เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวผมเองเมื่อสัก 4-5 ปีที่แล้ว ผมนัดกับเพื่อนแก๊งมหาลัยไปเที่ยวขนอมกัน ก่อนไปผมและเพื่อนอีกคน (ต่อไปขอเรียกไอ้เอ) ต้องรอเพื่อนที่เป็นพลขับสอนนักศึกษาเสร็จก่อนจึงออกเดินทางพร้อมกัน เพื่อนที่เป็นครูมหาลัย (ต่อไปขอเรียกว่าไอ้บี) เลยจองบ้านพักรับรองไว้ให้ผมกับไอ้เอนั่งนอนรอ
ทรงบ้านเป็นบ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็กๆ ที่มีหน้าต่างอยู่ทุกด้าน มีม่านผ้าปิดหน้าต่างทุกบาน ภายในมีห้องรับแขกที่มีโซฟาเป็นเฟอร์นิเจอเดียวตั้งอยู่ มีห้องน้ำเล็กๆ และห้องนอนอีกหนึ่งห้อง อ้อ แล้วก็มีพัดลมเพดานเก่าๆ ที่เปิดแล้วจะส่งเสียงคำรามหึ่งๆ พร้อมด้วยอาการสั่นพั่บๆ อีกหนึ่งตัว
ผมกับไอ้เอเข้าไปพักรอไอ้บีกันตอนบ่ายโมง กลางวันที่แดดข้างนอกร้อนสุดๆ ไอ้เอขอเข้าไปงีบรอในห้อง ส่วนผมนอนไถฟีดบนโซฟาในห้องรับแขก
ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอากาศข้างนอกร้อนและข้างในมีแต่พัดลมเพดานรึเปล่ามันถึงรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ไปจนถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนทั้งที่ก็ไม่ได้เจออะไร
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงไอ้เอก็ออกมาจากห้องแล้วชวนผมไปข้างนอก บอกว่านอนไม่หลับ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะในตอนนั้นมันไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดว่ามันมี
สุดท้ายเราเดินเล่นและหาอะไรกินรอไอ้บีอยู่ข้างนอกจนมันโทรตาม (ซึ่งกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง) เราจึงกลับไปเอาสัมภาระที่บ้านแล้วขึ้นรถออกเดินทางกัน
เคยได้ยินประโยคที่ว่า “การเดินทางไม่ได้สำคัญที่จุดหมาย แต่สำคัญที่ประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ระหว่างทาง” ไหมครับ ผมจะบอกว่าทริปนี้มันก็ควรเป็นแบบนั้น และในแง่นึงมันก็เป็นแบบนั้นนะ เพราะเราเที่ยวกันสนุกแต่อาจมีสะดุดบ้างก็ตรงที่ที่พักที่ขนอมของเรา (เมื่อไปถึงขนอมมีไอ้ซีกับไอ้ดีมาสมทบครบแก๊งพอดี) เป็นบ้านพักที่ไม่ตรงปกสักเท่าไหร่ บ้านเก่า เฟอร์นิเจอเก่า ตู้เสื้อผ้าเก่า และกระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่เหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญสักเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ทริปสะดุดเล็กๆ ก็คือในระหว่างที่เราก็แบ่งกันนอนห้องนึง 2 และอีกห้อง 3 คน ไอ้ซีตื่นกลางดึกแล้วไปนั่งคนเดียวที่ระเบียงหน้าบ้าน ไม่ปลุกไม่เรียกใคร (ที่รู้เพราะผมเองยังไม่หลับดีเพราะความรู้สึกมันไม่ปกติ บวกกับเวลางัวเงียใกล้จะหลับเหมือนไอ้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าที่เป็นตู้ไม้เปิดแง้มเสียงไม้ลั่นแอ๊ดๆ แต่เมื่อมองไปมันก็ไม่ได้แง้มไม่ได้เปิด
เช้าถัดมาไอ้เอที่ดูเหมือนจะนอนนิ่งที่สุด หลับดีที่สุดเปิดประเด็นขึ้นมาว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับเลยได้ยินเสียงคนเดินทั้งคืน ผมเองก็เล่าเรื่องตู้ในส่วนของผมแล้วถามไอ้ซีว่าออกไปข้างนอกทำไมตอนดึกๆ แล้วที่มันตอบกลับมาก็คือมันได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ แล้วเสียงมันไม่ได้มาจากข้างนอก เป็นเสียงแว่วเสียงครวญที่เหมือนดังอยู่ในหูจนมันทนไม่ได้เลยต้องลุกออกไปดูดบุหรี่และตั้งสติ สรุปสามคนเจอไม่เหมือนกันเลย!
ส่วนไอ้สองคนที่อยู่อีกห้องกลับหลับสบายยันเช้า…
เราพักที่นั่นแค่คืนเดียว อีกวันคือวันกลับแต่เราก็แวะเที่ยวจนมืด แต่ยิ่งดึกไอ้บียิ่งขับเร็ว เร็วจนเพื่อนต้องคอยเตือน เร็วอย่างผิดปกติวิสัย เร็วจนผิดสังเกตุ แต่ไอ้บีก็ทำแค่ยิ้มหัวเราะแล้วบอกผมกับไอ้เอว่าถนนมันโล่งเลยเหยียบได้เต็มที่ (แต่สำหรับคนนั่งอย่างผมและไอ้เอมันไม่ใช่แค่ถนนโล่ง มันเหมือนขับหนี ขับเพื่อรีบมากกว่าปกติเพื่ออะไรสักอย่าง แต่ในเมื่อมันตอบมาแบบนี้เราก็ไม่ได้ถามต่อ)
เรากลับถึงมหาลัยกันตอนตีสาม ผมกับไอ้เอเลยต้องนอนบ้านรับรองหลังเดิมเพื่อรอแยกย้ายกันเดินทางในตอนเช้า
ตัวผมนอนโซฟาห้องรับแขกที่เดิม ไอ้เอก็ไปนอนในห้องเหมือนเดิม แต่ไอ้ที่ว่าเหมือนเดิมมันดันไม่ใช่แค่นั้น ความรู้สึก อึดอัด ไม่ปลอดภัยก็ดันอยู่เหมือนเดิมผมเลยนอนไม่หลับทั้งที่ง่วงมากๆ แต่อยู่ๆ กลับง่วงจนทนไม่ได้ และในช่วงจังหวะที่จะหลับนั้นก็ได้ยินเสียงเดินไปมาจากนอกหน้าต่าง ลมที่พัดม่านหน้าต่างปลิวไสว แต่ไอ้วินาทีเจ้ากรรมที่ม่านพลิ้วนั่นแหละที่ตาผมมันดันเหลือบไปเห็นพอดี เห็นผู้หญิงผมยาวที่เดินผ่านม่านนั้นไป ความรู้สึกยะเยือกทำให้ตัวสั่นแข็ง กลัว แล้วเมื่อภาพที่เห็นลับตาไปมันก็ตามมาด้วยเสียงแว่วครวญที่ดังอยู่ในหู แล้วอยู่ๆ ร่างกายของผมมันก็กระตุกรัวแรงเหมือนคนชัก ผมรู้สึกตัวเต็มที่แต่สตินั้นแตกกระเจิง ผมควบคุมร่างกายให้หยุดกระตุกชักไม่ได้ทั้งที่รู้สึกตัวดีทุกอย่าง วินาทีนั้นร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง มันสั่นกระตุกไม่หยุดและแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไอ้เอคงได้ยินแล้วรีบออกจากห้องมาช่วย มันเขย่าตัวผมแล้วเรียกซ้ำๆ ผมเห็นและรับรู้ทุกอย่าง รู้ว่าไอ้เอกำลังเขย่าตัว รู้ว่ามันเรียก รู้ถึงกระทั่งสัมผัสได้ว่าไอ้เอก็กำลังสติแตกที้ห็นผมกระตุกไม่หยุดจนมันต้องเขย่าแรงขึ้นเรื่อยๆ และรู้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเป็นไปได้!! ผมเห็นร่างของตัวเองทั้งร่างที่กำลังชักกระตุกแรง เห็นตาของผมกำลังเหลือกค้าง เห็นไอ้เอที่กำลังเขย่าเรียก เห็นภาพทั้งหมดเหมือนผมกำลังยืนดูมันอยู่!!!
