มาระบายเฉยๆ
เราเป็นคนนึงที่หน้าตาไม่ดี พูดไม่เก่ง เข้ากับคนอื่นไม่ได้ โดนแบนออกจากคนในห้อง ครูก็ไม่ดูแล บ่อยครั้งโดนแกล้งจนร้องไห้ ก็โดนเมินจากทั้งครูกับคนในห้อง ปล่อยให้ร้องอยู่อย่างนั้น ส่วนรายละเอียดการโดนแกล้งก็เป็นเรื่องคลาสสิค จากคนในโรงเรียน ที่บางคนเราก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ เป็นเด็กกว่าก็มี โตกว่าก็มี วัยเดียวกันก็เยอะ ทั้งที่บางคนเราไม่รู้จักด้วยซ้ำ
ที่โดนก็ เช่น โดนขโมยของ อย่างรองเท้านักเรียนไปหนึ่งข้าง ยืมไม่คืน อยู่ดีๆมาทำร้ายร่างกาย ทำลายของของเรา
จากครูก็เช่น ส่วนใหญ่คนในห้องจะใช้เราให้ไปยืมของจากครู แล้วก็ทำหายไม่คืน เราก็ต้องรับหน้าโดนครูดุด่าทำโทษคนเดียวตลอด ไม่สนว่าเราจะอธิบายยังไง โดนเลือกเป็นตัวแทนให้แสดงเป็นตัวละครตลกๆน่าอายในงานโรงเรียน ไม่ช่วยตามของที้เราโดนขโมย เมินสนิท ใช้ล้างจาน ล้อเลียนเรื่องหน้าตา โดนไม้เรียวเมื่อไม่ส่งงานรึการบ้าน อันนี้คนอื่นก็โดน เพราะอยู่ในยุคโดนไม้เรียวคือเรื่องปกติ ไม่นับละกัน
สมัยเด็กชีวิตในรั้วโรงเรียนคือเรื่องร้ายที่ตามมาหลอก ทั้งฝันร้าย ทั้งฝังใจ
ดูเหมือนว่าเราจะเป็นโรคทางจิตเวชด้วยส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ไม่รู้วิธีเข้าสังคม โกรธง่ายโมโหง่าย แต่ก็ลืมไว จำหน้าและชื่อคนไม่ค่อยได้ อารมณ์แปรปรวนบ่อย
นิสัยไม่ดีของเราก็พอรู้อยู่ คือชอบโทษคนอื่น เอาแต่ใจ แต่ก็เฉพาะกับคนในบ้านเท่านั้น เหมือนเป็นความเก็บกดจากในโรงเรียน เลยมาลงที่คนในครอบครัว
ตอนแรกก็ไม่ได้มีนิสัยนี้นะ แต่ตั้งแต่วัยปฐม ป4 ขึ้นไป เราก็เพี้ยนมากขึ้น อนุบาลโดนเมิน ป1ป2ป3 เริ่มโดยแกล้ง จากนั้นการเรียนก็เริ่มตกลงเรื่อยๆ นิสัยเสียก็เริ่มต้นขึ้น ตื่นสาย ขี้เกียจไปโรงเรียน ระแวงคนอื่น ทำลายข้าวของ ขโมยของ เริ่มอยากเอาคืนคนที่แกล้ง ดันกลายเป็นรู้ตัวว่า เราเหมาะโดนแกล้งมากกว่าแกล้งคนอื่น เพราะพอเราตั้งใจจะเอาคืนคนที่แกล้ง ก็ดันโดนคนที่ไม่เกี่ยวข้องแทนเช่นแอบเอาน้ำส้มสายชูใส่ขวดน้ำที่มันดื่มค้างไว้ คนไม่เกี่ยวดันกินเข้าไป เรื่องถึงผู้ปกครองแต่เราสับสนจนต่อหลักฐานและการรุมประณามได้แต่ร้องไห้ โดนครูโรคจิตบีบแก้มแรงๆเพราะจะดูฟันผุทั้งที่เราร้องไห้บอกปวดฟัน(อันนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราจำเป็นต้องอ้าปากให้ดูเลยนะ เพราะเราแค่เดินเข้าไปไหว้ทักทายตามมารยาท แต่อยู่ๆก็มาบีบแก้มเราเฉยเหมือนหมั่นไส้อ่ะ จนเราเริ่มร้องไห้ก็ยังบีบ คือเรางงมากว่าทำแบบนี้ทำไม ถ้าเราต้องให้หมอตรวจฟันจริงๆ ถึงร้องไห้เราก็อ้าปากให้ดูได้นะ แต่อันนี้คืออะไร เรากลัวมากจนจำได้ทุกวันนี้อ่ะ) เอามีดเหลาดินสอมาขู่คนที่ชอบตีเราว่าจะฟันถ้าไม่หยุดแกล้ง มันไม่หยุดก็โดนไปที่มือ โดนครุตีเลย ขนมโดนขโมยจึงไปค้นกระเป๋าหาหลักฐาน เจอของคนนึงไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าก็เลยแกะกิน และโดนรุมประณามไป ทั้งที่ตอนสมุดบันทึกเล่มสำคัญของรักของหวงของเราโดนขโมย รองเท้าหายบ่อย ไม่มีใครวิ่งเต้นซักคน เราโดนตีก่อน จึงเอาไม้ไล่ฟาดคืน ดันโดนคนอื่นมาฟาดหัว ครุปล่อยเลาร้องไห้คนเดียวไม่สนจะสอนหนังสือต่อ อื่นๆ
เหตุการณ์ทางบ้าน เราที่เริ่มสติแตก ผลการเรียนตก ตื่นยาก ตื่นสาย ไม่ยอมไปโรงเรียนเพราะไม่อยากเจอเรื่องไม่ดี ไม่ทำการบ้านเพราะอยากทำสิ่งที่ชอบมากกว่า จึงโดนบังคับปลุก บังคับทำการบ้านดึกๆ โดนไม้เรียวนิดหน่อย ถ้าถามว่าทำไมไม่ปรึกษาใคร ก็ต้องลองถามเด็กวัยเดียวกับเราคนอื่นที่เคยโดนแกล้งว่าทำไมไม่ยอมบอก เราก็ต้องยกตัวอย่างเช่นครุที่ไม่สน เด็กสับสนเกินกว่าจะอธิบาย ไม่รู้สึกว่ามีคนที่พึ่งได้ไว้ใจได้ อารมณ์ประมาณแบบ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครเป็นเซฟโซนได้เลย และก็ไม่รู้เหตุผลจริงๆ และเราก็ลืมไปแล้วว่าทำไมไม่ขอให้ใครช่วย เราว่าก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกับคนที่โดนแกล้งคนอื่นๆน่ะแหละ ถามให้ตายก็อธิบายไม่ได้ ยิ่งเป็นเด็กยิ่งแล้วใหญ่
ข้อดีของเราในวัยเรียนน่ะเหรอ เป็นเด็กกิจกรรมผู้ชอบวาดรูป ชอบอ่านหนังสือ แข่งแต่งกลอน กล่าวสุนทรพจน์ เป็นตัวแทนไปสอบอะไรซักอย่าง เป็นคนที่ชอบใช้จินตนาการแต่ไม่ถนัดคิดคำนวณ ความจำดี ไม่ถนัดทำผลงานเก็บคะแนน แต่ชอบสอบทีเดียวได้คะแนนดีมากกว่า ชอบภาษาเคยเรียนด้วยตัวเองและลองคุยกับชาวต่างชาติรึซิสเตอร์บ้างเป็นบางครั้ง แต่ไปได้ไม่สวยเพราะถูกมองแรงจนไม่กล้าคุยภาษาอังกฤษจนเสียความมั่นใจเลิกเรียนไปเอง จบการสาธยายอดีตอันไกลโพ้นวัยปฐม ขยับมาใกล้วัยมัธยมต้นและปลายอีกหน่อย หลังจากที่เราเป็นฝ่ายโดนรังแก หัดเอาคืนบ้างไม่รอด จบที่เกือบฆ่าตัวตายในวัย ป.6 เข้าสู่ช่วงชีวิตซังกะตาย เลือกทำแต่สิ่งที่ชอบ ไม่ไว้หน้าใคร กินข้าวคนเดียวอร่อยที่สุดเพราะไม่ต้องห่วงว่าตัวเองจะกินช้าจนใครรอรึเห็นพริกติดฟัน ไม่มีกลุ่มลูกเสือให้เข้า ก็แค่เนียนเดินต่อแถวนั้นนี้ ไม่ใส่ใจการเรียน เริ่มหลับในห้องเรียนเก่งขึ้น ครุก็ครุไม่มีสิทธิ์มาตัดผมฉัน แข่งวาดรูปกลุ่มแต่มีคนเดียวก็เฟี้ยวได้ กลายเป็นนักล่ารางวัล แม้จะร้องเพลงห่วยขนาดไหนขอแค่ได้ขึ้นเวที ทั้งที่กลัวเวที แต่คนมันรักการร้องเพลงให้ทำไง เลือกขึ้นเวทีบ่อยจนเป็นปมฝังใจทั้งที่แค่อยากเอาชนะความกลัวเวทีเท่านั้น แต่ไม่เคยเลย ชีวิตวัยปฐมสุดแย่ ชีวิตที่เริ่มไม่ใส่ใจใครช่วงวัยมัธยมต้น ชีวิตมัธยปลายที่ดูไม่หนักหนาเท่าไหร่เพราะว่าโตๆกันแล้ว
จนมาสู่เหตุการณ์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด คบกันมาเกือบสิบปี นางเลือกเพื่อนใหม่ทิ้งเพื่อนเก่าอย่างฉัน กลุ่มเพื่อนที่พึ่งเคยมีเป็นครั้งแรกกลายเป็นชนวนฝันร้ายที่เจ็บยิ่งกว่าโดนรังแกมาทั้งชีวิตวัยปฐมและมัธยม หลังจากนั้นเราก็ไม่ออกจากบ้านอีกเลย แต่ละวันเราเอาแต่ร้องไห้เหมือนผีเข้า เพราะขาดยารักษาอาการจิตเวชที่ตัดสินใจเลิกกินไปเพื่อตามเพื่อนรักไปลองใช้ชีวิตวัยเรียนครั้งสุดท้ายที่ีเหมือนจะเป็นตัวตัดสินอนาคต ( ปวส รึ ปริญญา นี่แหละ คล้ายกันมัง?5555) กลายเป็นว่าพอไปถึงที่ฝึกงานปุ๊บ เพื่อนแปลกหน้าคนใหม่ ที่พึ่งเข้ากลุ่มเพื่อนที่เราไม่เคยมีก็มีเรื่องกะเลา และได้รวมหัวกะเพื่อนเลา เฉดหัวเราออกจากห้องพักนักเรียนฝึกงาน ไล่เรากลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ไม่เคลียร์ ไม่น่าใช่เหตุผลด้วยซ้ำ เป็นเหตุการณ์บ้าอะไรนี่? แต่ก็ไม่เจ็บเท่าเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเรา ร่วมผสมโรงใส่ร้ายกุเรื่องมากล่าวหาเราเหมือนกับพยายามเอาใจเพื่อนใหม่ไม่ว่าจะต้องใช้เรื่องจริงรึไม่จริงก็ตาม เพื่อให้เรากลายเป็นคนโรคจิต ที่ต้องระวังระแวงตลอดเวลา กลุ่มเพื่อนที่พึ่งเคยมีก็กลายเป็นมารร้ายไปหมด นี่เราไม่เคยมีดวงเรื่องเพื่อนเลยสินะ ไม่เคยมีแต่แรกแล้วแน่ๆ
และเราก็กลับบ้านมาขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง แทบไม่กินข้าวกินน้ำ ร้องไห้เหมือนผีเข้าอยู่เป็นปี ครอบครัวก็มาแยกทางกันอีก กว่าจะกลับมาเป็นคนได้ ก็มีสภาพเป็นไม้เสียบผีแล้ว เป็นช่วงเวลาชีวิตที่ร่างกายเราผอมโซที่สุด สกปรกที่สุด และจิตใจพังมากที่สุด
