กำจร เจ้าของบริการภาพยนตร์แห่งอุดรธานี และบรรดาผองเพื่อนต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ จนวันหนึ่งพวกเขาตัดสินใจปลอมตัวไปร่วมขบวนของศูนย์อพยพชาวลาวที่เดินทางไปยังอเมริกา ด้วยความหวังว่าจะยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม
หอภาพยนตร์มีโครงการ archive rediscovery นำหนังไทยเก่าที่สูญหายหรือถูกหลงลืมไปมาฉาย แค่เรื่องย่อก็ดึงดูดความสนใจแล้ว บวกกับหนังไม่ได้ฉายก็เรียกความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกว่าหนังมันไป 'แตะ' อะไรถึงโดนแบน เปิดเรื่องมาแค่ op ก็นับว่าสุด กับการนำภาพข่าวเศรษฐกิจ การเมืองย่ำแย่จากหนังสือพิมพ์ (ในตอนนั้น) คนฆ่ากัน ฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรฐกิจ คลอไปกับเพลง บ๊ายบายไทยแลนด์ ของวงอมตะ ตรงนี้ต้องยกเครดิตให้คนคิดเลยว่าครีเอทมาก ง่ายๆ แต่สร้างสรรค์และเข้ากับหนังสุดๆ ครับ
18.00
รีวิวมีสปอย***
หนังเริ่มเรื่องที่ตัว กำจร (พร้อมพงศ์) อดีตคนทำเบื้องหลังกองถ่ายภาพยนตร์ที่ธุรกิจฉายหนังกลางแปลงที่ประสบปัญหา พร้อมค่อยๆ เปิดตัวละครร่วมชะตากรรมคนอื่นที่มีปัญหาชีวิต ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากเศรษฐกิจสังคมไทยทั้งนั้น บัญฑิตจบมาไม่มีงานทำ ทำธุรกิจค้าไม่ขึ้น ชีวิตในเมืองไทยที่ใกล้ถึงทางตัน กระทั่งพระเอกและเหล่าก๊วนแก๊งเกิดปิ๊งไอเดีย ปลอมตัวเป็นคนลาวหนีข้ามแม่น้ำโขงเข้าไปในศูนย์อพยพเพื่อหนีไปขุดทองที่อเมริกา
หนังมาในโทนตลกร้าย ตลกแต่เจ็บ เสียดสีสังคมเศรษฐกิจไทยพอแสบๆ คันๆ แล้วมันทำถึงครับ เทียบกับหนังตลกยุคหลังที่มาเวย์คอมเมดี้ แต่กลับใส่มุขเรี่ยราดจนล้น ไม่รู้จังหวะจะโคน นอกจากไม่ตลกแถมยังน่ารำคาญ แต่บ๊ายบายไทยแลนด์ไม่ใช่ครับ คือหนังมันใส่ความคอมเมดี้เข้ามาแบบกลมกล่อมมากๆ แล้วขำด้วย ใครเส้นตื้นคงได้หัวเราะกันม่วน ขนาดผมเส้นลึกยังอมยิ้มไปหลายฉาก หนังมันใส่มุขออกมาได้กลมกล่อมจริงๆ ไม่รู้สึกขาดหรือเกิน แม้แต่ในฉากที่ดูเป็นฉากดราม่า ก็ยังไม่รู้สึกว่ามุขที่ใส่มามันดูเสล่อ จนทำหนังเสียมู้ด แต่กลายเป็นตัวเบรคอารมณ์หนัง แถมเสริมให้หนังดูมีความตลกร้ายขึ้นไปอีก
คุณสุรสีห์ ผาธรรมที่เป็นผู้กำกับ ผมดูแล้วก็อยากจะชื่นชมแกว่าแกเก่งจริงๆ ตั้งแต่พล็อตเรื่อง คือกำกับคอมเมดี้ให้มันคอมเมดี้ว่ายากแล้ว แต่แกต้องกำกับหนังคอมเมดี้ที่มันต้องเจ็บด้วย (ตลกร้าย) แล้วแกทำมันออกมาได้ถึง ทั้งพล็อตและบทที่กลมกล่อม ครีเอทมาก คือผมอยากให้คนทำหนังรุ่นลูกรุ่นหลาน คนทำหนังอีสานมาดูหนังแกเป็นตัวอย่างเลย หนังคอมเมดี้ หนังตลกร้าย หนังอีสาน มันต้องอย่างนี้ (จริงๆ หนังมันก็ไม่ใช่หนังอีสานแบบไทบ้านอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่คุณสุรสีห์แกเจ้าพ่อหนังอีสาน ผมก็เคยดูหนังอีสานของแกเรื่องอื่นมาเหมือนกันเลยขอพูดถึง)