แล้วหลังจากนั้นอยู่ๆ อาการสั่นกระตุกก็หายไปเองตอนไหนไม่รู้ ผมรู้สึกตัวขึ้นและลุกนั่ง ไอ้เอยังคงอยู่ในอาการตกใจ มันถามผมว่าผมเป็นอะไร ผมได้แต่เงียบ เพิ่งเข้าใจว่าการกลัวจับจิต กลัวจนสะท้านทำอะไรไม่ถูกมันเป็นยังไง ตอนนั้นประมาณตีสี่ หลังจากนั้นผมกับไอ้เอก็นั่งกันอยู่ตรงนั้น นั่งนิ่งๆ ไม่พูดคุยกันจนเช้า
ทันทีที่ฟ้าเริ่มสางผมกับไอ้เอก็เก็บสัมภาระออกมาจากบ้านทันที ไม่นานไอ้บีก็มาถึง ผมคืนกุญแจบ้านให้มัน ฟ้าสว่างเต็มที่แล้วแต่ผมกับไอ้เอยังไม่ได้นอน ผมถามไอ้เอว่าผมชักกระตุกดังมากจนมันตื่นมาช่วยใช่ไหม แต่ไม่ใช่ ไอ้เอออกมาจากห้องเพราะนอนไม่หลับ ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา มันเลยจะออกมานอนกับผมแต่ดันเห็นผมชักเข้าไปอีก ผมเลยเล่าในส่วนของผมทั้งหมดไป ไอ้เอเสริมต่ออีกว่าจริงๆ มันก็รู้สึกผิดปกติตั้งแต่วันแรกที่มารอไอ้บีที่นี่แล้วมันเลยชวนผมออกไปรอข้างนอก
ส่วนไอ้บีอยู่ๆ ก็ขอโทษขึ้นมาเรื่องขับรถเร็วเมื่อคืน มันบอกปกติมันก็ไม่ขับเร็วขนาดนี้ และมันขับกลางคืนบ่อย วันกลับมันก็พักมาเต็มที่ แต่ในคืนนั้นเหมือนมันจะหลับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาให้ได้ มันรู้สึกได้เลยว่าไม่ปกติที่อยู่ๆ ทั้งที่วินาทีที่แล้วร่างกายยังพร้อมแล้วจะดับไปดื้อๆ มันรู้สึกได้เลยว่าเหมือนโดนบังคับให้หลับ มันเลยยิ่งรีบเพราะมันเองก็กังวลปนกลัว และเมื่อขับรถออกไปจากบ้านรับรองหลังนั้นไอ้บีก็เล่าอีกว่าวันที่ให้ผมกับไอ้เอมารอก่อนออกเดินทาง ตอนที่มันสอนเสร็จก่อนโทรหาผมมันก็ไปที่บ้านมาก่อน เห็นเป็นเงาคนเดินอยู่ในบ้าน (เห็นผ่านม่านเพราะไฟข้างในเปิดทิ้งไว้เลยพอเห็นทะลุได้) แต่เมื่อมันจะไปเปิดประตูก็เห็นว่าประตูล็อคแม่กุญแจไว้เลยโทรหาผม แต่ไม่อยากเล่าให้ฟังตอนนั้นเพราะกลัวจะเที่ยวไม่สนุก
แล้วมันก็ทิ้งท้ายก่อนแยกกันว่าจริงๆ บ้านรับรองหลังนี้มันก็มีเรื่องเล่าเยอะแต่มันไม่เคยเชื่อเลยจองให้ผมกับไอ้เอมานอนรอจนเจอแจ็คพ็อตเข้าให้
หลังกลับถึงบ้านผมโทรไปเล่าเรื่องที่บ้านพักให้ไอ้ดีฟัง (ไอ้ดีคือคนสุราษฯ ที่ไม่ได้ร่วมชะตากรรมเจอของดีใดๆ เลยในทริปนี้ และมันก็เป็นคนที่ไม่เคยเจอและเชื่อในเรื่องพวกนี้เลย) มันตอบกลับมาประโยคเดียวว่า “ไอ้ควายเป็นลมบ้าหมูเป็นลมชักก็ไปหาหมอเช็คร่างกายไม่ใช่มาโทษผี”
จบครับ
เพื่อนเที่ยวคนที่ 6
ทรงบ้านเป็นบ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็กๆ ที่มีหน้าต่างอยู่ทุกด้าน มีม่านผ้าปิดหน้าต่างทุกบาน ภายในมีห้องรับแขกที่มีโซฟาเป็นเฟอร์นิเจอเดียวตั้งอยู่ มีห้องน้ำเล็กๆ และห้องนอนอีกหนึ่งห้อง อ้อ แล้วก็มีพัดลมเพดานเก่าๆ ที่เปิดแล้วจะส่งเสียงคำรามหึ่งๆ พร้อมด้วยอาการสั่นพั่บๆ อีกหนึ่งตัว
