เนื่องจากว่า สนิทกันมากพอ ที่จะรู้ว่าแต่ละปีเขาคนนั้น เติบโตในหน้าที่การงานอย่างไรบ้าง เงินเดือนขึ้นปีละกี่เปอร์เซนต์ ได้โบนัสกี่เดือน
ตัวเขากว่าจะได้รายได้เท่านี้ แต่ละวันเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน ทำงาน และทำงาน ส่วนผมตรงกันความ มีเวลาว่างพอตัวที่จะมานั่งพิมพ์เรื่องของเขาให้อ่านกัน
ก่อนที่จะเริ่ม ต้องบอกก่อนว่า ลุ้นพอสมควรเลยว่าปีนี้รายได้เบ็ดเสร็จของเค้าจะถึงไหม เพราะถ้าไม่ถึงก็คงต้องรออีกหนึ่งปีเต็ม ๆ เลย จึงจะเกิดเรื่องเล่านี้ขึ้นมา แต่สุดท้ายพอแจ้งว่ายังได้โบนัสเท่าปี่ก่อน ๆ ไม่ได้ลดลง ก็ผ่านสองล้านแบบสบาย ๆ
ในมุมมองของผม นี่คือ 10 ข้อ ที่หวังว่าจะมีอย่างน้อย 2-3 ข้อที่ช่วยให้คนที่กำลังศึกษาระดับมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานให้ได้นำไปใช้ และทำให้ตัวเองมีรายได้ที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ทั้งตัวเอง และครอบครัว
ข้อ 1. ตั้งใจเรียน
เขาเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่ค่อนข้างเก่ง ได้เป็นตัวแทนโรงเรียน ไปแข่งขันตอบปัญหาในสมัยที่เรียนมัธยมและสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง ในสาขาวิศกรรม ด้วยโค้วตาช้างเผือก
ข้อ 2. เลือกเรียนในสาขาที่เป็นต้องการของตลาด
เขาเข้าเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ตามกระแสเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่มาแรงในยุคนั้น แต่พอเข้าเรียนแล้ว เลือกเรียนและจบในสาขาวิศวกรรมโทรคมนาคม ซึ่งเป็นอีกสายงานที่บูมมาก ๆ ในยุค 10-20 ปีก่อน เพราะมีงานที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับ Fiber Optic การออกแบบ Cell Site สัญญาณโทรศัพท์ หรือดาวเทียมเป็นต้น
ข้อ 3. ความสำคัญของเกรดในระดับมหาวิทยาลัย
เขาเรียนจบปริญญาตรี ด้วยเกรด 3 ต้น ๆ ซึ่งก็เพียงพอ ที่จะผ่านเกณฑ์ในการรับสมัครงานของหลาย ๆ บริษัท ที่อาจจะระบุว่าพิจารณาเฉพาะเกรด 2.75 หรือเกรด 3 ขึ้นไป
การที่เค้าจบด้วยเกรด 3 กว่า ทำให้เค้ามีโอกาสในการเลือกบริษัทที่จะสมัครงานมากมาย
ข้อ 4. ภาษาอังกฤษ เรื่องที่ปล่อยผ่านไม่ได้
ในระหว่างเรียนปริญญาตรี มหาวิทยาลัยที่เรียนมีการเรียนภาษาอังกฤษแค่ 1 คลาส เค้าได้เกรด C เค้ายังไม่ค่อยสนใจเรื่องภาษาอังกฤษมากนัก เพราะยังไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อการทำงาน พอมาสมัครงานเค้าได้รูจักเรื่องการสอบ TOEIC และต้องใช้เกณฑ์อย่าง TOEIC ประกอบการสมัครงาน ในการสอบ TOEIC ครั้งแรก ทำได้เพียง 400 กว่าคะแนน ซึ่งไม่เพียงพอแต่การเป็นพนักงาน แต่ด้วยคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เป็นที่ต้องการของบริษัท ทางบริษัทจึงรับเข้าทำงานก่อน แต่มีเงื่อนไขกว่า จะผ่านโปรได้ก็ต่อเมื่อคะแนน TOEIC ถึงตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด
ดังนั้นเพื่อให้ ผ่านโปร และได้เป็นพนักงานอย่างสมบูรณ์ หลังเลิกงานเค้าจึงไปลงเรียนพิเศษ เพื่อเพิ่มคะแนน TOEIC โดยเฉพาะ และไปทดสอบเป็นระยะ ๆ จน อาศัยความขยัน ความถึก ความถี่ ในที่สุดก็ผ่านเกณฑ์ และได้เป็นพนักงานอย่างสมบูรณ์
โชคดีที่งานที่ทำ มีโอกาสได้ติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติและเค้าก็ยังต้องพัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ ดังนั้น ในการปรับระดับขั้นต่อ ๆ ไป ที่มีเกณฑ์คะแนน TOEIC ที่สูงขึ้นตามตำแหน่ง เค้าก็สามารถผ่านเกณฑ์ได้ในแต่ละระดับได้