อีกอย่างต้องยกความดีความชอบให้บรรดานักแสดงในเรื่องครับ เรื่องนี้เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยนักแสดงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเลยก็ว่าได้ครับ แต่ถึงอย่างนัเนก็เล่นออกมาได้ดีเป็นธรรมชาติ ในส่วนดาราที่มีชื่อเสียงมีอยู่แค่ 3 คน คือ พร้อมพงศ์ (เสด็จพี่ พรรคเพื่อไทย ชอบฉากที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กำจร โดนเจ้าหนี้มาเก็บข้าวเก็บของจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัวแล้วนึกถึงความหลังสมัยทำเบื้องหลัง จนเกือบจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย ฉากนั้นสเด็จพี่เล่นได้อารมณ์มาก
จามจุรี เชิดโฉม (นางร้ายเสียงสูงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เล่นเป็นนางเอก น่ารักใสๆ ฝุดๆ) และโดยเฉพาะ ดู๋ ดอกกระโดน (ตลกรุ่นเก๋า) แกคือตัวฮา ตัวแบกของเรื่องนี้ของแท้ บทดีแล้วจังหวะคอมเมดี้แกได้อย่างสุดๆ ไม่เสียชื่อตลกจริงๆ ถ้าหนังฉาย คงได้เห็นชื่อเข้าชิงสมทบชายปีนั้น รวมถึงองค์ประกอบของหนัง คือมันดีจนเข้าชิงได้หลายสาขามาก ผู้กำกับ นำชาย สมทบชาย หนังยอดเยี่ยม
ถือว่า บ๊ายบายไทยแลนด์ เป็นคู่แข่งของ เหยื่อ และ บ้าน หนังไทยน้ำดีสะท้อนสังคมในปีนั้น (1987/2530) เลยครับ (แต่ส่วนตัวผมชอบความครีเอทของบ๊ายบายฯ)
อีกความสุดยอดของเรื่องนี้ คือการไปถ่ายกันในศูนย์อพยพกันจริงๆ คงจะเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่ไปถ่ายทำ (ไม่รู้เป็นเหตุผลที่ทำให้มันโดนแบนรึเปล่า ตัวประกอบที่เห็นก็คงมี 'ของจริง' มาเข้าฉากด้วย) ซึ่งมันยิ่งทำให้เรื่องดูเรียลขึ้นไปอีกครับ เวลาผ่านไปมันเลยกลายเป็นจดหมายเหตุไปเลย พูดแล้วผมก็นึกถึงหอแต๋วแตก55
ถึงจุดหมายในเริ่มแรกของทุกตัวละครมันจะเป็นอเมริกา แต่พอเอาเข้าจริง ระหว่างทางก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆ จนวิถีทางของแต่ละตัวละครต่างกันออกไป ที่สุดยอดคือ ไอ้ความเป็นเบื้องหลังเก่าพระเอกที่เคยเป็นทั้งคนพากย์หนังกลางแปลง คนทำเอฟเฟค คนบอกบท ที่ดูจะเป็นแค่แบ็คกราวน์ตัวละครที่มีเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับดราม่าชีวิตของพระเอกในช่วงต้นเรื่อง แต่มันดันกลายมาเป็นตัวช่วยสุดๆ ในแผนการหนีตายไปอเมริกาได้แบบครีเอทมาก
ท้ายที่สุดคุณสุรสีห์แกก็ใจดีกับตัวละครพอครับ ทำให้ถึงสุดท้ายจะไม่ได้ไปอเมริกากันทุกคน แต่ก็ไม่ถึงกับ bad end สิ้นหวัง หนังยังให้แสงสว่างกับตัวละครและคนดูอยู่บ้าง ซึ่งถ้าสมมุติตอนนั้นหนังมันเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา อาจมีภาค 2 ชีวิตหลังจาการออกจากศูนย์อพยพของแต่ละตัวละครตามมาก็ได้
