เคยมีคนพูดไว้ คงไม่ใช่นายทองเหม็น หรือ นายจันทร์ หนวดเขี้ยว แต่ก็โบราณก็ละกัน
ว่า คนเราแบ่งสัดส่วน ชีวีตเป็น สังคม ส่วนตัว ครอบครัว และ งาน มันก็ชัดเจนดี และเป็นหมวดหมู่ดี
สังคม ก็เพื่อนๆ เพื่อนทุกประเภท นักเรียน ที่ทำงาน แถวบ้าน
ส่วนตัว ก็ อะไรที่เราชอบ ไปหาอะไรหร่อยๆ ทาน หรือ ดูหนังคนเดียว ( รอเพื่อน หนังคงลาโรง ) หรือ นั่งฟังเพลงฯลฯ
ครอบครัว ก็ พ่อแม่พี่น้อง ภรรยา ลูก หลาน ฯลฯ
งาน ก็ ที่เราทำแล้วมีรายได้หามาเลี้ยงชีพ ไม่ทำก็ ลำบาก ยังไงต้องมีโน่นมีนี่ให้จ่ายเสมอ
แต่ผมเคย แยกเป็นแบบ ครอบครัว สหาย และ คนรู้จัก
คือ นึกว่า ครอบครัว มาที่ 1
สหาย มาที่ 2
คนรู้จัก มาที่โหล่
แต่พอโลกหมุนรอบดวงตะวัน หลายๆรอบมากๆขึ้น เราได้เห็นใบไม้ร่วง ครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็จะได้พบว่า สาม อย่างนี้ ไม่แน่นอน วนเวียน สับเปลี่ยน กันได้เชื่อไหม
ครอบครัว ผมเชื่อว่า ครอบครัวทั่วไป ก็ เหมือนหนัง ฟาสต์ คือ รักกันๆๆๆ แต่ที่ผมเห็น ไม่เหมือนในหนัง คนรวย แย่งมรดก กงสี แย่งกันดูแลผลประโยชน์ พี่เป็นโจร น้องเป็นตำรวจ ( อันนี้หนังชอบสร้าง แต่หนังสมัยก่อนนะ ) คนจน เอาตัวรอด คนชั้นกลาง เรียกว่าอะไรนะ ชีงดี ชีงเด่น และ ก็วนกลับไปที่ ผลประโยชน์ นั่นแหล่ะ จน บางครั้ง คนสายเลือดเดียวกัน ก็ ร้ายใส่กัน มากกว่า คนนอกซะอีก
สหาย ผมเคยมีเพื่อนที่ เรียกว่า ไปไหน ไปกัน เห็นดีเห็นงามกันเกือบทุกอย่าง แน่นอน บางอย่างไม่ ถึงคบกันได้ ถ้าเห็นตามกันหมด แสดงว่า มีคนนึงโง่แล้ว รวมถึง ไม่ทอดที้งกันยามอันตราย ครับ ผมหมายถึง อันตรายจาก สารพัด ทั้งคนเลว สัตว์มีพีษ ภัยธรรมชาต เรียกว่า ช่วยให้รอด ให้ปลอดภัย ด้วยความเต็มใจ และ ไม่ต้องตอบแทนด้วย ดีไหม เพื่อน หรือ สหายเหล่านี้ แต่ เวลาผ่านไป สหายบางคน ก็ผันแปรไป เหมือนคนไม่รู้จักกัน สาเหตุน่ะหรือ อย่าให้ ระบุกันเลย แต่มันมีใช่ฤาไม่ ออเจ้า 555 แบบ ไม่คุยกันมา 10 ปีแล้วและ อาจตลอดไป เผลอๆ ตายก็ไม่รู้ด้วยว่าตายไปแล้ว เพราะไม่มีหนทางจะกลับมาคบกันอีกเลย ไม่ได้ข่าวกันอีกเลย ไปแล้ว ไปเลย
คนรุ้จัก ไม่ใช่นับเป็นสหายเลย ก็แค่ ทำงานด้วยกัน เราช่วยเขาเพราะ เขามีน้อยกว่า แต่เราไม่เคยนึกถึงเขาเลย บอกตรงๆ แต่ หนูตอบแทนราชสีห์ ก็เคยมีให้เห็น แค่คนรุ้จัก แปรสภาพ เป็นสหาย ได้ในยามที่ เราไม่เคยนึกถึง แต่เขาน่ะ ซาบซึ้งที่เรามอบอะไรเล็กๆน้อยให้เขามาตลอด