ผมกับไอ้เอเข้าไปพักรอไอ้บีกันตอนบ่ายโมง กลางวันที่แดดข้างนอกร้อนสุดๆ ไอ้เอขอเข้าไปงีบรอในห้อง ส่วนผมนอนไถฟีดบนโซฟาในห้องรับแขก
ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอากาศข้างนอกร้อนและข้างในมีแต่พัดลมเพดานรึเปล่ามันถึงรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ไปจนถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนทั้งที่ก็ไม่ได้เจออะไร
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงไอ้เอก็ออกมาจากห้องแล้วชวนผมไปข้างนอก บอกว่านอนไม่หลับ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะในตอนนั้นมันไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดว่ามันมี
สุดท้ายเราเดินเล่นและหาอะไรกินรอไอ้บีอยู่ข้างนอกจนมันโทรตาม (ซึ่งกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง) เราจึงกลับไปเอาสัมภาระที่บ้านแล้วขึ้นรถออกเดินทางกัน
เคยได้ยินประโยคที่ว่า “การเดินทางไม่ได้สำคัญที่จุดหมาย แต่สำคัญที่ประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ระหว่างทาง” ไหมครับ ผมจะบอกว่าทริปนี้มันก็ควรเป็นแบบนั้น และในแง่นึงมันก็เป็นแบบนั้นนะ เพราะเราเที่ยวกันสนุกแต่อาจมีสะดุดบ้างก็ตรงที่ที่พักที่ขนอมของเรา (เมื่อไปถึงขนอมมีไอ้ซีกับไอ้ดีมาสมทบครบแก๊งพอดี) เป็นบ้านพักที่ไม่ตรงปกสักเท่าไหร่ บ้านเก่า เฟอร์นิเจอเก่า ตู้เสื้อผ้าเก่า และกระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่เหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญสักเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ทริปสะดุดเล็กๆ ก็คือในระหว่างที่เราก็แบ่งกันนอนห้องนึง 2 และอีกห้อง 3 คน ไอ้ซีตื่นกลางดึกแล้วไปนั่งคนเดียวที่ระเบียงหน้าบ้าน ไม่ปลุกไม่เรียกใคร (ที่รู้เพราะผมเองยังไม่หลับดีเพราะความรู้สึกมันไม่ปกติ บวกกับเวลางัวเงียใกล้จะหลับเหมือนไอ้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าที่เป็นตู้ไม้เปิดแง้มเสียงไม้ลั่นแอ๊ดๆ แต่เมื่อมองไปมันก็ไม่ได้แง้มไม่ได้เปิด
เช้าถัดมาไอ้เอที่ดูเหมือนจะนอนนิ่งที่สุด หลับดีที่สุดเปิดประเด็นขึ้นมาว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับเลยได้ยินเสียงคนเดินทั้งคืน ผมเองก็เล่าเรื่องตู้ในส่วนของผมแล้วถามไอ้ซีว่าออกไปข้างนอกทำไมตอนดึกๆ แล้วที่มันตอบกลับมาก็คือมันได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ แล้วเสียงมันไม่ได้มาจากข้างนอก เป็นเสียงแว่วเสียงครวญที่เหมือนดังอยู่ในหูจนมันทนไม่ได้เลยต้องลุกออกไปดูดบุหรี่และตั้งสติ สรุปสามคนเจอไม่เหมือนกันเลย!
