เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าของเฟสบุค Phuchit (ทนายอ้วน แฟนรายการพระเจอผี)
และเรื่องนี้ได้รับการเล่าลงช่องพระเจอผีแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รับฟังที่นี่https://www.youtube.com/channel/UC81LCFRvhhBxuNY4lYYVOaw
ในราวๆปี2540 ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนย่านพระโขนง
แม้จะเรียนระดับปริญญาตรี แต่ความสนใจในไสยเวทย์ไม่น้อยไปกว่าบทเรียนในมหาวิทยาลัย
ในช่วงนั้นละครแนวขุนโจรแฟนตาซี..ช่อง๗ ดังมาก ผมและเพื่อนๆก็เลยมักจะสรรหาของดีไสยเวทย์อาคมมาบูชาหรือพกติดตัวเสมอ
ในบรรดาคณาจารย์ต่างๆที่ผมและเพื่อนไปบ่อยๆ คือ อาจารย์โบ้ว อาจารย์โบ้วท่านเป็นอาจารย์ฆราวาสที่มีเวทย์อาคมขลัง
สำหรับผมเคยมีประสบการณ์เห็นความขลังของ อาจารย์โบ้ว ครั้งหนึ่ง คือ เคยมีคนเชิญอาจารย์ไปดูที่ดินที่อาถรรพ์ที่ขายไม่ได้สักที
เมื่อไปถึงท่านอาจารย์ไม่มีการตั้งปะรำพิธีอะไรเลยแบบในภาพยนตร์ ท่านอาจารย์ปูพรมแก่ๆๆเก่าๆกลิ่นตุๆๆ
แล้วลงนั่งสมาธิสื่อทันที ท่านอาจารย์จะให้ผมเป็นคนเอาธูปไปจุดเพื่ออัญเชิญเจ้าที่มาสื่อ แล้วท่านจะนั่งบนพรม
ท่านอาจารย์นั่งสื่อไป15นาที ก็เรียกเจ้าของที่มาว่า ที่ดินผืนนี้จะขายได้ต้องทำบุญอุทิศให้ตายาย….
เจ้าของที่ดินที่ตายติดที่ดิน ..เพราะบรรพบุรุษของเจ้าของที่ดิน ได้ไปโกงที่ดินผืนนี้มาเลยทำให้ลูกหลานที่ได้รับสืบทอดที่ดินผืนนี้
มีแต่เหตุที่ทำให้จนลง
หรือคนในตระกูลนี้ทำธุรกิจอะไรก็ล้มละลาย จนมีคนในตระกูลบางคนฆ่าตัวตาย
เมื่อทำพิธีขายที่ได้แล้วให้นำเงินนี้ไปให้ตายายที่ปลูกผักในแปลงข้างๆ เมื่ออาจารย์โบ้วสื่อเสร็จ
เจ้าของที่ดินถึงกับอึ้งเพราะเขาเป็นทายาทรุ่นที่4ที่ได้รับสืบทอดที่ดินนี้มา และได้ทราบความเป็นมาเป็นไปว่าทายาทในตระกูลเขาเป็นอย่างที่อาจารย์โบ้วพูดจริงๆ
ก็ติดตรงทำไมต้องเอาเงินบางส่วนไปให้ตากับยายที่ปลูกผักข้างๆ ……
อาจารย์โบ้ว จึงสื่อได้ความว่า ตายายคือลูกหลานของคนที่ถูกโกงที่ดินไป …..
เจ้าของที่ดินไม่เชื่อ จึงให้คนไปตามตายายมา ตายายก็เล่าความเป็นมาดั่งที่อาจารย์โบ้วสื่อได้ทุกประการ
และหลังจากนั้น เมื่อทำพิธีเสร็จปรากฏว่าไม่ถึงเดือนที่ดินผืนนั้นก็ขายได้ในราคาหลักสิบล้าน(ทั้งที่ช่วงนั้นเป็นวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง)….
.เหตุการณ์นี้ผมอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด ผมจึงศรัทธากราบฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์โบ้วทั้งกายและใจ…
เมื่อผมกราบอาจารย์โบ้วเป็นศิษย์ผมไม่ยอมเป็นศิษย์ธรรมดาแค่สักหรือกราบธรรมดา ผมขอเรียนวิชากับท่านอาจารย์โบ้วด้วย
ซึ่งท่านอาจารย์ก็เมตตาผม ไม่ว่าท่านจะไปทำพิธีอะไร ที่ไหน หากมีเวลาท่านจะต้องเรียกผมไปด้วยเสมอ
และก็สอนให้ผมเรียนรู้ในศาสตร์พระเวทย์และอาคมเรื่อยมา …..