มาจนทุกวันนี้เราก็อ้วนขึ้นเยอะแล้ว😂 เพราะว่าเอาแต่กินกับนอน มาตลอดเกือบห้าปีล่ะมั้ง ฝึกงานน่าจะอายุ19-20 มาปีนี้อายุ 24 จะ25 แล้ว เพื่อนในโลกออนไลน์เราก็ได้เห็นเขาเริ่มต้นและประสบความสำเร็จกันปีละคนสองคน
มีแต่เรายังไม่เริ่มต้นสักที เรียกได้ว่าเราเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆนานมากๆ
เรารู้สึกได้ว่า จากนี้ชีวิตของเราไม่ได้จะพังเพราะคนอื่นแล้ว แต่จะพังเพราะตัวเราเอง
และก็ต้องมาเสียใจทีหลังอีกแน่ๆ
ที่มาพิมพ์ไว้ซะยืดยาวนี่ คือไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ มีการตัดทอนเสริมแต่งให้ดูดีขึ้นบ้าง จะได้ไม่เหมือนหนังสือสารภาพบาปเกินไป😂 เป็นการระบายความในใจในระดับที่สบายใจมากกว่า
แล้วก็หัวข้อเรื่องนี้ ก็แค่เริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยการโยนความผิดให้คนอื่น แต่จบด้วยการรู้สึกได้ว่าเป็นความผิดของตัวเองซะงั้น เอาเป็นว่าไม่รับประกันนะ ว่าเจ้าของกระทู้นี้จะจบสวยรึเปล่า เพราะอยู่เฉยๆสบายๆขี้เกียจๆ ปล่อยตัวเองจนขนาดนี้แล้วนี่นา😁
ชีวิตพังเพราะวัยเรียนตกเป็นเป้าของการโดนแกล้งของใครๆ เพราะว่าหน้าตาไม่ดีเข้ากับคนอื่นไม่ได้พูดไม่เก่ง ผิดรึเปล่า?
มาระบายเฉยๆ
เราเป็นคนนึงที่หน้าตาไม่ดี พูดไม่เก่ง เข้ากับคนอื่นไม่ได้ โดนแบนออกจากคนในห้อง ครูก็ไม่ดูแล บ่อยครั้งโดนแกล้งจนร้องไห้ ก็โดนเมินจากทั้งครูกับคนในห้อง ปล่อยให้ร้องอยู่อย่างนั้น ส่วนรายละเอียดการโดนแกล้งก็เป็นเรื่องคลาสสิค จากคนในโรงเรียน ที่บางคนเราก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ เป็นเด็กกว่าก็มี โตกว่าก็มี วัยเดียวกันก็เยอะ ทั้งที่บางคนเราไม่รู้จักด้วยซ้ำ
ที่โดนก็ เช่น โดนขโมยของ อย่างรองเท้านักเรียนไปหนึ่งข้าง ยืมไม่คืน อยู่ดีๆมาทำร้ายร่างกาย ทำลายของของเรา
จากครูก็เช่น ส่วนใหญ่คนในห้องจะใช้เราให้ไปยืมของจากครู แล้วก็ทำหายไม่คืน เราก็ต้องรับหน้าโดนครูดุด่าทำโทษคนเดียวตลอด ไม่สนว่าเราจะอธิบายยังไง โดนเลือกเป็นตัวแทนให้แสดงเป็นตัวละครตลกๆน่าอายในงานโรงเรียน ไม่ช่วยตามของที้เราโดนขโมย เมินสนิท ใช้ล้างจาน ล้อเลียนเรื่องหน้าตา โดนไม้เรียวเมื่อไม่ส่งงานรึการบ้าน อันนี้คนอื่นก็โดน เพราะอยู่ในยุคโดนไม้เรียวคือเรื่องปกติ ไม่นับละกัน
สมัยเด็กชีวิตในรั้วโรงเรียนคือเรื่องร้ายที่ตามมาหลอก ทั้งฝันร้าย ทั้งฝังใจ