ในเมื่อ ครอบครัว ไม่ได้รักกัน แถม ต้องร้ายใส่
สหายกลายเป็น คนไม่รู้จัก
คนรู้จัก กลับ เป็นสหาย
นียาม ของแต่ละสถานะ มันเปลี่ยนกันได้ หนัง The Fast ยังเอาแก๊งรถซี่งมานับเป็นครอบครัว เพราะ ยามลำบากไม่หนีกัน ช่วยกันเสมอ หนังก็สร้างมา 10 ภาคแล้ว มี ภาค 11 ด้วยนะ แม้จะมั่วๆไปมากก็ตาม
บางครั้ง สังคม ก็คือครอบครัว ส่วนตัว ก็คือ งาน ชีวีตบางคนก็คือ มีแต่งาน ไม่มีงาน ก็ไร้ความหมาย ไม่มีสังคม และ ไม่มีครอบครัว ตัวคนเดียว
สถานะของคน แต่ละกลุ่ม เปลี่ยนแปลงได้ ตาม วาระของการกระทำ โอกาส จังหวะ และ ความกรุณา ในแต่ละช่วงเวลา
มีแต่เรานี่แหล่ะ ว่าไหมที่ คอย มองว่า คนแต่ละคนเป็นอย่างไร แล้ว เราเคยมองตัวเองบ้างไหมว่า เราน่ะ ผมน่ะ คุณน่ะ เคยเปลี่ยนบทบาทตัวเอง จาก คนดี ไปเป็นคนร้ายบ้างไหม เคยช่วยเหลือคน แล้ว เคยทอดที้งใครไว้อย่างไม่แยแสบ้างไหม ? ( ต้องเคย รู้ตัวไหมนั่นคืออีกเรื่อง )
ผมเคยฟังเพลง เจ้าพ่อปักกี่ง เอ๊ย เซี่ยงไฮ ( ชื่อพ่อเพื่อน ก็ชือ่นี้ ) เนื้อเพลง มีความหมาย ว่า ความดี ความเลว มันผสมกันเหมือนเกลียวคลื่น จน ยากจะแยกแยะได้ว่า คนไหน คนดี คนไหน คนเลว
ท่อนที่ร้องว่า ( ไม่แน่ใจว่าใช่ไหมนะ ) อ๊อยเหน๋ ฮันเหน๋ สะกดประมาณนี้แล้วกัน ท่อนนี้ แปลว่า รักเธอ เกลียดเธอ เหมือนนางเอก รู้สึกต่อพระเอก เพราะ พระเอก ดันไปฆ่า พ่อนางเอกตาย แต่ ก็เป็นคนที่นางเอกรัก ( โห หนังเก่ายังจำได้ Memory ระดับ Resident file เลยนะนี่ )
ไม่อยากใช้คำว่า สรุป แต่ ช่วงปีที่ผ่านมา ผมตระหนักได้เลยว่า ความไม่แน่นอน ก็คือความแน่นอน เราอย่าไปตั้งค่า ว่า คนนั้นดี คนนี้เลว โดยเฉพาะ คนที่เราเคยร่วมทุกข์สุขกันมา เพราะ วันก่อนดี วันนี้ร้าย เมื่อก่อนวุ่นวาย สุดท้ายกลายเป็นประโยชน์ รวมถึง ตัวเราเองด้วย ก็มีทั้งสองด้าน ดีเลว เพียงแต่ เรามักจะมองว่า เรา ดีย์ .... แค่น้นเองครับ
แต่นั่นก็คือ ตัวตนของเรา ไม่มีใครหรอกที่จะมองว่าตัวเอง เลว แค่สำนึกว่าเลว พลาดไปแล้ว แต่ยังไงก็เป็นคนดี
ก็คนรอบตัวเรา ยังวนเวียน เปลียนตำแหน่ง กัน อย่างกับ ดวงดาว หมุนรอบดวงตะวัน ส่วนตัวเราก็เหมือนดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง ว่ามั้ย ....