ในบรรดาศิษย์ที่เรียนพระเวทย์ด้วยกันมีศิษย์พี่ที่สนิทกับผมหนึ่งคนคือ พี่ชิด พีชิดมีน้องชายชื่อพี่เก้า
ทั้งสองคนเป็นลูกบุญธรรมพ่ออาจารย์โบ้ว พี่ชิดเรียนวิชาแต่พี่เก้าพ่ออาจารยืแกส่งเสียให้เรียนหนังสืออย่างเดียว
พี่เก้าแกไปได้รู้จักพยาบาลสาวท่านนึง ก็คบมาตั้งแต่เป็นนักเรียนพยาบาลจนได้บรรจุเป็นพยาบาลวิชาชีพ
พี่เก้าตัดสินใจขอพยาบาลท่านนี้แต่งงาน พยาบาลตอบตกลง และได้แจ้งทางพ่อแม่ของเธอว่า
ตกลงแต่งงานกับพี่เก้า ทางพ่อแม่ของเธอไม่ขัดข้องไม่เรียกสินสอดแต่ขอให้มาผูกข้อมือกันตามธรรมเนียม
และมีเลี้ยงญาติๆในหมู่บ้านเท่านั้น ..พี่เก้าดีใจก็มาบอกพ่ออาจารย์ให้ไปเป็นเถ้าแก่
พ่ออาจารย์ดูวันมงคลเรียงหมอนแล้วก็ให้พี่เก้าแจ้งทางพ่อแม่ของว่าที่เจ้าสาวไป …
ครั้นถึงวันเดินทางพ่ออาจารย์ร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าว
มี พี่ชิด ผม พี่เก้า และ จ่าดับ(ประดับ) ทหารเกษียณที่คอยขับรถพาพ่ออาจารย์ไปที่ต่างๆ
โดยพ่ออาจารย์จะเอารถ MU-7 ของท่านไป เมื่อไปถึงลำปางท่านก็ยังไม่ไปบ้านเจ้าสาวทันที ท่านก็พาพวกเรา
ไปกราบพระธาตุลำปางหลวง พ่ออาจารย์ก็เล่าประวัติพระแก้วมรกตองค์ที่๒ที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่นว่า
" เทวดาเอาแก้วมรกตไปใส่แตงโมทที่นางสุชาดาไปถวายพระอรหันต์ เมื่อผ่าก็กลายเป็นก้อนมรกตมีตาปะขาวซึ่งเป็นพระอินทร์ปลอมตัวมา
อาสาแกะพระให้ เมื่อแกะเสร็จตาปะขาวก็หายไป ครั้นเมื่อพระมหาเถรและนางสุชาดาทำการสมโภชแล้วก็ถวายพระนามพระพุทธรูปแก้วมรกตองค์นั้นว่า
"พระแก้วดอนเต้า" ต่อมาพระมหาเถระและนางสุชาดาถูกเจ้าผู้ครองนครลำปางสั่งประหาร
โดยมีผู้ใส่ความว่าเป็นชู้กับพระมหาเถระ ก่อนตายนางได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าตนไม่มีความผิดขอให้เลือดพุ่งขึ้นสู่อากาศ
เป็นการประกาศความบริสุทธิ์เพื่อให้พระมหาเถระพ้นข้อครหา เหตุการณ์เป็นดังคำอธิษฐานของนาง
เมื่อพระมหาเถระพ้นจากความผิดจึงอัญเชิญพระแก้วไปประดิษฐานยังวัดพระธาตุลำปางหลวงตราบถึงปัจจุบันนี้"
เมื่อฟังพ่ออาจารย์จบ ผมเองก็อดทึ่งไม่ได้ที่พ่ออาจารญ์เล่าประวัติต่างๆได้เป็นคุ้งเป็นแคว
พลางนึกไปว่าการที่ผมได้มาครั้งนี้ได้เที่ยวไปด้วยได้ความรู้ไปด้วยแล้วพี่ดับก็พาเราเข้าสู่อำเภอแจ้ห่ม
ในช่วงเกือบสี่โมงเย็น เมื่อถึงบ้านงาน พี่ชิด พี่เก้า ก็ไปทักทายครอบครัวเจ้าสาว
พี่ดับก็ ถามว่าพ่ออาจารย์จะพักที่ไหน พ่ออาจารย์บอกว่าท่านจะพักในรถ
ให้พี่ดับไปพักบนบ้านงาน และให้ผมคอยรับใช้เพียงคนเดียว ทีนี้พ่ออาจารย์ก็หันมาบอกผมว่า
ไอ้พุกที่พ่อไม่พักบ่านงานนี่เพราะว่าบ้านหลังนี้เขาเลี้ยงผีปู่ย่า ผิดกฏครูบาอาจารย์ พ่อเลยจะพักในรถ
ผมก็พยักหน้าตอบว่าครับ ท่านก็บอกว่า ถ้าเอ็งหิวข้าวก็ไปกินที่บ้านงานก็ได้ เอ็งไม่เป็นไร ยังเด็กยังไม่ถือเยอะ