ดูเหมือนว่าเราจะเป็นโรคทางจิตเวชด้วยส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ไม่รู้วิธีเข้าสังคม โกรธง่ายโมโหง่าย แต่ก็ลืมไว จำหน้าและชื่อคนไม่ค่อยได้ อารมณ์แปรปรวนบ่อย
นิสัยไม่ดีของเราก็พอรู้อยู่ คือชอบโทษคนอื่น เอาแต่ใจ แต่ก็เฉพาะกับคนในบ้านเท่านั้น เหมือนเป็นความเก็บกดจากในโรงเรียน เลยมาลงที่คนในครอบครัว
ตอนแรกก็ไม่ได้มีนิสัยนี้นะ แต่ตั้งแต่วัยปฐม ป4 ขึ้นไป เราก็เพี้ยนมากขึ้น อนุบาลโดนเมิน ป1ป2ป3 เริ่มโดยแกล้ง จากนั้นการเรียนก็เริ่มตกลงเรื่อยๆ นิสัยเสียก็เริ่มต้นขึ้น ตื่นสาย ขี้เกียจไปโรงเรียน ระแวงคนอื่น ทำลายข้าวของ ขโมยของ เริ่มอยากเอาคืนคนที่แกล้ง ดันกลายเป็นรู้ตัวว่า เราเหมาะโดนแกล้งมากกว่าแกล้งคนอื่น เพราะพอเราตั้งใจจะเอาคืนคนที่แกล้ง ก็ดันโดนคนที่ไม่เกี่ยวข้องแทนเช่นแอบเอาน้ำส้มสายชูใส่ขวดน้ำที่มันดื่มค้างไว้ คนไม่เกี่ยวดันกินเข้าไป เรื่องถึงผู้ปกครองแต่เราสับสนจนต่อหลักฐานและการรุมประณามได้แต่ร้องไห้ โดนครูโรคจิตบีบแก้มแรงๆเพราะจะดูฟันผุทั้งที่เราร้องไห้บอกปวดฟัน(อันนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราจำเป็นต้องอ้าปากให้ดูเลยนะ เพราะเราแค่เดินเข้าไปไหว้ทักทายตามมารยาท แต่อยู่ๆก็มาบีบแก้มเราเฉยเหมือนหมั่นไส้อ่ะ จนเราเริ่มร้องไห้ก็ยังบีบ คือเรางงมากว่าทำแบบนี้ทำไม ถ้าเราต้องให้หมอตรวจฟันจริงๆ ถึงร้องไห้เราก็อ้าปากให้ดูได้นะ แต่อันนี้คืออะไร เรากลัวมากจนจำได้ทุกวันนี้อ่ะ) เอามีดเหลาดินสอมาขู่คนที่ชอบตีเราว่าจะฟันถ้าไม่หยุดแกล้ง มันไม่หยุดก็โดนไปที่มือ โดนครุตีเลย ขนมโดนขโมยจึงไปค้นกระเป๋าหาหลักฐาน เจอของคนนึงไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าก็เลยแกะกิน และโดนรุมประณามไป ทั้งที่ตอนสมุดบันทึกเล่มสำคัญของรักของหวงของเราโดนขโมย รองเท้าหายบ่อย ไม่มีใครวิ่งเต้นซักคน เราโดนตีก่อน จึงเอาไม้ไล่ฟาดคืน ดันโดนคนอื่นมาฟาดหัว ครุปล่อยเลาร้องไห้คนเดียวไม่สนจะสอนหนังสือต่อ อื่นๆ