ส่วนไอ้สองคนที่อยู่อีกห้องกลับหลับสบายยันเช้า…
เราพักที่นั่นแค่คืนเดียว อีกวันคือวันกลับแต่เราก็แวะเที่ยวจนมืด แต่ยิ่งดึกไอ้บียิ่งขับเร็ว เร็วจนเพื่อนต้องคอยเตือน เร็วอย่างผิดปกติวิสัย เร็วจนผิดสังเกตุ แต่ไอ้บีก็ทำแค่ยิ้มหัวเราะแล้วบอกผมกับไอ้เอว่าถนนมันโล่งเลยเหยียบได้เต็มที่ (แต่สำหรับคนนั่งอย่างผมและไอ้เอมันไม่ใช่แค่ถนนโล่ง มันเหมือนขับหนี ขับเพื่อรีบมากกว่าปกติเพื่ออะไรสักอย่าง แต่ในเมื่อมันตอบมาแบบนี้เราก็ไม่ได้ถามต่อ)
เรากลับถึงมหาลัยกันตอนตีสาม ผมกับไอ้เอเลยต้องนอนบ้านรับรองหลังเดิมเพื่อรอแยกย้ายกันเดินทางในตอนเช้า
ตัวผมนอนโซฟาห้องรับแขกที่เดิม ไอ้เอก็ไปนอนในห้องเหมือนเดิม แต่ไอ้ที่ว่าเหมือนเดิมมันดันไม่ใช่แค่นั้น ความรู้สึก อึดอัด ไม่ปลอดภัยก็ดันอยู่เหมือนเดิมผมเลยนอนไม่หลับทั้งที่ง่วงมากๆ แต่อยู่ๆ กลับง่วงจนทนไม่ได้ และในช่วงจังหวะที่จะหลับนั้นก็ได้ยินเสียงเดินไปมาจากนอกหน้าต่าง ลมที่พัดม่านหน้าต่างปลิวไสว แต่ไอ้วินาทีเจ้ากรรมที่ม่านพลิ้วนั่นแหละที่ตาผมมันดันเหลือบไปเห็นพอดี เห็นผู้หญิงผมยาวที่เดินผ่านม่านนั้นไป ความรู้สึกยะเยือกทำให้ตัวสั่นแข็ง กลัว แล้วเมื่อภาพที่เห็นลับตาไปมันก็ตามมาด้วยเสียงแว่วครวญที่ดังอยู่ในหู แล้วอยู่ๆ ร่างกายของผมมันก็กระตุกรัวแรงเหมือนคนชัก ผมรู้สึกตัวเต็มที่แต่สตินั้นแตกกระเจิง ผมควบคุมร่างกายให้หยุดกระตุกชักไม่ได้ทั้งที่รู้สึกตัวดีทุกอย่าง วินาทีนั้นร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง มันสั่นกระตุกไม่หยุดและแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไอ้เอคงได้ยินแล้วรีบออกจากห้องมาช่วย มันเขย่าตัวผมแล้วเรียกซ้ำๆ ผมเห็นและรับรู้ทุกอย่าง รู้ว่าไอ้เอกำลังเขย่าตัว รู้ว่ามันเรียก รู้ถึงกระทั่งสัมผัสได้ว่าไอ้เอก็กำลังสติแตกที้ห็นผมกระตุกไม่หยุดจนมันต้องเขย่าแรงขึ้นเรื่อยๆ และรู้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเป็นไปได้!! ผมเห็นร่างของตัวเองทั้งร่างที่กำลังชักกระตุกแรง เห็นตาของผมกำลังเหลือกค้าง เห็นไอ้เอที่กำลังเขย่าเรียก เห็นภาพทั้งหมดเหมือนผมกำลังยืนดูมันอยู่!!!