ผมก็ตอบว่าครับพ่อ ส่วนตัวพ่ออาจารย์ท่านไม่ทานมื้อเย็นอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหาในการทานอาหาร ท่านจะดื่มเพียงน้ำเท่านั้น
ผมก็จัดแจงหาน้ำดื่มไว้ให้ท่าน ระหว่างนั้นก็มีคนแก่คนนึงมาทักว่า พ่อหนุ่มนอนกันในรถไม่กลัวเหรอ
แถวนี้ปอบชุมนะ พ่ออาจารย์ตอบไปว่า ไม่เป็นไรวิเวกดี ชายแก่ก็บอกว่า อย่าหนีก็แล้วกัน พ่ออาจารย์ตอบว่า
พรุ่งนี้เจอกัน ผมก็บอกว่าคนไรวะยียวนอยู่ได้ พ่ออาจารย์ก็พูดว่าช่างเขาเถอะพ่ออาจารย์ท่านก็ไม่สนใจไรอีก
ท่านก็หันมาบอกผมว่า “พุกเอ้ย……เอ็งไปเอาหินมาแปดก้อน แล้วเสกด้วยคาถาหว่านทรายนะ”
“ทำไมครับพ่ออาจารย์”…ผมถาม “อย่าไว้ใจลูก……ป่าเขาแบบนี้อาถรรพ์มากต้องระวัง”
พ่ออาจารย์ตอบ (ท่านผู้อ่านครับถึงตอนนี้นายพุก อธิบายว่า การเอาหินมาเสกเป็นเรื่องวิธีของชาวอาถรรพ์พวกเล่นของเขานิยมทำกัน
นัยว่าเป็นการระบุเขตอาคมกันสิ่งไม่พึงประสงค์เข้ามา เหมือนในหนังการ์ตูนที่เป็นม่านบาเรียกันพลังงานอะไรทำนองนี้)
เมื่อผมเสกด้วยคาถาหว่านทรายที่ขึ้นต้นด้วย อิมัสมิง ราชะเสมานา……
ครบแปดก้อนก็ไปวางตามทิศทั้งแปดห่างจากรถพ่ออาจารย์ ประมาณสามเมตร
เมื่อครบทั้งแปดทิศ พ่ออาจารย์ท่านก็เข้าสู่การนั่งสมาธิ ผมเห็นว่าในรถแคบๆก็เอาถุงนอนออกมานอนข้างๆรถ
อากาศแจ้ห่มในฤดูหนาว มันหนาวจัดมากจริงๆๆ แต่ก็อาศัยมีการเอากองไฟมาก่อข้างๆรถ ประมาณสักเกือบเที่ยงคืน พี่ชิดก็วิ่งมาหาผม
“เอ้ย….พุกเด็กอ่อนในบ้านงานอยู่ก็ร้องจ้าเลยว่ะทำอย่างไรก็ไม่หยุด บอกพ่ออาจารย์ที”พี่ชิดบอก
“เอ่อพ่ออาจารย์เข้าสมาธิอยู่พี่…เด็กมาผิดที่เจออะไรที่มองไม่เห็นเปล่าพี่ จุดธูปบอกผีปู่ย่าในบ้านเจ้าที่เจ้าทางยังพี่” ผมถาม
“เออว่ะเดี๋ยวลองไปจุดก่อน” พี่ชิดก็วิ่งไปที่ตัวบ้านงาน เพื่อจุดธูปไหว้ เจ้าที่
สักประมาณสิบนาที พี่ชิดก็วิ่งมาบอกผมให้ตามพ่ออาจารย์ไปโดยเร็ว
เพราะที่ตัวเด็กทารกที่มาในบ้านงานเหมือนมีรอยมือที่หน้าอก สักพักพ่ออาจารย์ก็บอกว่า"เขาลองเราแล้ว"
พ่ออาจารย์จึงเอาพระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณคู่กายลงไป แล้วกำชับให้ผมอยู่ในรถ พร้อมกำกับผมว่า
มีอะไรสัตว์อะไรวิ่งมาในวงล้อมที่เราเสกหินเป็นพระคาถาพุทธคุณอสุรกายใดๆไม่สามารถทำอะไรได้
พร้อมทั้งท่านได้ยกไม้ครูไผ่ตันให้ผมและสั่งว่า “พุกเอ้ยถ้ามันมาป้วนเปี้ยนแม้มันเข้ามาในวงล้อมไม่ได้
ให้อาราธนาไม้ครูนี้ สวดด้วย นะ เท พัง โต หา ยะ เท ยะ 8จบแล้วโบกลมไปนะมันจะพ่ายแพ้” แล้วพ่ออาจารย์ก็ตามพี่ชิดเข้าไป……
ต่อไปนี้นะครับเป็นเรื่องที่พี่ชิดเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อไปถึงบ้าน ครอบครัวเจ้าสาวเอาพระพุทธรูปปูนแบบสังฆทานมาวางเด็กก็ยังร้อง
รอยมือที่หน้าอกก็ยังชัดเจน พ่ออาจารย์สั่งให้พี่ชิดไปจุดธูปห้าดอกบอกผีบ้านผีเรือนเจ้าที่