เหตุการณ์ทางบ้าน เราที่เริ่มสติแตก ผลการเรียนตก ตื่นยาก ตื่นสาย ไม่ยอมไปโรงเรียนเพราะไม่อยากเจอเรื่องไม่ดี ไม่ทำการบ้านเพราะอยากทำสิ่งที่ชอบมากกว่า จึงโดนบังคับปลุก บังคับทำการบ้านดึกๆ โดนไม้เรียวนิดหน่อย ถ้าถามว่าทำไมไม่ปรึกษาใคร ก็ต้องลองถามเด็กวัยเดียวกับเราคนอื่นที่เคยโดนแกล้งว่าทำไมไม่ยอมบอก เราก็ต้องยกตัวอย่างเช่นครุที่ไม่สน เด็กสับสนเกินกว่าจะอธิบาย ไม่รู้สึกว่ามีคนที่พึ่งได้ไว้ใจได้ อารมณ์ประมาณแบบ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครเป็นเซฟโซนได้เลย และก็ไม่รู้เหตุผลจริงๆ และเราก็ลืมไปแล้วว่าทำไมไม่ขอให้ใครช่วย เราว่าก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกับคนที่โดนแกล้งคนอื่นๆน่ะแหละ ถามให้ตายก็อธิบายไม่ได้ ยิ่งเป็นเด็กยิ่งแล้วใหญ่
ข้อดีของเราในวัยเรียนน่ะเหรอ เป็นเด็กกิจกรรมผู้ชอบวาดรูป ชอบอ่านหนังสือ แข่งแต่งกลอน กล่าวสุนทรพจน์ เป็นตัวแทนไปสอบอะไรซักอย่าง เป็นคนที่ชอบใช้จินตนาการแต่ไม่ถนัดคิดคำนวณ ความจำดี ไม่ถนัดทำผลงานเก็บคะแนน แต่ชอบสอบทีเดียวได้คะแนนดีมากกว่า ชอบภาษาเคยเรียนด้วยตัวเองและลองคุยกับชาวต่างชาติรึซิสเตอร์บ้างเป็นบางครั้ง แต่ไปได้ไม่สวยเพราะถูกมองแรงจนไม่กล้าคุยภาษาอังกฤษจนเสียความมั่นใจเลิกเรียนไปเอง จบการสาธยายอดีตอันไกลโพ้นวัยปฐม ขยับมาใกล้วัยมัธยมต้นและปลายอีกหน่อย หลังจากที่เราเป็นฝ่ายโดนรังแก หัดเอาคืนบ้างไม่รอด จบที่เกือบฆ่าตัวตายในวัย ป.6 เข้าสู่ช่วงชีวิตซังกะตาย เลือกทำแต่สิ่งที่ชอบ ไม่ไว้หน้าใคร กินข้าวคนเดียวอร่อยที่สุดเพราะไม่ต้องห่วงว่าตัวเองจะกินช้าจนใครรอรึเห็นพริกติดฟัน ไม่มีกลุ่มลูกเสือให้เข้า ก็แค่เนียนเดินต่อแถวนั้นนี้ ไม่ใส่ใจการเรียน เริ่มหลับในห้องเรียนเก่งขึ้น ครุก็ครุไม่มีสิทธิ์มาตัดผมฉัน แข่งวาดรูปกลุ่มแต่มีคนเดียวก็เฟี้ยวได้ กลายเป็นนักล่ารางวัล แม้จะร้องเพลงห่วยขนาดไหนขอแค่ได้ขึ้นเวที ทั้งที่กลัวเวที แต่คนมันรักการร้องเพลงให้ทำไง เลือกขึ้นเวทีบ่อยจนเป็นปมฝังใจทั้งที่แค่อยากเอาชนะความกลัวเวทีเท่านั้น แต่ไม่เคยเลย ชีวิตวัยปฐมสุดแย่ ชีวิตที่เริ่มไม่ใส่ใจใครช่วงวัยมัธยมต้น ชีวิตมัธยปลายที่ดูไม่หนักหนาเท่าไหร่เพราะว่าโตๆกันแล้ว
จนมาสู่เหตุการณ์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด คบกันมาเกือบสิบปี นางเลือกเพื่อนใหม่ทิ้งเพื่อนเก่าอย่างฉัน กลุ่มเพื่อนที่พึ่งเคยมีเป็นครั้งแรกกลายเป็นชนวนฝันร้ายที่เจ็บยิ่งกว่าโดนรังแกมาทั้งชีวิตวัยปฐมและมัธยม หลังจากนั้นเราก็ไม่ออกจากบ้านอีกเลย แต่ละวันเราเอาแต่ร้องไห้เหมือนผีเข้า