สังคมชนชั้นกลาง/คนการศึกษาสูง ส่วนใหญ่เวลาหาคู่ เขาจะไม่ค่อยอินกับเรื่องทำงานช่วยกันเก็บช่วยกันสร้าง กันเหรอ

ถ้าเป็นตามหัวกระทู้อย่างนั้นจริงๆ
ก็แตกต่างสังคมคนการศึกษาน้อย รายได้ไม่สูง
พื้นเพฐานะธรรมดาบ้านๆ
ที่สองคนสามีภรรยา จะช่วยกันทำงาน เก็บเงินช่วยกัน
อยากจะมีรถยนต์ขับที ก็ช่วยกันส่งค่างวด
อยากจะปลูกบ้านสักหลัง ก็ช่วยกันเก็บไปเรื่อยๆ
อยู่ห้องพัก/บ้านเช่า ราคาถูกๆไปก่อน
อยากจะได้อะไร ก็ช่วยๆกันหา
ถ้ามีลูกก็ช่วยกันส่งเรียนแบบพื้นฐานทั่วไป
หลายครอบครัวใช้ชีวิตแบบสมถะ วัตถุนิยมไม่สูง มีปัจจัย 4 ครบ
รวยจน เราวัดที่
รายได้รวมสองคนผัวเมีย หักลบ ค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วเหลือเก็บทุกเดือน
เงินออมสัก 20-30% ของรายได้ในครัวเรือนแต่ละเดือน
แบบนี้เราก็มองว่าไม่ยากจนแล้ว

เราเห็นมาหลายกระทู้
ผู้หญิงที่การศึกษาสูง รายได้ดี
ชอบตั้งสเปคหาคู่ว่าผู้ชายเขาจะต้องมีทุกๆอย่างแล้ว
เช่น บ้าน/คอนโด/รถยนต์ ราคาหกหลัก
เงินเดือนต้องสูง หน้าที่การงานต้องดี ไปเที่ยวต่างประเทศได้ทุกปี เป็นต้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
เค้าเรียกว่าความรัก ไม่ค่อยเกี่ยวกับฐานะ คนรักกันจริงต้องช่วยกันไม่ทิ้งกัน

หากมองเรื่องเงิน สมบัติพัสถาน อันนี้ไม่ได้เรียกว่ารักกันจริง น่าจะออกแนวคนที่อยากแค่อยากสบายแค่นั้น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ใช่
เราเองไม่ได้โพรไฟล์ดีอะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่อินกับการกัดก้อนเกลือกิน ต้องมาเริ่มสร้าง เริ่มนั่นนี่นู่นเหมือนกัน เพราะมันไม่ได้ romanticize เลยค่ะ

ถ้าคนสองคน ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกัน
พึ่งเรียนจบใหม่ทั้งคู่ ถ้าคนสองคนตกหลุมรักกันขึ้นมา
คบหา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว
ถ้าอยากจะมีรถยนต์ใช้ร่วมกันสักคน คุณพร้อมจะช่วยกันส่งค่างวดไปด้วยกันไหม


้ถ้ายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เราไม่สุ่มเสี่ยงก่อหนี้ตอนนี้หรอกนะคะ เหนื่อยค่ะ
ไม่สุ่มเสี่ยงที่จะรีบอยู่ด้วยกันด้วยซ้ำ ระหว่างนั้นถ้าท้องขึ้นมาอีกล่ะ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแล้วจะทำยังไงหลังจากนั้น ?
ทำงานเก็บเงินให้พอมีเก็บก่อนแล้วอาจจะพิจารณาดูอีกที
ความคิดเห็นที่ 12
เห็นจขกท.ถามเกี่ยวกับกรณีจบใหม่ในคห.ย่อยอื่นๆ ผมเลยมาแชร์ให้ฟังครับ

