ขอแจ้งก่อนว่าผมถือว่าตัวเองยังอยู่ในขั้นตอนการรักษา แต่คิดว่าน่าจะประสบความสำเร็จระดับหนึ่งจึงเอาประสบการณ์มาแชร์
อนึ่ง การรักษาเบาหวานต้องขึ้นกับเคสบายเคส ขอโพสกรณีผมไว้เป็นกรณีศึกษาหนึ่ง อย่าใช้อ้างอิงโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลอื่น ๆ ของตัวเองนะครับ
ธันวาฯ ปีที่ผ่านมา (66) ผมไปตรวจเบาหวานเพราะหลังมีอาการคันและเจ็บที่สะบัก หมอสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นปลายประสาทอักเสบและแนะนำให้ตรวจ A1c ผลคือ A1c แตะ 12 แต่เพราะตอนนั้นยังไม่ได้อดอาหารมาหมอนัดอาทิตย์ต่อมาเพื่อเช็คน้ำตาลในเลือด แต่ผมไม่สะดวก เช็คอีกครั้งก็ตอนต้นปีที่ผ่านมา ระหว่างนั้นเริ่มลดแป้งและน้ำตาล แต่ไม่ได้งดแบบเด็ดขาด พอไปหาหมออีกครั้งเพื่อเช็คน้ำตาล (3/1/67) พบอยู่ที่ 200 หน่อย ๆ ldl อยู่ที่ 187 สูงแต่หมอไม่จ่ายยาไขมันให้ หมอให้ทานยาเบาหวาน จัดยาให้มาแล้ว แต่สุดท้ายผมไม่อยากพึ่งยา รู้สึกว่าการพึ่งยาเพราะโรคทางโภชณาการ (โรคใช้กรรมที่ตามทัน) มันไม่ใช่ทางออก ดังนั้นจึงลองปรับชีวิตตัวเองแบบขั้นสุดดูที่จะไม่ต้องกินยา
กระบวนการที่ผมใช้มีประมาณนี้
1.งดแป้ง น้ำตาล แบบเด็ดขาด ทุกมื้อกินสลัด (ไม่ราดเดรสซิ่ง) ตามด้วยหมูเนื้อแดง หรือ ไข่ หรือ ปลา เน้นอบร้อน ลวก ต้ม ไม่ทอด ผักผัด, ผัดกระเพรา ด้วยน้ำกับหมูเนื้อแดงสับเผื่อเบื่อ มีทำต้มยำน้ำใสหมูเนื้อแดงใส่ตำลึงบ้างตัดรส จบมื้อด้วยถั่วเปลือกแข็งอบไม่ใส่เกลือ (ผมผสมถั่วหลากชนิด ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง อัลมอนด์ พิสตาจิโอ แมคคาเดเมีย วอลนัท เม็ดมะม่วง กินแค่ชนิดละ 1-3 เม็ดคละ ๆ กันโดยเฉพาะพวกให้พลังงานสูงจะกินแค่ 1 เม็ด เน้นถั่วลิสงกับเม็ดฟักทองที่ถูกกินไม่เกินมื้อละถ้วยเล็ก ๆ) คุมแคลฯ คุมคาร์ป มีสลับไข่ทอด (ดาว เจียว น้ำมันน้อย ๆ) บ้างบางวัน ถ้ารู้สึกว่าเพลียเกินไป บางครั้งจะกินปลาทอดบ้าง คาร์ปได้มาจากผักเป็นหลัก เน้นโปรตีน ไขมันจากถั่ว ปลา นอกจากนั้นผมยังทำอาหารด้วยผักที่มีเปเปอร์พูดถึงผลของการลดน้ำตาลมาใช้ประกอบอาหารช่วยเสริม (ขิง -กินเป็นน้ำเพราะหัวจะมีคาร์ป, พริก, ใบตำลึง, ใบกระเพรา พวกนี้ทานได้อย่างปลอดภัยเพราะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์) เน้นอาหารไม่ปรุงรส ไม่มันมาก ปรุงด้วยพริกไทยดำ ไม่ใส่เกลือ ใส่ซี่อิ้วน้อยมาก (ถือโอกาศปรับลดไขมัน โซเดียม) อบกระเทียมฝานแว่นกินคู่กับอาหารอบ
2.ทำ if 4,4,16 ไม่คิดว่าจะทำได้มากกว่านี้เพราะปรกติทานจุบจิบบ่อย ทานแต่น้ำชาเขียวชงอ่อน ๆ กับน้ำเปล่าระหว่างมื้อ หลังจากทำมาสัปดาห์หนึ่งตอนนี้กลายเป็นเรื่องปรกติที่ไม่รู้สึกอยากอะไรนอกจากน้ำเลยระหว่างมื้อแล้ว ไม่คิดจะทำช่วงพักมากกว่านี้เพราะตั้งใจจะทำให้เป็นระเบียบประจำไป ถ้าไปอดมากเกินมันจะเกินชีวิตประจำวันไปหน่อยทำให้ตะบะแตกได้ง่าย จริง ๆ รู้สึกว่าถึงจะงดมื้อเช้าก็อยู่ได้ แต่ไม่อยากให้มันมากเกินไปเพราะจะกลายเป็นแต่ละมื้อจะต้องกินเยอะขึ้นเพื่อให้แคลพอใช้งาน พัก ๆ จะกินแบบตามใจปากสักมื้อแบบ cheat meal มื้อไหนกินไม่ทันในช่วงก็จะข้ามไปเลย
3.กินแคปซูล มะระขี้นกของ อภัยภูเบศทร์ สูตรสำหรับคนมีน้ำตาลในเลือดสูง วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็นก่อนอาหาร 30 นาที, ชงน้ำขิง (ไม่ใส่น้ำตาล) ทานเพื่อลดธาตุเย็นของมะระขี้นก 1 แก้วหลังอาหาร 3 มื้อ (ผมพบว่าตัวเองจะรู้สึกตัวเย็นมากเมื่อกินแคปซูลติดกันหลายวัน มะระขี้นกจัดเป็นยาธาตุเย็น มีฤทธิลดไข้อ่อน ๆ) เพราะน้ำขิงมีแคลต้องกินในช่วงมื้อ แคปซูลแนะนำว่าทานติดกันสักพักควรพักไปทานผลสดแทนสักวันสองวันเพราะผมว่ามันมีฤิทธิเย็นค่อนข้างแรง
4.ออกกำลังด้วยการปั่นจักรยานในร่มไม่หนักมาก ผมเดิมขี่จักรยานอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังพบว่าถนนแถวบ้านมันทำยางแตกบ่อย เลยซื้อเทรนเนอร์มาติดแล้วปั่นในร่มแทน แต่หยุดไปช่วงโควิดที่ทำให้ระบบชีวิตพังมาก โดยผมตั้งความฝืดเยอะเพื่อให้ได้แรงต้าน ปั่น 9 นาที สปรินท์ 1 นาทีจนครบ 30 นาทีทุกเช้า 3 วัน พัก 1 วัน ตอนแรก ๆ เหนื่อยมาก เหงื่อออกเป็นลิตร ๆ หลังเดือน 1 ปัจจุบันแม้หอบตัวโยน แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยมากแล้ว
ที่เหลือคือนั่งทำงานหน้าคอมตามปรกติ พัก ๆ มีออกไปเดินเล่นบ้าง วันหยุดเลือกไปเดินเที่ยวบ้างขึ้นรถไฟฟ้ายืนยาว ๆ ไปเดินห้างบ้างที่นั่นนี่บ้างแบบยาว ๆ
5.ปรับเวลาการนอนให้เร็วขึ้น ตื่นเช้าขึ้น เพื่อให้นอนให้พอ เอาจริง ๆ คือเรื่องนี้เป็นปัญหามากเพราะหลังจากรู้เรื่องเบาหวาน ผมเป็นคนที่หมกหมุ่นมาก ใช้เวลาทั้งวันเสริท paper รวมถึงคลิปเกี่ยวกับเบาหวาน โรคแทรกซ้อน อาการ ฯลฯ ทำให้เครียดขนาดนอนตื่นกลางดึกยังต้องเปิดหาบางเรื่องที่จู่ ๆ นึกออก อาการอะไรเล็กน้อยก็จะมองว่าใช่ไหม นี่มันใช่หรือเปล่า ไปซะหมด หรือเห็นคลิปแนะนำก็ต้องเปิดดู ทำให้การนอนกลายเป็นปัญหาไปซะ กลายเป็นเครียดจากเดิมไม่ได้ตรวจ ที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการนอน หัวถึงหมอนหลับ ช่วงนี้พอเงียบเมื่อไหร่หัวจะคิดสาระตะ คิดแต่ปัญหานั่นนี่ว่าเป็นนั้นนี้หรือยัง วางแผนโน่นนี่ จนหลับยาก จนสุดท้ายตัดสินใจลบประวัติเกี่ยวกับคลิปด้านสุขภาพพวกนี้ให้เหี้ยน เพื่อไม่ให้มันปรากฎออกมาแนะนำ เพราะยิ่งดูยิ่งเครียด ปัจจุบันจึงเครียดน้อยลงมากแล้ว แต่ก็ยังติดหลับยากอยู่ ทำให้หวนคิดเหมือนกันว่าเมื่อก่อนตูหลับแบบไหนฟ่ะ ทำไมหลับง๊าย ง่าย
