วันนี้โชคอาจไม่ดีนัก เขาทะเลาะกับเพื่อนแต่เช้าเรื่องเงินที่ได้รับจากนักท่องเที่ยว นั่นทำให้ต้องนั่งอยู่แต่ลำพัง จึงไม่เป็นจุดสนใจสักเท่าไร นักท่องเที่ยวที่ยืนบังวิวด้านหลังและฅนซึ่งมานั่งข้างแค่พักเหนื่อยนั่นด้วย พวกเขาเหล่านั้นคงไม่รู้หรอกว่า มันทำให้รายได้ของเด็กม้งฅนหนึ่งต้องลดลง 

แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรคงไม่มีความสำคัญอะไรนักหรอก เย้งรำพึงในใจ เขาอาจโดนพ่อดุด่านิดหน่อย และไม่ว่ารายได้จะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็ตาม เงินทั้งหมดที่หาได้นั้นล้วนต้องตกเป็นของพ่อซึ่งตอนนี้อาจยังไม่ลุกจากที่นอน แต่เขากับพ่อก็มีกันและกันเพียงสองฅนเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อฟังคำดุด่าของพ่ออยู่ดี เด็กชายคิดขณะเดินฝ่าสายฝนที่เริ่มทะลุม่านหมอกลงมากับความหนาวเย็นนั้น

.
ผมมองผ่านกระจกสู่ม่านมัวจากละอองฝน ขณะรถแล่นลงดอย คิดถึงเรื่องราวที่จะเอามาขีดเขียนจากการเป็นนักอยากเขียนของผม บางทีเรื่องสั้นของผมอาจมีชื่อเรื่องว่า ‘อาเย้ง’ และอาจจะเปิดด้วยคำว่า ‘วันนี้ อาเย้ง หรือ ชัย เด็กชายตัวเล็กในหมู่บ้านบริเวณยอดดอยแห่งนี้ยังคงตื่นเช้าเช่นทุกวัน’



หมายเหตุ : หากท่านใดอ่านแล้วงงหรือไม่ชอบก็คงต้องขออภัย แต่หากท่านใดเข้าใจการนำเสนอไม่ว่าจะขอบหริอไม่ชอบก็ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่