และ ให้พี่เก้าและว่าที่เจ้าเสาว ไปจุดธูปที่ขันธ์ปู่ย่าขออนุญาต เสร็จแล้วพ่ออาจารย์ให้เอาเด็กทารกวางบนเบาะ
พร้อมเอาแก้วใส่ข้าวสารวางบนหัวเด็กทารก พ่ออาจารย์ท่านก็ได้พนมมืออธิษฐานที่พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณอันเชิญครูบาอาจารย์
ท่านได้สวด นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ได้ห้าจบ ท่านก็สวดมหามนต์พลิกธรณี โดยเอาพระขรรค์ปักลงในข้าวสาร
พร้อมภาวนา มหามนต์พลิกธรณี สักพักหมาก็หอนพี่ชิดเล่าว่าหมามายืนเรียงกระดานหันหน้าออกไปทางรั้วบ้านหอนพร้อมกัน
พี่ชิดใจร้อนเดินออกไปดูหมาที่หันหน้าออกรั้วหอน พี่ชิดก็ตกใจ เห็นหมาตัวใหญ่เท่าม้า
ก็ร้องเสียงร้องหลง ตะโกนว่า"พ่ออาจารย์" พ่ออาจารย์บอกมันเป็นหมานิลไม่ต้องกลัว
สักพักพ่ออาจารย์ก็เอาข้าวสารซัดไปทางที่พี่ชิดเห็นหมานิลซึ่งทุกคนในบ้านก็เห็นเป็นที่ว่างๆไม่มีสิ่งใดอยู่หน้ารัวบ้าน
แต่มีเสียง โอ้ยยยยยยยยยยยย เสียงดัง พ่ออาจารย์ท่านตวาดไปว่า “พรุ่งนี้จะทำพิธีมงคล
ยังอุตส่าห์จะมาเล่นงานทารกวัยอ่อน จงไป พุทธังปัจจักขาขับ ธัมมังปัจจักขาขับ สังฆังปัจจักขาขับ
พระพุทธเจ้าพระอิศวรทรงใช้ให้กูมาขับผีปอบทั้งมวลด้วยพุทธชัยยะชนะมงคล พุทธชัยยะชนะมาร ”
สักพักก็ได้ยินเสียงว่าโอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยแล้วพี่ชิดก็เห็น หมานิลวิ่งหนีไป เด็กทารกก็หยุดร้อง
พ่ออาจารย์ก็เอาสายสิญจน์ผูกที่แขนทารก พ่อแม่เด็กก็มากล่าวขอบคุณ
พ่ออาจารย์ก็เล่าเรื่องชายแก่เมื่อช่วงโพล้เพล้ ทางเจ้าภาพก็บอกว่าไม่รู้จักและไม่มีใครลักษณะนี้เข้ามาในงาน
พี่ชิดก็ถามพ่ออาจารย์ว่าเป็นพวกไหน พ่ออาจารย์ท่านก็บอกว่าเป็นปอบวิชาที่เป็นพวกเล่นของแล้วคุมของตนเองไม่ก็เลยเป็นเช่นนี้
พี่ชิดก็บอกว่าห่วงผมที่อยู่ที่รถที่จอดข้างๆที่รกร้างริมรั้ว พ่ออาจารย์ก็บอกว่าไม่น่าห่วงหลังจากนายพุกได้เล่าเรื่องพ่ออาจารย์ปราบหมานิลไปแล้ว
ผมก็ได้ถามว่า"แล้วตกลงไอ้เจ้าหมานิลเป็นใคร" นายพุกก็ตอบว่า “นี่แหล่ะผมจะเล่าให้คุณฟัง………”
หลังจากพ่ออาจารย์ไปแล้วผมก็นอนเฝ้ารถยนต์ตามปกติ และก็คอยเฝ้าเติมฟืนระหว่างนั้นก็มีคนมายืนหน้าที่ที่เป็นสถานที่จอดรถ ร้องเรียกว่า
“พุก พ่ออาจารย์ให้เข้าไปหาที่บ้านงาน” นั่นมันเป็นพี่ชิดมายืนเรียก ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรก็บอกว่า
“พี่ชิดมาช่วยกันเก็บของพ่ออาจารย์ก่อนดิ” “ไม่พี่ไม่เข้า”เสียงตอบจากพี่ชิด ปรากฏว่าอย่างไรพี่ชิด ก็ยังไม่ยอมเข้ามาใกล้อาณาเขตรถ
ผมนึกถึงคำพ่ออาจารย์ได้ เลยสวดมนต์เอาไม้เท้าโบกลม ก็มีเสียงร้องโอ๊ยยยยยยยย แล้ว กลายเป็นหมาตัวเท่าม้าวิ่งหนีไป
สักพัก พ่ออาจารย์พร้อมคนในบ้านเดินมาถึงที่รถ ถามผมว่าเป็นอะไรไหม ผมตอบไม่เป็นไรครับพ่อ บ้านเจ้าสาวต่างตกใจถามพ่ออาจารย์ว่าเป็นใคร