ดูแล้วก็เสียดายจริงๆ ที่หนังไม่มีโอกาสฉาย เพราะคุณภาพมันดีจริงครับ ทั้งพล็อตที่แปลกใหม่ทันสมัย บทที่ร้อยเรียงมาอย่างดี น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสออกสู่สายตาของคนดูทั่วไป ถ้าให้เดาสาเหตุที่เซ็นเซอร์ไม่อนุมัติ คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนไทยปลอมตัวเป็นคนลาว การพูดถึงประเทศลาวแบบไม่มีหลบ การจิกกัดแซะๆ แซวๆ เมืองไทย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เพราะความ... (เติมคำในช่องว่างเอา) ของเซ็นเซอร์ในตอนนั้นแท้ๆ ทำให้คนไทยพลาดหนังดีๆ อย่างบ๊ายบายไทยแลนด์ไปอย่างน่าเสียดายที่สุด
ไม่รู้ว่าหอภาพยนตร์จะเอามาฉายอีกครั้งเมื่อไร ถ้าใครไม่เคยดู แนะนำมากจริงๆ หนังไทยคุณภาพอีกเรื่องครับ
Rank A 👍
ปล ผมอยากให้เรื่องนี้มีคนเอามารีเมคมาก ทำเป็นพีเรียดลงในสตรีมมิ่ง ผมว่าถ้าทำดีเป็นกระแสแบบ analog squad มนต์รักนักพากย์ได้แน่นอน หนังมันน่ามาขยายต่อเป็นซีรีย์มากๆ ทั้งแบ็คกราวน์ตัวละคร การใช้ชีวิตในศูนย์อพยพ หรือต่อยอดจากในหนังไปเลยว่าพอหนีออกมาจากศูนย์แล้วชีวิตแต่ละคนเป็นยังไง ส่วนตัวผมอยากเห็นเรื่องนี้ในแนวดราม่า หนังมันน่าเอามาเล่าในโทนดาร์คดราม่ามาก แต่คุณสุรสีห์แกเสียไปแล้ว ไม่รู้ว่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ใคร
บ๊ายบายไทยแลนด์ เมื่ออยู่ไทยมันเส็งเคร็งขอหนีไปขุดทองที่เมกา เป็นหนังไทยที่ underrated จริงๆ ผมอยากให้รีเมคเรื่องนี้ครับ
กำจร เจ้าของบริการภาพยนตร์แห่งอุดรธานี และบรรดาผองเพื่อนต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ จนวันหนึ่งพวกเขาตัดสินใจปลอมตัวไปร่วมขบวนของศูนย์อพยพชาวลาวที่เดินทางไปยังอเมริกา ด้วยความหวังว่าจะยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม
หอภาพยนตร์มีโครงการ archive rediscovery นำหนังไทยเก่าที่สูญหายหรือถูกหลงลืมไปมาฉาย แค่เรื่องย่อก็ดึงดูดความสนใจแล้ว บวกกับหนังไม่ได้ฉายก็เรียกความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกว่าหนังมันไป 'แตะ' อะไรถึงโดนแบน เปิดเรื่องมาแค่ op ก็นับว่าสุด กับการนำภาพข่าวเศรษฐกิจ การเมืองย่ำแย่จากหนังสือพิมพ์ (ในตอนนั้น) คนฆ่ากัน ฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรฐกิจ คลอไปกับเพลง บ๊ายบายไทยแลนด์ ของวงอมตะ ตรงนี้ต้องยกเครดิตให้คนคิดเลยว่าครีเอทมาก ง่ายๆ แต่สร้างสรรค์และเข้ากับหนังสุดๆ ครับ
18.00
รีวิวมีสปอย***