สรุปผลคือ
น้ำหนักลดลงจาก 90 มาที่ 79 ภายใน 3 อาทิตย์ น้ำตาลเริ่มจาก 200 นิด ๆ (3/1/67) ตอนสองอาทิตย์ (17/1/67) มาอยู่ที่ 170 หมอนัดอีกทีเดือนมีนาฯ แต่พอครบอาทิตย์หลังตรวจ (25/1/67) ผมไปซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว accu chek instant มาลองตรวจ พบว่าน้ำตาลปลายนิ้วตอนเช้า (ไม่ได้ทานอะไรนอกจากน้ำและน้ำชาเขียวตั้งแต่หลังมื้อเย็นเพราะทำ if ทุกวัน) วันแรก วัดได้ 88 ตอนเย็นหลังทานข้าวเย็น 1 ชม อยู่ 124 และ เช้าวันถัดมาได้ 100 ยังคิดว่าเครื่องเสีย เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาตรวจกับ รพ. ยังอยู่ 170 เอาเครื่องเข้าไปให้บริษัทตรวจ
บริษัทแจ้งว่าแผ่นตรวจอาจจะมีปัญหาเปลี่ยนมาให้ กลับมาผมลองเทสก่อนข้าวเที่ยง (หลังมื้อเช้าไป 3 ชม.) ผลคือได้ 103 ดังนั้นคิดว่าผลไม่น่าจะผิดแกว่งไปมากระดับ +-70 วันนี้ (26/2/67) หยุดทานแคปซูลเม็ดเพราะพอทานต่อเนื่องผมรู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างเย็นมาก (รู้สึกหนาวกว่าปรกติ มือเท้าเย็น) มาทานมะระขี้นกแบบผลสด 5-6 ผลต่อมื้อแทน (ไม่ปั่น ใช้เคี้ยวกินพร้อมผักสลัด) ทานได้วันเดียวก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นแล้วจึงหยุดทาน น้ำหนักเริ่มลดช้าลงมาได้สักสามวัน แต่ยังลงทีละนิด เป้าคือให้ลดจนต่ำกว่า 70 และตั้งใจจะคุมต่อไปอีก จนมีนาฯ ไปตรวจ A1c รอบถัดไป เพื่อรอดูผลอีกครั้ง
เนื่องจากยังไม่ชัวร์กับการวัดน้ำตาลปลายนิ้ว 100 เปอร์เซนต์ว่าถูกต้องแม่นยำแค่ไหน ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา น้ำตาลตอนเช้าวัดได้ไม่เคยเกิน 100 แกว่งที่ 81-100 หลังอาหาร 2 ชม. ไม่เคยเกิน 122 ตั้งแต่วันที่ 26/1/67 เป็นต้นมานอกจากน้ำขิงวันละแก้วหลังอาหาร ก็ไม่ได้ทานสมุนไพรอะไรเพิ่มเติมอีก เริ่มปรับเอากับข้าวทั่ว ๆ ไปเข้ามาผสมบ้างวันละนิด แต่ยังงดคาร์ปเกือบเด็ดขาด
วันนี้ (2/2/67) ผมไปเช็คผลกับทางโรงพยาบาลเพื่อเช็คความถูกต้องของตัววัดปลายนิ้ว วัดได้ 101 โรงพยาบาลวัดได้ 112 (วันนี้นอนน้อยไปนิด) A1C ลงจาก 12 เหลือ 8.3 Triglycerride เหลือ 87 ldl เหลือ 137 hdl เพิ่มเป็น 47 ทั้งหมดอยู่ในเรนท์คนปรกติแล้ว นอกจาก ldl ที่หมอบอกว่าควรลดลงมาอีกนิดแล้ว (เอาจริง ๆ แฟนน้องชายที่เป็นหมอบอกว่าแค่นี้ก็ต่ำกว่าของเขาแล้วด้วยซ้ำ XD) ก็เหลือแต่ A1C ที่ยังไงก็ต้องใช้เวลาลดลง โดยเป้าผมก็อยู่ที่ต่ำกว่า 6 หมอก็บอกคุมอาหารและออกกำลังกายได้ดีแล้ว