*********ตอนจบในคอมเม้นท์************
ผีกะที่แจ้ห่ม
เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าของเฟสบุค Phuchit (ทนายอ้วน แฟนรายการพระเจอผี)
และเรื่องนี้ได้รับการเล่าลงช่องพระเจอผีแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในราวๆปี2540 ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนย่านพระโขนง
แม้จะเรียนระดับปริญญาตรี แต่ความสนใจในไสยเวทย์ไม่น้อยไปกว่าบทเรียนในมหาวิทยาลัย
ในช่วงนั้นละครแนวขุนโจรแฟนตาซี..ช่อง๗ ดังมาก ผมและเพื่อนๆก็เลยมักจะสรรหาของดีไสยเวทย์อาคมมาบูชาหรือพกติดตัวเสมอ
ในบรรดาคณาจารย์ต่างๆที่ผมและเพื่อนไปบ่อยๆ คือ อาจารย์โบ้ว อาจารย์โบ้วท่านเป็นอาจารย์ฆราวาสที่มีเวทย์อาคมขลัง
สำหรับผมเคยมีประสบการณ์เห็นความขลังของ อาจารย์โบ้ว ครั้งหนึ่ง คือ เคยมีคนเชิญอาจารย์ไปดูที่ดินที่อาถรรพ์ที่ขายไม่ได้สักที
เมื่อไปถึงท่านอาจารย์ไม่มีการตั้งปะรำพิธีอะไรเลยแบบในภาพยนตร์ ท่านอาจารย์ปูพรมแก่ๆๆเก่าๆกลิ่นตุๆๆ
แล้วลงนั่งสมาธิสื่อทันที ท่านอาจารย์จะให้ผมเป็นคนเอาธูปไปจุดเพื่ออัญเชิญเจ้าที่มาสื่อ แล้วท่านจะนั่งบนพรม
ท่านอาจารย์นั่งสื่อไป15นาที ก็เรียกเจ้าของที่มาว่า ที่ดินผืนนี้จะขายได้ต้องทำบุญอุทิศให้ตายาย….
เจ้าของที่ดินที่ตายติดที่ดิน ..เพราะบรรพบุรุษของเจ้าของที่ดิน ได้ไปโกงที่ดินผืนนี้มาเลยทำให้ลูกหลานที่ได้รับสืบทอดที่ดินผืนนี้
มีแต่เหตุที่ทำให้จนลง
หรือคนในตระกูลนี้ทำธุรกิจอะไรก็ล้มละลาย จนมีคนในตระกูลบางคนฆ่าตัวตาย
เมื่อทำพิธีขายที่ได้แล้วให้นำเงินนี้ไปให้ตายายที่ปลูกผักในแปลงข้างๆ เมื่ออาจารย์โบ้วสื่อเสร็จ
เจ้าของที่ดินถึงกับอึ้งเพราะเขาเป็นทายาทรุ่นที่4ที่ได้รับสืบทอดที่ดินนี้มา และได้ทราบความเป็นมาเป็นไปว่าทายาทในตระกูลเขาเป็นอย่างที่อาจารย์โบ้วพูดจริงๆ
ก็ติดตรงทำไมต้องเอาเงินบางส่วนไปให้ตากับยายที่ปลูกผักข้างๆ ……
อาจารย์โบ้ว จึงสื่อได้ความว่า ตายายคือลูกหลานของคนที่ถูกโกงที่ดินไป …..
เจ้าของที่ดินไม่เชื่อ จึงให้คนไปตามตายายมา ตายายก็เล่าความเป็นมาดั่งที่อาจารย์โบ้วสื่อได้ทุกประการ
และหลังจากนั้น เมื่อทำพิธีเสร็จปรากฏว่าไม่ถึงเดือนที่ดินผืนนั้นก็ขายได้ในราคาหลักสิบล้าน(ทั้งที่ช่วงนั้นเป็นวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง)….
.เหตุการณ์นี้ผมอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด ผมจึงศรัทธากราบฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์โบ้วทั้งกายและใจ…
เมื่อผมกราบอาจารย์โบ้วเป็นศิษย์ผมไม่ยอมเป็นศิษย์ธรรมดาแค่สักหรือกราบธรรมดา ผมขอเรียนวิชากับท่านอาจารย์โบ้วด้วย
ซึ่งท่านอาจารย์ก็เมตตาผม ไม่ว่าท่านจะไปทำพิธีอะไร ที่ไหน หากมีเวลาท่านจะต้องเรียกผมไปด้วยเสมอ
และก็สอนให้ผมเรียนรู้ในศาสตร์พระเวทย์และอาคมเรื่อยมา …..