ขอบคุณที่ทนอ่าน ขออภัยที่ไม่ได้อะไรไปเลย 5555
( เฉพาะถนนักเขียนเท่านั้น )
ขอบคุณครับ
ครอบครัว สหาย และ คนรู้จัก
ว่า คนเราแบ่งสัดส่วน ชีวีตเป็น สังคม ส่วนตัว ครอบครัว และ งาน มันก็ชัดเจนดี และเป็นหมวดหมู่ดี
สังคม ก็เพื่อนๆ เพื่อนทุกประเภท นักเรียน ที่ทำงาน แถวบ้าน
ส่วนตัว ก็ อะไรที่เราชอบ ไปหาอะไรหร่อยๆ ทาน หรือ ดูหนังคนเดียว ( รอเพื่อน หนังคงลาโรง ) หรือ นั่งฟังเพลงฯลฯ
ครอบครัว ก็ พ่อแม่พี่น้อง ภรรยา ลูก หลาน ฯลฯ
งาน ก็ ที่เราทำแล้วมีรายได้หามาเลี้ยงชีพ ไม่ทำก็ ลำบาก ยังไงต้องมีโน่นมีนี่ให้จ่ายเสมอ
แต่ผมเคย แยกเป็นแบบ ครอบครัว สหาย และ คนรู้จัก
คือ นึกว่า ครอบครัว มาที่ 1
สหาย มาที่ 2
คนรู้จัก มาที่โหล่
แต่พอโลกหมุนรอบดวงตะวัน หลายๆรอบมากๆขึ้น เราได้เห็นใบไม้ร่วง ครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็จะได้พบว่า สาม อย่างนี้ ไม่แน่นอน วนเวียน สับเปลี่ยน กันได้เชื่อไหม
ครอบครัว ผมเชื่อว่า ครอบครัวทั่วไป ก็ เหมือนหนัง ฟาสต์ คือ รักกันๆๆๆ แต่ที่ผมเห็น ไม่เหมือนในหนัง คนรวย แย่งมรดก กงสี แย่งกันดูแลผลประโยชน์ พี่เป็นโจร น้องเป็นตำรวจ ( อันนี้หนังชอบสร้าง แต่หนังสมัยก่อนนะ ) คนจน เอาตัวรอด คนชั้นกลาง เรียกว่าอะไรนะ ชีงดี ชีงเด่น และ ก็วนกลับไปที่ ผลประโยชน์ นั่นแหล่ะ จน บางครั้ง คนสายเลือดเดียวกัน ก็ ร้ายใส่กัน มากกว่า คนนอกซะอีก
สหาย ผมเคยมีเพื่อนที่ เรียกว่า ไปไหน ไปกัน เห็นดีเห็นงามกันเกือบทุกอย่าง แน่นอน บางอย่างไม่ ถึงคบกันได้ ถ้าเห็นตามกันหมด แสดงว่า มีคนนึงโง่แล้ว รวมถึง ไม่ทอดที้งกันยามอันตราย ครับ ผมหมายถึง อันตรายจาก สารพัด ทั้งคนเลว สัตว์มีพีษ ภัยธรรมชาต เรียกว่า ช่วยให้รอด ให้ปลอดภัย ด้วยความเต็มใจ และ ไม่ต้องตอบแทนด้วย ดีไหม เพื่อน หรือ สหายเหล่านี้ แต่ เวลาผ่านไป สหายบางคน ก็ผันแปรไป เหมือนคนไม่รู้จักกัน สาเหตุน่ะหรือ อย่าให้ ระบุกันเลย แต่มันมีใช่ฤาไม่ ออเจ้า 555 แบบ ไม่คุยกันมา 10 ปีแล้วและ อาจตลอดไป เผลอๆ ตายก็ไม่รู้ด้วยว่าตายไปแล้ว เพราะไม่มีหนทางจะกลับมาคบกันอีกเลย ไม่ได้ข่าวกันอีกเลย ไปแล้ว ไปเลย
คนรุ้จัก ไม่ใช่นับเป็นสหายเลย ก็แค่ ทำงานด้วยกัน เราช่วยเขาเพราะ เขามีน้อยกว่า แต่เราไม่เคยนึกถึงเขาเลย บอกตรงๆ แต่ หนูตอบแทนราชสีห์ ก็เคยมีให้เห็น แค่คนรุ้จัก แปรสภาพ เป็นสหาย ได้ในยามที่ เราไม่เคยนึกถึง แต่เขาน่ะ ซาบซึ้งที่เรามอบอะไรเล็กๆน้อยให้เขามาตลอด