ผมไม่กล้ายืนยันผลว่าเกิดจากมะระขี้นกเท่าไหร่ เพราะการคุมน้ำตาลผมค่อนข้างทำแบบจริงจัง ที่เห็นผลมาก ผมว่าน่าจะเป็นการทำ if กับงดคาร์ปเกือบเด็ดขาด โดยมะระขี้นกช่วยให้ค่าน้ำตาลระหว่างวันไม่แกว่งมาก (ผมอ่านจากเปเปอร์หลายแหล่ง ผบว่ามันให้ผลคล้ายยา metfomine ที่หมอจ่ายให้คือช่วยการหลั่งอินซูลินและพาน้ำตาลเข้าเซลล์ แต่ออกฤทธิ์อ่อนกว่า) นั่นคือไม่ได้มีผลโดยตรงแต่ช่วยให้คุมน้ำตาลได้ง่ายขึ้น จนปัจจุบันก็จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือสมุนไพรเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยคิดว่าน่าจะต้องพึ่งสมุนไพรไปสัก 2-3 เดือนกว่าจะลดลงมาอยู่ในเรนท์ที่ต้องการ ผลคือแค่ 3 อาทิตย์ก็คุมมาอยู่ในเรนท์ที่สามารถคุมด้วยอาหารและการออกกำลังได้แล้ว นอกจากแคปซูลมะระขี้นกที่เพิ่งหยุดไป ก็มีทานวิตามินบี (b1-100 ,b6-5,b12-65) เพื่อดูว่าปัญหาที่หลังเป็นเรื่องเส้นประสาทจริงหรือเปล่า (จริง ๆ ตอนหลังสงสัยว่าอาการคันมันจะเกิดจากการแพ้ฝุ่นซีเมนท์ที่เกิดจากบ้านข้าง ๆ กำลังซ่อมใหญ่) ปัจจุบันจริง ๆ คือไม่รู้สึกของอาการเบาหวานแล้ว ไม่กระหายน้ำผิดปรกติ แต่ผมมีนิสัยกินน้ำเยอะมาแต่ไหนแต่ไรจึงมีน้ำติดไว้จิบตลอดวัน แต่ปริมาณน้ำลดลงเกือบเท่าตัว มีไปตรวจเบาหวานขึ้นตาเผื่อ ๆ ไว้ หมอพบจุดไขมัน 2 จุดนอกส่วนจอประสาท หมอบอกว่ามัน early มาก ๆ ถ้าคุมน้ำตาลได้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก นัดอีกทีปีหน้าเลย
QED.
ผมยังตั้งใจคุมอาหารต่อไปเพราะเป้าหมายหลักคือน้ำหนักที่จะกดให้ต่ำกว่า 70 น้ำตาลที่คิดไว้คือจะให้วิ่งอยู่ในโซนต่ำกว่า 100 หลังกลับไปทานอาหารแบบทั่วไป ส่วนไขมันคิดว่าถ้ายังตั้งเป้าเรื่องน้ำหนัก ldl ก็คงจะลดลงไปอีกเพราะไม่ทานคาร์ป ไม่ทานอาหารมัน ๆ บ่อย ๆ จากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ ไข่ ถั่ว ปลา ไขมันก็คงจะถูกนำไปใช้เรื่อย ๆ จัดเป็นผลพลอยได้ ส่วน if ตั้งใจจะทำไปเรื่อย ๆ โดยอาจจะมีแหกบ้างหลังจากถึงเป้าหมาย เพราะยังไม่ถึงจุดที่บาลานซ์ที่วางไว้จึงค่อยว่ากันทีหลัง แต่อย่างน้อยปัญหาเรื่องค่าน้ำตาล + ldl ก็กลับมาอยู่ในจุดที่น่าพอใจระดับหนึ่งแล้วครับ จริง ๆ หมอก็ขู่มาว่า ถ้าหยุด if น้ำตาลจะดีดได้ให้ระวังด้วย ผมก็ตั้งใจว่ายังไงก็คงไม่หยุด หลังจากพ้นช่วงคุมเข้มอาจจะมีแหกบ้างแต่หลังจากทำมาเดือนหนึ่ง มันค่อนข้างชินแล้ว ไม่ได้โหยอะไรระหว่างมื้อเท่าไหร่ กว่าจะถึงเป้าคงชินกับ if ไปเป็นเรื่องประจำวันไปแล้ว หวังว่าจะทำต่อไปได้เรื่อย ๆ