ในบรรดาศิษย์ที่เรียนพระเวทย์ด้วยกันมีศิษย์พี่ที่สนิทกับผมหนึ่งคนคือ พี่ชิด พีชิดมีน้องชายชื่อพี่เก้า
ทั้งสองคนเป็นลูกบุญธรรมพ่ออาจารย์โบ้ว พี่ชิดเรียนวิชาแต่พี่เก้าพ่ออาจารยืแกส่งเสียให้เรียนหนังสืออย่างเดียว
พี่เก้าแกไปได้รู้จักพยาบาลสาวท่านนึง ก็คบมาตั้งแต่เป็นนักเรียนพยาบาลจนได้บรรจุเป็นพยาบาลวิชาชีพ
พี่เก้าตัดสินใจขอพยาบาลท่านนี้แต่งงาน พยาบาลตอบตกลง และได้แจ้งทางพ่อแม่ของเธอว่า
ตกลงแต่งงานกับพี่เก้า ทางพ่อแม่ของเธอไม่ขัดข้องไม่เรียกสินสอดแต่ขอให้มาผูกข้อมือกันตามธรรมเนียม
และมีเลี้ยงญาติๆในหมู่บ้านเท่านั้น ..พี่เก้าดีใจก็มาบอกพ่ออาจารย์ให้ไปเป็นเถ้าแก่
พ่ออาจารย์ดูวันมงคลเรียงหมอนแล้วก็ให้พี่เก้าแจ้งทางพ่อแม่ของว่าที่เจ้าสาวไป …
ครั้นถึงวันเดินทางพ่ออาจารย์ร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าว
มี พี่ชิด ผม พี่เก้า และ จ่าดับ(ประดับ) ทหารเกษียณที่คอยขับรถพาพ่ออาจารย์ไปที่ต่างๆ
โดยพ่ออาจารย์จะเอารถ MU-7 ของท่านไป เมื่อไปถึงลำปางท่านก็ยังไม่ไปบ้านเจ้าสาวทันที ท่านก็พาพวกเรา
ไปกราบพระธาตุลำปางหลวง พ่ออาจารย์ก็เล่าประวัติพระแก้วมรกตองค์ที่๒ที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่นว่า
" เทวดาเอาแก้วมรกตไปใส่แตงโมทที่นางสุชาดาไปถวายพระอรหันต์ เมื่อผ่าก็กลายเป็นก้อนมรกตมีตาปะขาวซึ่งเป็นพระอินทร์ปลอมตัวมา
อาสาแกะพระให้ เมื่อแกะเสร็จตาปะขาวก็หายไป ครั้นเมื่อพระมหาเถรและนางสุชาดาทำการสมโภชแล้วก็ถวายพระนามพระพุทธรูปแก้วมรกตองค์นั้นว่า
"พระแก้วดอนเต้า" ต่อมาพระมหาเถระและนางสุชาดาถูกเจ้าผู้ครองนครลำปางสั่งประหาร
โดยมีผู้ใส่ความว่าเป็นชู้กับพระมหาเถระ ก่อนตายนางได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าตนไม่มีความผิดขอให้เลือดพุ่งขึ้นสู่อากาศ
เป็นการประกาศความบริสุทธิ์เพื่อให้พระมหาเถระพ้นข้อครหา เหตุการณ์เป็นดังคำอธิษฐานของนาง
เมื่อพระมหาเถระพ้นจากความผิดจึงอัญเชิญพระแก้วไปประดิษฐานยังวัดพระธาตุลำปางหลวงตราบถึงปัจจุบันนี้"
เมื่อฟังพ่ออาจารย์จบ ผมเองก็อดทึ่งไม่ได้ที่พ่ออาจารญ์เล่าประวัติต่างๆได้เป็นคุ้งเป็นแคว
พลางนึกไปว่าการที่ผมได้มาครั้งนี้ได้เที่ยวไปด้วยได้ความรู้ไปด้วยแล้วพี่ดับก็พาเราเข้าสู่อำเภอแจ้ห่ม
ในช่วงเกือบสี่โมงเย็น เมื่อถึงบ้านงาน พี่ชิด พี่เก้า ก็ไปทักทายครอบครัวเจ้าสาว
พี่ดับก็ ถามว่าพ่ออาจารย์จะพักที่ไหน พ่ออาจารย์บอกว่าท่านจะพักในรถ
ให้พี่ดับไปพักบนบ้านงาน และให้ผมคอยรับใช้เพียงคนเดียว ทีนี้พ่ออาจารย์ก็หันมาบอกผมว่า
ไอ้พุกที่พ่อไม่พักบ่านงานนี่เพราะว่าบ้านหลังนี้เขาเลี้ยงผีปู่ย่า ผิดกฏครูบาอาจารย์ พ่อเลยจะพักในรถ
ผมก็พยักหน้าตอบว่าครับ ท่านก็บอกว่า ถ้าเอ็งหิวข้าวก็ไปกินที่บ้านงานก็ได้ เอ็งไม่เป็นไร ยังเด็กยังไม่ถือเยอะ