หนังเริ่มเรื่องที่ตัว กำจร (พร้อมพงศ์) อดีตคนทำเบื้องหลังกองถ่ายภาพยนตร์ที่ธุรกิจฉายหนังกลางแปลงที่ประสบปัญหา พร้อมค่อยๆ เปิดตัวละครร่วมชะตากรรมคนอื่นที่มีปัญหาชีวิต ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากเศรษฐกิจสังคมไทยทั้งนั้น บัญฑิตจบมาไม่มีงานทำ ทำธุรกิจค้าไม่ขึ้น ชีวิตในเมืองไทยที่ใกล้ถึงทางตัน กระทั่งพระเอกและเหล่าก๊วนแก๊งเกิดปิ๊งไอเดีย ปลอมตัวเป็นคนลาวหนีข้ามแม่น้ำโขงเข้าไปในศูนย์อพยพเพื่อหนีไปขุดทองที่อเมริกา
หนังมาในโทนตลกร้าย ตลกแต่เจ็บ เสียดสีสังคมเศรษฐกิจไทยพอแสบๆ คันๆ แล้วมันทำถึงครับ เทียบกับหนังตลกยุคหลังที่มาเวย์คอมเมดี้ แต่กลับใส่มุขเรี่ยราดจนล้น ไม่รู้จังหวะจะโคน นอกจากไม่ตลกแถมยังน่ารำคาญ แต่บ๊ายบายไทยแลนด์ไม่ใช่ครับ คือหนังมันใส่ความคอมเมดี้เข้ามาแบบกลมกล่อมมากๆ แล้วขำด้วย ใครเส้นตื้นคงได้หัวเราะกันม่วน ขนาดผมเส้นลึกยังอมยิ้มไปหลายฉาก หนังมันใส่มุขออกมาได้กลมกล่อมจริงๆ ไม่รู้สึกขาดหรือเกิน แม้แต่ในฉากที่ดูเป็นฉากดราม่า ก็ยังไม่รู้สึกว่ามุขที่ใส่มามันดูเสล่อ จนทำหนังเสียมู้ด แต่กลายเป็นตัวเบรคอารมณ์หนัง แถมเสริมให้หนังดูมีความตลกร้ายขึ้นไปอีก
คุณสุรสีห์ ผาธรรมที่เป็นผู้กำกับ ผมดูแล้วก็อยากจะชื่นชมแกว่าแกเก่งจริงๆ ตั้งแต่พล็อตเรื่อง คือกำกับคอมเมดี้ให้มันคอมเมดี้ว่ายากแล้ว แต่แกต้องกำกับหนังคอมเมดี้ที่มันต้องเจ็บด้วย (ตลกร้าย) แล้วแกทำมันออกมาได้ถึง ทั้งพล็อตและบทที่กลมกล่อม ครีเอทมาก คือผมอยากให้คนทำหนังรุ่นลูกรุ่นหลาน คนทำหนังอีสานมาดูหนังแกเป็นตัวอย่างเลย หนังคอมเมดี้ หนังตลกร้าย หนังอีสาน มันต้องอย่างนี้ (จริงๆ หนังมันก็ไม่ใช่หนังอีสานแบบไทบ้านอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่คุณสุรสีห์แกเจ้าพ่อหนังอีสาน ผมก็เคยดูหนังอีสานของแกเรื่องอื่นมาเหมือนกันเลยขอพูดถึง)
อีกอย่างต้องยกความดีความชอบให้บรรดานักแสดงในเรื่องครับ เรื่องนี้เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยนักแสดงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเลยก็ว่าได้ครับ แต่ถึงอย่างนัเนก็เล่นออกมาได้ดีเป็นธรรมชาติ ในส่วนดาราที่มีชื่อเสียงมีอยู่แค่ 3 คน คือ พร้อมพงศ์ (เสด็จพี่ พรรคเพื่อไทย ชอบฉากที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จามจุรี เชิดโฉม (นางร้ายเสียงสูงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เล่นเป็นนางเอก น่ารักใสๆ ฝุดๆ) และโดยเฉพาะ ดู๋ ดอกกระโดน (ตลกรุ่นเก๋า) แกคือตัวฮา ตัวแบกของเรื่องนี้ของแท้ บทดีแล้วจังหวะคอมเมดี้แกได้อย่างสุดๆ ไม่เสียชื่อตลกจริงๆ ถ้าหนังฉาย คงได้เห็นชื่อเข้าชิงสมทบชายปีนั้น รวมถึงองค์ประกอบของหนัง คือมันดีจนเข้าชิงได้หลายสาขามาก ผู้กำกับ นำชาย สมทบชาย หนังยอดเยี่ยม