หวังว่าประสบการณ์ของผมคงเป็นประโยชน์บ้างกับคนที่จะคุมเบาหวานนะครับ
ประสบการณ์เมื่อผมเป็นเบาหวานและไม่อยากพึ่งยา
อนึ่ง การรักษาเบาหวานต้องขึ้นกับเคสบายเคส ขอโพสกรณีผมไว้เป็นกรณีศึกษาหนึ่ง อย่าใช้อ้างอิงโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลอื่น ๆ ของตัวเองนะครับ
ธันวาฯ ปีที่ผ่านมา (66) ผมไปตรวจเบาหวานเพราะหลังมีอาการคันและเจ็บที่สะบัก หมอสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นปลายประสาทอักเสบและแนะนำให้ตรวจ A1c ผลคือ A1c แตะ 12 แต่เพราะตอนนั้นยังไม่ได้อดอาหารมาหมอนัดอาทิตย์ต่อมาเพื่อเช็คน้ำตาลในเลือด แต่ผมไม่สะดวก เช็คอีกครั้งก็ตอนต้นปีที่ผ่านมา ระหว่างนั้นเริ่มลดแป้งและน้ำตาล แต่ไม่ได้งดแบบเด็ดขาด พอไปหาหมออีกครั้งเพื่อเช็คน้ำตาล (3/1/67) พบอยู่ที่ 200 หน่อย ๆ ldl อยู่ที่ 187 สูงแต่หมอไม่จ่ายยาไขมันให้ หมอให้ทานยาเบาหวาน จัดยาให้มาแล้ว แต่สุดท้ายผมไม่อยากพึ่งยา รู้สึกว่าการพึ่งยาเพราะโรคทางโภชณาการ (โรคใช้กรรมที่ตามทัน) มันไม่ใช่ทางออก ดังนั้นจึงลองปรับชีวิตตัวเองแบบขั้นสุดดูที่จะไม่ต้องกินยา
กระบวนการที่ผมใช้มีประมาณนี้
1.งดแป้ง น้ำตาล แบบเด็ดขาด ทุกมื้อกินสลัด (ไม่ราดเดรสซิ่ง) ตามด้วยหมูเนื้อแดง หรือ ไข่ หรือ ปลา เน้นอบร้อน ลวก ต้ม ไม่ทอด ผักผัด, ผัดกระเพรา ด้วยน้ำกับหมูเนื้อแดงสับเผื่อเบื่อ มีทำต้มยำน้ำใสหมูเนื้อแดงใส่ตำลึงบ้างตัดรส จบมื้อด้วยถั่วเปลือกแข็งอบไม่ใส่เกลือ (ผมผสมถั่วหลากชนิด ถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง อัลมอนด์ พิสตาจิโอ แมคคาเดเมีย วอลนัท เม็ดมะม่วง กินแค่ชนิดละ 1-3 เม็ดคละ ๆ กันโดยเฉพาะพวกให้พลังงานสูงจะกินแค่ 1 เม็ด เน้นถั่วลิสงกับเม็ดฟักทองที่ถูกกินไม่เกินมื้อละถ้วยเล็ก ๆ) คุมแคลฯ คุมคาร์ป มีสลับไข่ทอด (ดาว เจียว น้ำมันน้อย ๆ) บ้างบางวัน ถ้ารู้สึกว่าเพลียเกินไป บางครั้งจะกินปลาทอดบ้าง คาร์ปได้มาจากผักเป็นหลัก เน้นโปรตีน ไขมันจากถั่ว ปลา นอกจากนั้นผมยังทำอาหารด้วยผักที่มีเปเปอร์พูดถึงผลของการลดน้ำตาลมาใช้ประกอบอาหารช่วยเสริม (ขิง -กินเป็นน้ำเพราะหัวจะมีคาร์ป, พริก, ใบตำลึง, ใบกระเพรา พวกนี้ทานได้อย่างปลอดภัยเพราะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์) เน้นอาหารไม่ปรุงรส ไม่มันมาก ปรุงด้วยพริกไทยดำ ไม่ใส่เกลือ ใส่ซี่อิ้วน้อยมาก (ถือโอกาศปรับลดไขมัน โซเดียม) อบกระเทียมฝานแว่นกินคู่กับอาหารอบ