ผมก็ตอบว่าครับพ่อ ส่วนตัวพ่ออาจารย์ท่านไม่ทานมื้อเย็นอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหาในการทานอาหาร ท่านจะดื่มเพียงน้ำเท่านั้น
ผมก็จัดแจงหาน้ำดื่มไว้ให้ท่าน ระหว่างนั้นก็มีคนแก่คนนึงมาทักว่า พ่อหนุ่มนอนกันในรถไม่กลัวเหรอ
แถวนี้ปอบชุมนะ พ่ออาจารย์ตอบไปว่า ไม่เป็นไรวิเวกดี ชายแก่ก็บอกว่า อย่าหนีก็แล้วกัน พ่ออาจารย์ตอบว่า
พรุ่งนี้เจอกัน ผมก็บอกว่าคนไรวะยียวนอยู่ได้ พ่ออาจารย์ก็พูดว่าช่างเขาเถอะพ่ออาจารย์ท่านก็ไม่สนใจไรอีก
ท่านก็หันมาบอกผมว่า “พุกเอ้ย……เอ็งไปเอาหินมาแปดก้อน แล้วเสกด้วยคาถาหว่านทรายนะ”
“ทำไมครับพ่ออาจารย์”…ผมถาม “อย่าไว้ใจลูก……ป่าเขาแบบนี้อาถรรพ์มากต้องระวัง”
พ่ออาจารย์ตอบ (ท่านผู้อ่านครับถึงตอนนี้นายพุก อธิบายว่า การเอาหินมาเสกเป็นเรื่องวิธีของชาวอาถรรพ์พวกเล่นของเขานิยมทำกัน
นัยว่าเป็นการระบุเขตอาคมกันสิ่งไม่พึงประสงค์เข้ามา เหมือนในหนังการ์ตูนที่เป็นม่านบาเรียกันพลังงานอะไรทำนองนี้)
เมื่อผมเสกด้วยคาถาหว่านทรายที่ขึ้นต้นด้วย อิมัสมิง ราชะเสมานา……
ครบแปดก้อนก็ไปวางตามทิศทั้งแปดห่างจากรถพ่ออาจารย์ ประมาณสามเมตร
เมื่อครบทั้งแปดทิศ พ่ออาจารย์ท่านก็เข้าสู่การนั่งสมาธิ ผมเห็นว่าในรถแคบๆก็เอาถุงนอนออกมานอนข้างๆรถ
อากาศแจ้ห่มในฤดูหนาว มันหนาวจัดมากจริงๆๆ แต่ก็อาศัยมีการเอากองไฟมาก่อข้างๆรถ ประมาณสักเกือบเที่ยงคืน พี่ชิดก็วิ่งมาหาผม
“เอ้ย….พุกเด็กอ่อนในบ้านงานอยู่ก็ร้องจ้าเลยว่ะทำอย่างไรก็ไม่หยุด บอกพ่ออาจารย์ที”พี่ชิดบอก
“เอ่อพ่ออาจารย์เข้าสมาธิอยู่พี่…เด็กมาผิดที่เจออะไรที่มองไม่เห็นเปล่าพี่ จุดธูปบอกผีปู่ย่าในบ้านเจ้าที่เจ้าทางยังพี่” ผมถาม
“เออว่ะเดี๋ยวลองไปจุดก่อน” พี่ชิดก็วิ่งไปที่ตัวบ้านงาน เพื่อจุดธูปไหว้ เจ้าที่
สักประมาณสิบนาที พี่ชิดก็วิ่งมาบอกผมให้ตามพ่ออาจารย์ไปโดยเร็ว
เพราะที่ตัวเด็กทารกที่มาในบ้านงานเหมือนมีรอยมือที่หน้าอก สักพักพ่ออาจารย์ก็บอกว่า"เขาลองเราแล้ว"
พ่ออาจารย์จึงเอาพระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณคู่กายลงไป แล้วกำชับให้ผมอยู่ในรถ พร้อมกำกับผมว่า
มีอะไรสัตว์อะไรวิ่งมาในวงล้อมที่เราเสกหินเป็นพระคาถาพุทธคุณอสุรกายใดๆไม่สามารถทำอะไรได้
พร้อมทั้งท่านได้ยกไม้ครูไผ่ตันให้ผมและสั่งว่า “พุกเอ้ยถ้ามันมาป้วนเปี้ยนแม้มันเข้ามาในวงล้อมไม่ได้
ให้อาราธนาไม้ครูนี้ สวดด้วย นะ เท พัง โต หา ยะ เท ยะ 8จบแล้วโบกลมไปนะมันจะพ่ายแพ้” แล้วพ่ออาจารย์ก็ตามพี่ชิดเข้าไป……
ต่อไปนี้นะครับเป็นเรื่องที่พี่ชิดเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อไปถึงบ้าน ครอบครัวเจ้าสาวเอาพระพุทธรูปปูนแบบสังฆทานมาวางเด็กก็ยังร้อง
รอยมือที่หน้าอกก็ยังชัดเจน พ่ออาจารย์สั่งให้พี่ชิดไปจุดธูปห้าดอกบอกผีบ้านผีเรือนเจ้าที่