ในเมื่อ ครอบครัว ไม่ได้รักกัน แถม ต้องร้ายใส่
สหายกลายเป็น คนไม่รู้จัก
คนรู้จัก กลับ เป็นสหาย
นียาม ของแต่ละสถานะ มันเปลี่ยนกันได้ หนัง The Fast ยังเอาแก๊งรถซี่งมานับเป็นครอบครัว เพราะ ยามลำบากไม่หนีกัน ช่วยกันเสมอ หนังก็สร้างมา 10 ภาคแล้ว มี ภาค 11 ด้วยนะ แม้จะมั่วๆไปมากก็ตาม
บางครั้ง สังคม ก็คือครอบครัว ส่วนตัว ก็คือ งาน ชีวีตบางคนก็คือ มีแต่งาน ไม่มีงาน ก็ไร้ความหมาย ไม่มีสังคม และ ไม่มีครอบครัว ตัวคนเดียว
สถานะของคน แต่ละกลุ่ม เปลี่ยนแปลงได้ ตาม วาระของการกระทำ โอกาส จังหวะ และ ความกรุณา ในแต่ละช่วงเวลา
มีแต่เรานี่แหล่ะ ว่าไหมที่ คอย มองว่า คนแต่ละคนเป็นอย่างไร แล้ว เราเคยมองตัวเองบ้างไหมว่า เราน่ะ ผมน่ะ คุณน่ะ เคยเปลี่ยนบทบาทตัวเอง จาก คนดี ไปเป็นคนร้ายบ้างไหม เคยช่วยเหลือคน แล้ว เคยทอดที้งใครไว้อย่างไม่แยแสบ้างไหม ? ( ต้องเคย รู้ตัวไหมนั่นคืออีกเรื่อง )
ผมเคยฟังเพลง เจ้าพ่อปักกี่ง เอ๊ย เซี่ยงไฮ ( ชื่อพ่อเพื่อน ก็ชือ่นี้ ) เนื้อเพลง มีความหมาย ว่า ความดี ความเลว มันผสมกันเหมือนเกลียวคลื่น จน ยากจะแยกแยะได้ว่า คนไหน คนดี คนไหน คนเลว
ท่อนที่ร้องว่า ( ไม่แน่ใจว่าใช่ไหมนะ ) อ๊อยเหน๋ ฮันเหน๋ สะกดประมาณนี้แล้วกัน ท่อนนี้ แปลว่า รักเธอ เกลียดเธอ เหมือนนางเอก รู้สึกต่อพระเอก เพราะ พระเอก ดันไปฆ่า พ่อนางเอกตาย แต่ ก็เป็นคนที่นางเอกรัก ( โห หนังเก่ายังจำได้ Memory ระดับ Resident file เลยนะนี่ )
ไม่อยากใช้คำว่า สรุป แต่ ช่วงปีที่ผ่านมา ผมตระหนักได้เลยว่า ความไม่แน่นอน ก็คือความแน่นอน เราอย่าไปตั้งค่า ว่า คนนั้นดี คนนี้เลว โดยเฉพาะ คนที่เราเคยร่วมทุกข์สุขกันมา เพราะ วันก่อนดี วันนี้ร้าย เมื่อก่อนวุ่นวาย สุดท้ายกลายเป็นประโยชน์ รวมถึง ตัวเราเองด้วย ก็มีทั้งสองด้าน ดีเลว เพียงแต่ เรามักจะมองว่า เรา ดีย์ .... แค่น้นเองครับ
แต่นั่นก็คือ ตัวตนของเรา ไม่มีใครหรอกที่จะมองว่าตัวเอง เลว แค่สำนึกว่าเลว พลาดไปแล้ว แต่ยังไงก็เป็นคนดี
ก็คนรอบตัวเรา ยังวนเวียน เปลียนตำแหน่ง กัน อย่างกับ ดวงดาว หมุนรอบดวงตะวัน ส่วนตัวเราก็เหมือนดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง ว่ามั้ย ....
ขอบคุณที่ทนอ่าน ขออภัยที่ไม่ได้อะไรไปเลย 5555
( เฉพาะถนนักเขียนเท่านั้น )
ขอบคุณครับ