2.ทำ if 4,4,16 ไม่คิดว่าจะทำได้มากกว่านี้เพราะปรกติทานจุบจิบบ่อย ทานแต่น้ำชาเขียวชงอ่อน ๆ กับน้ำเปล่าระหว่างมื้อ หลังจากทำมาสัปดาห์หนึ่งตอนนี้กลายเป็นเรื่องปรกติที่ไม่รู้สึกอยากอะไรนอกจากน้ำเลยระหว่างมื้อแล้ว ไม่คิดจะทำช่วงพักมากกว่านี้เพราะตั้งใจจะทำให้เป็นระเบียบประจำไป ถ้าไปอดมากเกินมันจะเกินชีวิตประจำวันไปหน่อยทำให้ตะบะแตกได้ง่าย จริง ๆ รู้สึกว่าถึงจะงดมื้อเช้าก็อยู่ได้ แต่ไม่อยากให้มันมากเกินไปเพราะจะกลายเป็นแต่ละมื้อจะต้องกินเยอะขึ้นเพื่อให้แคลพอใช้งาน พัก ๆ จะกินแบบตามใจปากสักมื้อแบบ cheat meal มื้อไหนกินไม่ทันในช่วงก็จะข้ามไปเลย
3.กินแคปซูล มะระขี้นกของ อภัยภูเบศทร์ สูตรสำหรับคนมีน้ำตาลในเลือดสูง วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็นก่อนอาหาร 30 นาที, ชงน้ำขิง (ไม่ใส่น้ำตาล) ทานเพื่อลดธาตุเย็นของมะระขี้นก 1 แก้วหลังอาหาร 3 มื้อ (ผมพบว่าตัวเองจะรู้สึกตัวเย็นมากเมื่อกินแคปซูลติดกันหลายวัน มะระขี้นกจัดเป็นยาธาตุเย็น มีฤทธิลดไข้อ่อน ๆ) เพราะน้ำขิงมีแคลต้องกินในช่วงมื้อ แคปซูลแนะนำว่าทานติดกันสักพักควรพักไปทานผลสดแทนสักวันสองวันเพราะผมว่ามันมีฤิทธิเย็นค่อนข้างแรง
4.ออกกำลังด้วยการปั่นจักรยานในร่มไม่หนักมาก ผมเดิมขี่จักรยานอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังพบว่าถนนแถวบ้านมันทำยางแตกบ่อย เลยซื้อเทรนเนอร์มาติดแล้วปั่นในร่มแทน แต่หยุดไปช่วงโควิดที่ทำให้ระบบชีวิตพังมาก โดยผมตั้งความฝืดเยอะเพื่อให้ได้แรงต้าน ปั่น 9 นาที สปรินท์ 1 นาทีจนครบ 30 นาทีทุกเช้า 3 วัน พัก 1 วัน ตอนแรก ๆ เหนื่อยมาก เหงื่อออกเป็นลิตร ๆ หลังเดือน 1 ปัจจุบันแม้หอบตัวโยน แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยมากแล้ว
ที่เหลือคือนั่งทำงานหน้าคอมตามปรกติ พัก ๆ มีออกไปเดินเล่นบ้าง วันหยุดเลือกไปเดินเที่ยวบ้างขึ้นรถไฟฟ้ายืนยาว ๆ ไปเดินห้างบ้างที่นั่นนี่บ้างแบบยาว ๆ
5.ปรับเวลาการนอนให้เร็วขึ้น ตื่นเช้าขึ้น เพื่อให้นอนให้พอ เอาจริง ๆ คือเรื่องนี้เป็นปัญหามากเพราะหลังจากรู้เรื่องเบาหวาน ผมเป็นคนที่หมกหมุ่นมาก ใช้เวลาทั้งวันเสริท paper รวมถึงคลิปเกี่ยวกับเบาหวาน โรคแทรกซ้อน อาการ ฯลฯ ทำให้เครียดขนาดนอนตื่นกลางดึกยังต้องเปิดหาบางเรื่องที่จู่ ๆ นึกออก อาการอะไรเล็กน้อยก็จะมองว่าใช่ไหม นี่มันใช่หรือเปล่า ไปซะหมด หรือเห็นคลิปแนะนำก็ต้องเปิดดู ทำให้การนอนกลายเป็นปัญหาไปซะ กลายเป็นเครียดจากเดิมไม่ได้ตรวจ ที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการนอน หัวถึงหมอนหลับ ช่วงนี้พอเงียบเมื่อไหร่หัวจะคิดสาระตะ คิดแต่ปัญหานั่นนี่ว่าเป็นนั้นนี้หรือยัง วางแผนโน่นนี่ จนหลับยาก จนสุดท้ายตัดสินใจลบประวัติเกี่ยวกับคลิปด้านสุขภาพพวกนี้ให้เหี้ยน เพื่อไม่ให้มันปรากฎออกมาแนะนำ เพราะยิ่งดูยิ่งเครียด ปัจจุบันจึงเครียดน้อยลงมากแล้ว แต่ก็ยังติดหลับยากอยู่ ทำให้หวนคิดเหมือนกันว่าเมื่อก่อนตูหลับแบบไหนฟ่ะ ทำไมหลับง๊าย ง่าย