และ ให้พี่เก้าและว่าที่เจ้าเสาว ไปจุดธูปที่ขันธ์ปู่ย่าขออนุญาต เสร็จแล้วพ่ออาจารย์ให้เอาเด็กทารกวางบนเบาะ
พร้อมเอาแก้วใส่ข้าวสารวางบนหัวเด็กทารก พ่ออาจารย์ท่านก็ได้พนมมืออธิษฐานที่พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณอันเชิญครูบาอาจารย์
ท่านได้สวด นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ได้ห้าจบ ท่านก็สวดมหามนต์พลิกธรณี โดยเอาพระขรรค์ปักลงในข้าวสาร
พร้อมภาวนา มหามนต์พลิกธรณี สักพักหมาก็หอนพี่ชิดเล่าว่าหมามายืนเรียงกระดานหันหน้าออกไปทางรั้วบ้านหอนพร้อมกัน
พี่ชิดใจร้อนเดินออกไปดูหมาที่หันหน้าออกรั้วหอน พี่ชิดก็ตกใจ เห็นหมาตัวใหญ่เท่าม้า
ก็ร้องเสียงร้องหลง ตะโกนว่า"พ่ออาจารย์" พ่ออาจารย์บอกมันเป็นหมานิลไม่ต้องกลัว
สักพักพ่ออาจารย์ก็เอาข้าวสารซัดไปทางที่พี่ชิดเห็นหมานิลซึ่งทุกคนในบ้านก็เห็นเป็นที่ว่างๆไม่มีสิ่งใดอยู่หน้ารัวบ้าน
แต่มีเสียง โอ้ยยยยยยยยยยยย เสียงดัง พ่ออาจารย์ท่านตวาดไปว่า “พรุ่งนี้จะทำพิธีมงคล
ยังอุตส่าห์จะมาเล่นงานทารกวัยอ่อน จงไป พุทธังปัจจักขาขับ ธัมมังปัจจักขาขับ สังฆังปัจจักขาขับ
พระพุทธเจ้าพระอิศวรทรงใช้ให้กูมาขับผีปอบทั้งมวลด้วยพุทธชัยยะชนะมงคล พุทธชัยยะชนะมาร ”
สักพักก็ได้ยินเสียงว่าโอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยแล้วพี่ชิดก็เห็น หมานิลวิ่งหนีไป เด็กทารกก็หยุดร้อง
พ่ออาจารย์ก็เอาสายสิญจน์ผูกที่แขนทารก พ่อแม่เด็กก็มากล่าวขอบคุณ
พ่ออาจารย์ก็เล่าเรื่องชายแก่เมื่อช่วงโพล้เพล้ ทางเจ้าภาพก็บอกว่าไม่รู้จักและไม่มีใครลักษณะนี้เข้ามาในงาน
พี่ชิดก็ถามพ่ออาจารย์ว่าเป็นพวกไหน พ่ออาจารย์ท่านก็บอกว่าเป็นปอบวิชาที่เป็นพวกเล่นของแล้วคุมของตนเองไม่ก็เลยเป็นเช่นนี้
พี่ชิดก็บอกว่าห่วงผมที่อยู่ที่รถที่จอดข้างๆที่รกร้างริมรั้ว พ่ออาจารย์ก็บอกว่าไม่น่าห่วงหลังจากนายพุกได้เล่าเรื่องพ่ออาจารย์ปราบหมานิลไปแล้ว
ผมก็ได้ถามว่า"แล้วตกลงไอ้เจ้าหมานิลเป็นใคร" นายพุกก็ตอบว่า “นี่แหล่ะผมจะเล่าให้คุณฟัง………”
หลังจากพ่ออาจารย์ไปแล้วผมก็นอนเฝ้ารถยนต์ตามปกติ และก็คอยเฝ้าเติมฟืนระหว่างนั้นก็มีคนมายืนหน้าที่ที่เป็นสถานที่จอดรถ ร้องเรียกว่า
“พุก พ่ออาจารย์ให้เข้าไปหาที่บ้านงาน” นั่นมันเป็นพี่ชิดมายืนเรียก ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรก็บอกว่า
“พี่ชิดมาช่วยกันเก็บของพ่ออาจารย์ก่อนดิ” “ไม่พี่ไม่เข้า”เสียงตอบจากพี่ชิด ปรากฏว่าอย่างไรพี่ชิด ก็ยังไม่ยอมเข้ามาใกล้อาณาเขตรถ
ผมนึกถึงคำพ่ออาจารย์ได้ เลยสวดมนต์เอาไม้เท้าโบกลม ก็มีเสียงร้องโอ๊ยยยยยยยย แล้ว กลายเป็นหมาตัวเท่าม้าวิ่งหนีไป
สักพัก พ่ออาจารย์พร้อมคนในบ้านเดินมาถึงที่รถ ถามผมว่าเป็นอะไรไหม ผมตอบไม่เป็นไรครับพ่อ บ้านเจ้าสาวต่างตกใจถามพ่ออาจารย์ว่าเป็นใคร
*********ตอนจบในคอมเม้นท์************