เพราะขาดยารักษาอาการจิตเวชที่ตัดสินใจเลิกกินไปเพื่อตามเพื่อนรักไปลองใช้ชีวิตวัยเรียนครั้งสุดท้ายที่ีเหมือนจะเป็นตัวตัดสินอนาคต ( ปวส รึ ปริญญา นี่แหละ คล้ายกันมัง?5555) กลายเป็นว่าพอไปถึงที่ฝึกงานปุ๊บ เพื่อนแปลกหน้าคนใหม่ ที่พึ่งเข้ากลุ่มเพื่อนที่เราไม่เคยมีก็มีเรื่องกะเลา และได้รวมหัวกะเพื่อนเลา เฉดหัวเราออกจากห้องพักนักเรียนฝึกงาน ไล่เรากลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ไม่เคลียร์ ไม่น่าใช่เหตุผลด้วยซ้ำ เป็นเหตุการณ์บ้าอะไรนี่? แต่ก็ไม่เจ็บเท่าเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเรา ร่วมผสมโรงใส่ร้ายกุเรื่องมากล่าวหาเราเหมือนกับพยายามเอาใจเพื่อนใหม่ไม่ว่าจะต้องใช้เรื่องจริงรึไม่จริงก็ตาม เพื่อให้เรากลายเป็นคนโรคจิต ที่ต้องระวังระแวงตลอดเวลา กลุ่มเพื่อนที่พึ่งเคยมีก็กลายเป็นมารร้ายไปหมด นี่เราไม่เคยมีดวงเรื่องเพื่อนเลยสินะ ไม่เคยมีแต่แรกแล้วแน่ๆ
และเราก็กลับบ้านมาขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง แทบไม่กินข้าวกินน้ำ ร้องไห้เหมือนผีเข้าอยู่เป็นปี ครอบครัวก็มาแยกทางกันอีก กว่าจะกลับมาเป็นคนได้ ก็มีสภาพเป็นไม้เสียบผีแล้ว เป็นช่วงเวลาชีวิตที่ร่างกายเราผอมโซที่สุด สกปรกที่สุด และจิตใจพังมากที่สุด
มาจนทุกวันนี้เราก็อ้วนขึ้นเยอะแล้ว😂 เพราะว่าเอาแต่กินกับนอน มาตลอดเกือบห้าปีล่ะมั้ง ฝึกงานน่าจะอายุ19-20 มาปีนี้อายุ 24 จะ25 แล้ว เพื่อนในโลกออนไลน์เราก็ได้เห็นเขาเริ่มต้นและประสบความสำเร็จกันปีละคนสองคน
มีแต่เรายังไม่เริ่มต้นสักที เรียกได้ว่าเราเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆนานมากๆ
เรารู้สึกได้ว่า จากนี้ชีวิตของเราไม่ได้จะพังเพราะคนอื่นแล้ว แต่จะพังเพราะตัวเราเอง
และก็ต้องมาเสียใจทีหลังอีกแน่ๆ
ที่มาพิมพ์ไว้ซะยืดยาวนี่ คือไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ มีการตัดทอนเสริมแต่งให้ดูดีขึ้นบ้าง จะได้ไม่เหมือนหนังสือสารภาพบาปเกินไป😂 เป็นการระบายความในใจในระดับที่สบายใจมากกว่า
แล้วก็หัวข้อเรื่องนี้ ก็แค่เริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยการโยนความผิดให้คนอื่น แต่จบด้วยการรู้สึกได้ว่าเป็นความผิดของตัวเองซะงั้น เอาเป็นว่าไม่รับประกันนะ ว่าเจ้าของกระทู้นี้จะจบสวยรึเปล่า เพราะอยู่เฉยๆสบายๆขี้เกียจๆ ปล่อยตัวเองจนขนาดนี้แล้วนี่นา😁