ผมรายได้40,000 ถ้าสมมุติผมยังโสด ผมก็จะคัดกรองเลือกจีบแต่สาวที่มีการงานใกล้เคียงกัน อย่างน้องๆที่ออฟฟิศอายุ25-27 ก็ได้กัน25,000-30,000แล้ว เช่นนั้นหาจีบเอาแถวออฟฟิศก็ได้

แต่ที่กล่าวมาข้างต้นมันคือกรณีหากผมโสดไง ปัจจุบันผมมีแฟนที่คบตั้งแต่สมัยเรียน(คบมา10กว่าปีได้) เขาเจอพิษCovidทำให้ต้องกลับไปรับเงิน18,000  สินสอดผมเก็บคนเดียว  คอนโดผมผ่อนคนเดียว  ผม Support เต็มที่ เพราะสมัยที่ผมจบใหม่ ยังเป็นธุรการต๊อกต๋อยรับ10,000เขายังอยู่กับผม

เราแสดงให้เห็นแล้วว่าเราสู้มาด้วยกัน ผมจึงยอมเป็น The แบกให้ได้ แต่หากผมกลับไปโสดแล้วต้องเลือกจีบสาว ผมจะไม่ยอมเป็น The แบกครับ ต้องมีการงานใกล้เคียงกันก่อนเท่านั้นเลยในเบื้องต้น
ความคิดเห็นที่ 9
ไม่อ่ะ​ ต่างคนต่างทำงานมีรายรับเหลือใช้​
เลยไม่จำเป็น​ ต้องสร้างตัวอะไร
มาเจอกัน​ก็มาช่วยกันสร้างให้มากขึ้นไปอีก
ต่อยอด​

ความคิด​ ต่อความคิด
เงิน​ ต่อเงิน
คอนเนคชั่น​ ต่อคอนเนคชั่น

เรา​ ผช​ รายได้​หลักแสน
เราก็ไม่ได้มองหาภาระ​
เราก็หา​ ผญ  ที่รายได้หลักแสนเหมือนกัน

ผญ​ ที่ผมรู้จัก​ รายได้หลักล้าน
เขาก็อยากได้คนรายได้หลักล้านเหมือนกัน

ถ้าไม่มีอะไรมาเหมือนกัน​
ช่วยกันสร้างก็เหมาะสมกันดี

ส่วนพวกอยากตกถังข้าวสาร
ก็มีทุกยุคแหละครับ
ส่วนสายเปย์​ ก็มีจริง
แต่มันไม่สวยเหมือนในนิยายหรอกนะ

ถ้าคนเรียนการเมืองการปกครอง
ดูอำนาจการต่อรอง​แล้วมันเป็นการต่อรองแบบ​
อสมมาตร​
ความคิดเห็นที่ 2
เอาง่ายๆ คนอยากก้าวหน้า
ถ้าเรามีเงิน แต่ไปคบคนมีหนี้
มันก็ถ่วงชีวิตไง
ความคิดเห็นที่ 10
ตั้งโจทย์ผิด ชีวิตก็ไปอีกทาง

“ถ้าคนสองคน ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกัน
พึ่งเรียนจบใหม่ทั้งคู่ ถ้าคนสองคนตกหลุมรักกันขึ้นมา
คบหา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว
ถ้าอยากจะมีรถยนต์ใช้ร่วมกันสักคน คุณพร้อมจะช่วยกันส่งค่างวดไปด้วยกันไหม”

คือ อ่านแล้วคิดว่าเป็นคำถามที่ไม่น่าถามตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผมพึ่งจบใหม่มา แถมไม่มีอะไรเลย ถ้ามีแฟนก็คงต่างคนต่างอยู่ไปก่อน รอเก็บเงินจนสถาณการ์ณดีขึ้นค่อยขยับขยาย ส่วนเรื่องรถถ้าจบใหม่จริงก็ใช้รถสาธารณะไม่ก็พยามหาเช่าที่อยู่ให้ใกล้ที่ทำงาน ถ้าต้องทำอะไรที่ทำให้อีกคนเดือดร้อน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ยกเว้นคุณตกลงกันเองได้ว่าจะช่วยกันจ่าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่