สรุปผลคือ
น้ำหนักลดลงจาก 90 มาที่ 79 ภายใน 3 อาทิตย์ น้ำตาลเริ่มจาก 200 นิด ๆ (3/1/67) ตอนสองอาทิตย์ (17/1/67) มาอยู่ที่ 170 หมอนัดอีกทีเดือนมีนาฯ แต่พอครบอาทิตย์หลังตรวจ (25/1/67) ผมไปซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว accu chek instant มาลองตรวจ พบว่าน้ำตาลปลายนิ้วตอนเช้า (ไม่ได้ทานอะไรนอกจากน้ำและน้ำชาเขียวตั้งแต่หลังมื้อเย็นเพราะทำ if ทุกวัน) วันแรก วัดได้ 88 ตอนเย็นหลังทานข้าวเย็น 1 ชม อยู่ 124 และ เช้าวันถัดมาได้ 100 ยังคิดว่าเครื่องเสีย เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาตรวจกับ รพ. ยังอยู่ 170 เอาเครื่องเข้าไปให้บริษัทตรวจ
บริษัทแจ้งว่าแผ่นตรวจอาจจะมีปัญหาเปลี่ยนมาให้ กลับมาผมลองเทสก่อนข้าวเที่ยง (หลังมื้อเช้าไป 3 ชม.) ผลคือได้ 103 ดังนั้นคิดว่าผลไม่น่าจะผิดแกว่งไปมากระดับ +-70 วันนี้ (26/2/67) หยุดทานแคปซูลเม็ดเพราะพอทานต่อเนื่องผมรู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างเย็นมาก (รู้สึกหนาวกว่าปรกติ มือเท้าเย็น) มาทานมะระขี้นกแบบผลสด 5-6 ผลต่อมื้อแทน (ไม่ปั่น ใช้เคี้ยวกินพร้อมผักสลัด) ทานได้วันเดียวก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นแล้วจึงหยุดทาน น้ำหนักเริ่มลดช้าลงมาได้สักสามวัน แต่ยังลงทีละนิด เป้าคือให้ลดจนต่ำกว่า 70 และตั้งใจจะคุมต่อไปอีก จนมีนาฯ ไปตรวจ A1c รอบถัดไป เพื่อรอดูผลอีกครั้ง
เนื่องจากยังไม่ชัวร์กับการวัดน้ำตาลปลายนิ้ว 100 เปอร์เซนต์ว่าถูกต้องแม่นยำแค่ไหน ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา น้ำตาลตอนเช้าวัดได้ไม่เคยเกิน 100 แกว่งที่ 81-100 หลังอาหาร 2 ชม. ไม่เคยเกิน 122 ตั้งแต่วันที่ 26/1/67 เป็นต้นมานอกจากน้ำขิงวันละแก้วหลังอาหาร ก็ไม่ได้ทานสมุนไพรอะไรเพิ่มเติมอีก เริ่มปรับเอากับข้าวทั่ว ๆ ไปเข้ามาผสมบ้างวันละนิด แต่ยังงดคาร์ปเกือบเด็ดขาด
วันนี้ (2/2/67) ผมไปเช็คผลกับทางโรงพยาบาลเพื่อเช็คความถูกต้องของตัววัดปลายนิ้ว วัดได้ 101 โรงพยาบาลวัดได้ 112 (วันนี้นอนน้อยไปนิด) A1C ลงจาก 12 เหลือ 8.3 Triglycerride เหลือ 87 ldl เหลือ 137 hdl เพิ่มเป็น 47 ทั้งหมดอยู่ในเรนท์คนปรกติแล้ว นอกจาก ldl ที่หมอบอกว่าควรลดลงมาอีกนิดแล้ว (เอาจริง ๆ แฟนน้องชายที่เป็นหมอบอกว่าแค่นี้ก็ต่ำกว่าของเขาแล้วด้วยซ้ำ XD) ก็เหลือแต่ A1C ที่ยังไงก็ต้องใช้เวลาลดลง โดยเป้าผมก็อยู่ที่ต่ำกว่า 6 หมอก็บอกคุมอาหารและออกกำลังกายได้ดีแล้ว