ข้อ 5. เลือกบริษัทที่จะเข้าทำงาน
เมื่อเลือกเรียนในสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาดและจบปริญญาตรีในเกรดที่ดี โอกาสในการเลือกที่จะทำงานกับบริษัทไหน เค้าก็เป็นผู้เลือก มากกว่าที่จะเป็นผู้ถูกเลือก เค้าหาข้อมูลบริษัทอยู่พอสมควร ว่าควรจะยื่นไปสมัครที่ไหนบ้าง โดยหนึ่ง Criteria ที่เลือกสมัครคือเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการต่าง ๆ จะต้องอยู่ในระดับที่ดีระดับนึง
ข้อ 6. กล้าพูด กล้าถาม ในวัยเริ่มต้น
หลังจากผ่านสัมภาษณ์ ได้รับโอกาสให้เข้าทำงานแล้ว เขาเป็นคนที่กล้าซัก กล้าถาม และเมื่อสงสัย ก็ไม่ลังเลที่จะถามเพื่อให้รู้ เพื่อให้เข้าใจ ซึ่งในวัยที่เริ่มต้นทำงาน ก็จะได้รับการเอ็นดูเป็นพิเศษ ทุกคนพร้อมที่จะช่วยสอน ช่วยอธิบาย พอถามเยอะ รู้เยอะ พื้นฐาน ความรู้ Process งานต่าง ๆ ก็แน่นขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาวก็ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นในวัยเริ่มต้น พยายามเรียนรู้ให้เยอะ ๆ เพราะเวลาอายุเยอะ แล้วนู่นก็ไม่รู้ นี่ก็ไม่รู้ พอจะไปถามคนอื่น ก็อาจจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้
ข้อ 7. บริษัทที่เจ้าของไม่ใช่เจ้าของ
เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตุจากมุมมองเฉพาะตัว เพราะเชื่อว่า สำหรับบริษัทที่มีเจ้าของเป็นผุ้บริหารเวลามีกำไรเยอะ ๆ แล้วจะยินดีให้ผลตอบแทนกับพนักงานเยอะ ๆ ด้วยนั้นคงมีไม่มากนัก ดังนั้นการที่อยู่ในบริษัทที่ผู้บริหารระดับสูง ก็เป็นลูกจ้างคนนึง เวลาขอสวัสดิการ โบนัสประจำปี บริษัทแบบนี้พนักงานทั่ว ๆ ไป จะได้ผลประโยชน์มากกว่า เพราะการนำเสนอผลงานปลายปี เพื่อขอสิ่งต่าง ๆ ผู้บริหารจะทำอย่างสุดความสามารถ เพราะสิ่งที่ได้รับอนุมัติมาเค้าจะได้รับด้วย เป็นการทำเพื่อตัวเองและเพื่อพนักงานไปพร้อม ๆ กัน
ข้อ 8. OT ไม่ใช่ โอฟรี
ช่วงหลัง ไม่ค่อยได้ยินคำนี้เท่าไหร่นัก แต่การที่จะมีรายได้ต่อปีสูง OT และโบนัสก็คือตัวแปรสำคัญ ในการสมัครงานนอกจากจะดูสวัสดิการอื่น ๆ แล้ว ก็ควรตรวจสอบว่า การตอบแทนการทำงานนอกเหนือเวลางานนั้นเป็นอย่างไร เป็นโอฟรี หรือดีหน่อยคือพาไปเลี้ยงข้าวตอบแทนที่อุตสาห์ทำงานหนัก ทำงานนอกเวลาให้ หรือจ่ายให้อย่างคุ้มคุ้มกับเวลาที่อุตส่าห์ทุ่มเททำงานให้เช่นกัน
ข้อ 9. บริษัทที่ทำธุริกิจกับต่างชาติ
บริษัทที่ทำธุรกิจกับคนไทยที่ให้สวัสดิการ เงินเดือน โบนัสดี แต่ก็อาจไม่เยอะเท่ากับบริษัทที่ทำกับต่างชาติ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เค้าได้รายได้ค่อนข้างดี เพราะบริษัทที่เค้าทำมีการติดต่อและร่วมงานกับบริษัทต่างชาติด้วย
หรือถ้าเค้ามีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี ได้ทำงานในบริษัทข้ามชาติโดยตรง เชื่อว่าเค้าก็อาจจะได้รายได้ที่สูงกว่านี้ขึ้นไปอีก
ข้อ 10. เรียนรู้เร็ว พร้อมปรับตัว
ในโลกยุคที่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเร็วขณะนี้ การจะอยู่ในบริษัทใด บริษัทหนึ่งได้ยาว ๆ คือจะต้องมีทักษะในการเรียนรู้ การปรับตัวที่เค้าเรียกกันว่า Re Skill ด้วย เพราะถ้าไม่สามารถปรับตัวได้ ยึดติดกับความรู้เดิม ๆ การทำงานเดิม ๆ โชคดีหน่อยก็อาจจะไม่เติบโตหรือถ้าโชคร้าย ก็ต้องหาที่ทำงานใหม่