แล้วหลังจากนั้นอยู่ๆ อาการสั่นกระตุกก็หายไปเองตอนไหนไม่รู้ ผมรู้สึกตัวขึ้นและลุกนั่ง ไอ้เอยังคงอยู่ในอาการตกใจ มันถามผมว่าผมเป็นอะไร ผมได้แต่เงียบ เพิ่งเข้าใจว่าการกลัวจับจิต กลัวจนสะท้านทำอะไรไม่ถูกมันเป็นยังไง ตอนนั้นประมาณตีสี่ หลังจากนั้นผมกับไอ้เอก็นั่งกันอยู่ตรงนั้น นั่งนิ่งๆ ไม่พูดคุยกันจนเช้า
ทันทีที่ฟ้าเริ่มสางผมกับไอ้เอก็เก็บสัมภาระออกมาจากบ้านทันที ไม่นานไอ้บีก็มาถึง ผมคืนกุญแจบ้านให้มัน ฟ้าสว่างเต็มที่แล้วแต่ผมกับไอ้เอยังไม่ได้นอน ผมถามไอ้เอว่าผมชักกระตุกดังมากจนมันตื่นมาช่วยใช่ไหม แต่ไม่ใช่ ไอ้เอออกมาจากห้องเพราะนอนไม่หลับ ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา มันเลยจะออกมานอนกับผมแต่ดันเห็นผมชักเข้าไปอีก ผมเลยเล่าในส่วนของผมทั้งหมดไป ไอ้เอเสริมต่ออีกว่าจริงๆ มันก็รู้สึกผิดปกติตั้งแต่วันแรกที่มารอไอ้บีที่นี่แล้วมันเลยชวนผมออกไปรอข้างนอก
ส่วนไอ้บีอยู่ๆ ก็ขอโทษขึ้นมาเรื่องขับรถเร็วเมื่อคืน มันบอกปกติมันก็ไม่ขับเร็วขนาดนี้ และมันขับกลางคืนบ่อย วันกลับมันก็พักมาเต็มที่ แต่ในคืนนั้นเหมือนมันจะหลับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเอาให้ได้ มันรู้สึกได้เลยว่าไม่ปกติที่อยู่ๆ ทั้งที่วินาทีที่แล้วร่างกายยังพร้อมแล้วจะดับไปดื้อๆ มันรู้สึกได้เลยว่าเหมือนโดนบังคับให้หลับ มันเลยยิ่งรีบเพราะมันเองก็กังวลปนกลัว และเมื่อขับรถออกไปจากบ้านรับรองหลังนั้นไอ้บีก็เล่าอีกว่าวันที่ให้ผมกับไอ้เอมารอก่อนออกเดินทาง ตอนที่มันสอนเสร็จก่อนโทรหาผมมันก็ไปที่บ้านมาก่อน เห็นเป็นเงาคนเดินอยู่ในบ้าน (เห็นผ่านม่านเพราะไฟข้างในเปิดทิ้งไว้เลยพอเห็นทะลุได้) แต่เมื่อมันจะไปเปิดประตูก็เห็นว่าประตูล็อคแม่กุญแจไว้เลยโทรหาผม แต่ไม่อยากเล่าให้ฟังตอนนั้นเพราะกลัวจะเที่ยวไม่สนุก
แล้วมันก็ทิ้งท้ายก่อนแยกกันว่าจริงๆ บ้านรับรองหลังนี้มันก็มีเรื่องเล่าเยอะแต่มันไม่เคยเชื่อเลยจองให้ผมกับไอ้เอมานอนรอจนเจอแจ็คพ็อตเข้าให้
หลังกลับถึงบ้านผมโทรไปเล่าเรื่องที่บ้านพักให้ไอ้ดีฟัง (ไอ้ดีคือคนสุราษฯ ที่ไม่ได้ร่วมชะตากรรมเจอของดีใดๆ เลยในทริปนี้ และมันก็เป็นคนที่ไม่เคยเจอและเชื่อในเรื่องพวกนี้เลย) มันตอบกลับมาประโยคเดียวว่า “ไอ้ควายเป็นลมบ้าหมูเป็นลมชักก็ไปหาหมอเช็คร่างกายไม่ใช่มาโทษผี”
จบครับ