ผมไม่กล้ายืนยันผลว่าเกิดจากมะระขี้นกเท่าไหร่ เพราะการคุมน้ำตาลผมค่อนข้างทำแบบจริงจัง ที่เห็นผลมาก ผมว่าน่าจะเป็นการทำ if กับงดคาร์ปเกือบเด็ดขาด โดยมะระขี้นกช่วยให้ค่าน้ำตาลระหว่างวันไม่แกว่งมาก (ผมอ่านจากเปเปอร์หลายแหล่ง ผบว่ามันให้ผลคล้ายยา metfomine ที่หมอจ่ายให้คือช่วยการหลั่งอินซูลินและพาน้ำตาลเข้าเซลล์ แต่ออกฤทธิ์อ่อนกว่า) นั่นคือไม่ได้มีผลโดยตรงแต่ช่วยให้คุมน้ำตาลได้ง่ายขึ้น จนปัจจุบันก็จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือสมุนไพรเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยคิดว่าน่าจะต้องพึ่งสมุนไพรไปสัก 2-3 เดือนกว่าจะลดลงมาอยู่ในเรนท์ที่ต้องการ ผลคือแค่ 3 อาทิตย์ก็คุมมาอยู่ในเรนท์ที่สามารถคุมด้วยอาหารและการออกกำลังได้แล้ว นอกจากแคปซูลมะระขี้นกที่เพิ่งหยุดไป ก็มีทานวิตามินบี (b1-100 ,b6-5,b12-65) เพื่อดูว่าปัญหาที่หลังเป็นเรื่องเส้นประสาทจริงหรือเปล่า (จริง ๆ ตอนหลังสงสัยว่าอาการคันมันจะเกิดจากการแพ้ฝุ่นซีเมนท์ที่เกิดจากบ้านข้าง ๆ กำลังซ่อมใหญ่) ปัจจุบันจริง ๆ คือไม่รู้สึกของอาการเบาหวานแล้ว ไม่กระหายน้ำผิดปรกติ แต่ผมมีนิสัยกินน้ำเยอะมาแต่ไหนแต่ไรจึงมีน้ำติดไว้จิบตลอดวัน แต่ปริมาณน้ำลดลงเกือบเท่าตัว มีไปตรวจเบาหวานขึ้นตาเผื่อ ๆ ไว้ หมอพบจุดไขมัน 2 จุดนอกส่วนจอประสาท หมอบอกว่ามัน early มาก ๆ ถ้าคุมน้ำตาลได้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก นัดอีกทีปีหน้าเลย
QED.
ผมยังตั้งใจคุมอาหารต่อไปเพราะเป้าหมายหลักคือน้ำหนักที่จะกดให้ต่ำกว่า 70 น้ำตาลที่คิดไว้คือจะให้วิ่งอยู่ในโซนต่ำกว่า 100 หลังกลับไปทานอาหารแบบทั่วไป ส่วนไขมันคิดว่าถ้ายังตั้งเป้าเรื่องน้ำหนัก ldl ก็คงจะลดลงไปอีกเพราะไม่ทานคาร์ป ไม่ทานอาหารมัน ๆ บ่อย ๆ จากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ ไข่ ถั่ว ปลา ไขมันก็คงจะถูกนำไปใช้เรื่อย ๆ จัดเป็นผลพลอยได้ ส่วน if ตั้งใจจะทำไปเรื่อย ๆ โดยอาจจะมีแหกบ้างหลังจากถึงเป้าหมาย เพราะยังไม่ถึงจุดที่บาลานซ์ที่วางไว้จึงค่อยว่ากันทีหลัง แต่อย่างน้อยปัญหาเรื่องค่าน้ำตาล + ldl ก็กลับมาอยู่ในจุดที่น่าพอใจระดับหนึ่งแล้วครับ จริง ๆ หมอก็ขู่มาว่า ถ้าหยุด if น้ำตาลจะดีดได้ให้ระวังด้วย ผมก็ตั้งใจว่ายังไงก็คงไม่หยุด หลังจากพ้นช่วงคุมเข้มอาจจะมีแหกบ้างแต่หลังจากทำมาเดือนหนึ่ง มันค่อนข้างชินแล้ว ไม่ได้โหยอะไรระหว่างมื้อเท่าไหร่ กว่าจะถึงเป้าคงชินกับ if ไปเป็นเรื่องประจำวันไปแล้ว หวังว่าจะทำต่อไปได้เรื่อย ๆ
หวังว่าประสบการณ์ของผมคงเป็นประโยชน์บ้างกับคนที่จะคุมเบาหวานนะครับ