ถือว่า บ๊ายบายไทยแลนด์ เป็นคู่แข่งของ เหยื่อ และ บ้าน หนังไทยน้ำดีสะท้อนสังคมในปีนั้น (1987/2530) เลยครับ (แต่ส่วนตัวผมชอบความครีเอทของบ๊ายบายฯ)
อีกความสุดยอดของเรื่องนี้ คือการไปถ่ายกันในศูนย์อพยพกันจริงๆ คงจะเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่ไปถ่ายทำ (ไม่รู้เป็นเหตุผลที่ทำให้มันโดนแบนรึเปล่า ตัวประกอบที่เห็นก็คงมี 'ของจริง' มาเข้าฉากด้วย) ซึ่งมันยิ่งทำให้เรื่องดูเรียลขึ้นไปอีกครับ เวลาผ่านไปมันเลยกลายเป็นจดหมายเหตุไปเลย พูดแล้วผมก็นึกถึงหอแต๋วแตก55
ถึงจุดหมายในเริ่มแรกของทุกตัวละครมันจะเป็นอเมริกา แต่พอเอาเข้าจริง ระหว่างทางก็เกิดเหตุการณ์ต่างๆ จนวิถีทางของแต่ละตัวละครต่างกันออกไป ที่สุดยอดคือ ไอ้ความเป็นเบื้องหลังเก่าพระเอกที่เคยเป็นทั้งคนพากย์หนังกลางแปลง คนทำเอฟเฟค คนบอกบท ที่ดูจะเป็นแค่แบ็คกราวน์ตัวละครที่มีเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับดราม่าชีวิตของพระเอกในช่วงต้นเรื่อง แต่มันดันกลายมาเป็นตัวช่วยสุดๆ ในแผนการหนีตายไปอเมริกาได้แบบครีเอทมาก
ท้ายที่สุดคุณสุรสีห์แกก็ใจดีกับตัวละครพอครับ ทำให้ถึงสุดท้ายจะไม่ได้ไปอเมริกากันทุกคน แต่ก็ไม่ถึงกับ bad end สิ้นหวัง หนังยังให้แสงสว่างกับตัวละครและคนดูอยู่บ้าง ซึ่งถ้าสมมุติตอนนั้นหนังมันเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา อาจมีภาค 2 ชีวิตหลังจาการออกจากศูนย์อพยพของแต่ละตัวละครตามมาก็ได้
ดูแล้วก็เสียดายจริงๆ ที่หนังไม่มีโอกาสฉาย เพราะคุณภาพมันดีจริงครับ ทั้งพล็อตที่แปลกใหม่ทันสมัย บทที่ร้อยเรียงมาอย่างดี น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสออกสู่สายตาของคนดูทั่วไป ถ้าให้เดาสาเหตุที่เซ็นเซอร์ไม่อนุมัติ คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนไทยปลอมตัวเป็นคนลาว การพูดถึงประเทศลาวแบบไม่มีหลบ การจิกกัดแซะๆ แซวๆ เมืองไทย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เพราะความ... (เติมคำในช่องว่างเอา) ของเซ็นเซอร์ในตอนนั้นแท้ๆ ทำให้คนไทยพลาดหนังดีๆ อย่างบ๊ายบายไทยแลนด์ไปอย่างน่าเสียดายที่สุด
ไม่รู้ว่าหอภาพยนตร์จะเอามาฉายอีกครั้งเมื่อไร ถ้าใครไม่เคยดู แนะนำมากจริงๆ หนังไทยคุณภาพอีกเรื่องครับ
Rank A 👍
ปล ผมอยากให้เรื่องนี้มีคนเอามารีเมคมาก ทำเป็นพีเรียดลงในสตรีมมิ่ง ผมว่าถ้าทำดีเป็นกระแสแบบ analog squad มนต์รักนักพากย์ได้แน่นอน หนังมันน่ามาขยายต่อเป็นซีรีย์มากๆ ทั้งแบ็คกราวน์ตัวละคร การใช้ชีวิตในศูนย์อพยพ หรือต่อยอดจากในหนังไปเลยว่าพอหนีออกมาจากศูนย์แล้วชีวิตแต่ละคนเป็นยังไง ส่วนตัวผมอยากเห็นเรื่องนี้ในแนวดราม่า หนังมันน่าเอามาเล่าในโทนดาร์คดราม่ามาก แต่คุณสุรสีห์แกเสียไปแล้ว ไม่รู้ว่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ใคร