เค้าจบด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมก็จริง แต่งานที่เค้าได้รับมอบหมาย ค่อนข้างจับช่าย เกี่ยวข้องทั้งงาน Telecom ที่เรียน และงานสาขาใกล้เคียงคือ Computer Network ซึ่งเค้าก็พร้อมพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ทำงานออกมาได้ และในยุคที่ Cyber Security มาแรง มีการ Hack กันมากมาย เมื่อเค้าได้รับมอบหมายให้มาทำด้านนี้ ก็ปรับตัว เรียนรู้และทำได้ดีเช่นกัน
วันนี้การหาเงินมีความหลากหลาย และง่ายกว่ายุคเก่ามาก และหลาย ๆ คนที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน มีกิจการเป็นของตนเอง ไปเป็นนักกีฬาอาชีพ ไปเป็น Chef ทำอาหาร เป็น Youtuber เป็นนักดนตรีก็มีรายได้เกินเขาคนนี้ไปมาก ดังนั้นการที่เขาคนนี้ ทำงานที่เดิมที่เดียวตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมา 15 ปี มีรายได้ต่อปีประมาณนี้ ก็ไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งโดนภาษีหักไปเต็ม ๆ ทุก ๆ สิ้นเดือน เพราะเป็นพนังานกินเงินเดือน ยิ่งเหลือเก็บน้อยลงไปอีก
แต่ที่ผ่านมา ไม่ค่อยจะมีคนแชร์เรื่องเหล่านี้มากนัก ด้วยหลาย ๆ สาเหตุ เช่นเงินเดือนคือความลับ ที่ห้ามให้เพื่อนร่วมงานรู้ หรือแต่ละคนก็วุ่นและเหนื่อยมากกับงานที่ทำอยู่แล้ว เลิกงานก็แค่อยากนั่งโง่ ๆ เสาร์ อาทิตย์ขอนอนเต็ม ๆ จึงไม่มีเวลาเหลือมาเขียนให้อ่าน ก็เลยถือโอกาสเป็นตัวแทน เอาเรื่องของเค้ามาแชร์ในมุมมองของผม
ก็หวังว่าเค้าจะอยู่เก็บเงินได้ถึงในระดับที่ Early Retire ได้ซัก 40 ปลาย ๆ หรือ 50 ปีต้น ๆ จะได้มีเวลาออกไปดูโลกบ้าง ไปเที่ยวแบบไม่ต้องพกคอมติดตัวไปด้วย ไปเที่ยวแบบไม่ต้องคอยกังวล ต้องคอยเช็คโทรศัพท์ทุกชั่วโมงว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ต้องกลับไปแก้ไขเร่งด่วนไหม
และก็หวังว่าผู้อ่านที่ทนอ่านจนจบ จะได้ประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
เรื่องของเขา กับมุมมองของฉัน เขาผู้ซึ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนรายได้ทั้งปีสองล้านบาทในอายุ 38 ปี
ตัวเขากว่าจะได้รายได้เท่านี้ แต่ละวันเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน ทำงาน และทำงาน ส่วนผมตรงกันความ มีเวลาว่างพอตัวที่จะมานั่งพิมพ์เรื่องของเขาให้อ่านกัน
ก่อนที่จะเริ่ม ต้องบอกก่อนว่า ลุ้นพอสมควรเลยว่าปีนี้รายได้เบ็ดเสร็จของเค้าจะถึงไหม เพราะถ้าไม่ถึงก็คงต้องรออีกหนึ่งปีเต็ม ๆ เลย จึงจะเกิดเรื่องเล่านี้ขึ้นมา แต่สุดท้ายพอแจ้งว่ายังได้โบนัสเท่าปี่ก่อน ๆ ไม่ได้ลดลง ก็ผ่านสองล้านแบบสบาย ๆ
ในมุมมองของผม นี่คือ 10 ข้อ ที่หวังว่าจะมีอย่างน้อย 2-3 ข้อที่ช่วยให้คนที่กำลังศึกษาระดับมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานให้ได้นำไปใช้ และทำให้ตัวเองมีรายได้ที่ดี ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ทั้งตัวเอง และครอบครัว
ข้อ 1. ตั้งใจเรียน
เขาเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่ค่อนข้างเก่ง ได้เป็นตัวแทนโรงเรียน ไปแข่งขันตอบปัญหาในสมัยที่เรียนมัธยมและสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง ในสาขาวิศกรรม ด้วยโค้วตาช้างเผือก
ข้อ 2. เลือกเรียนในสาขาที่เป็นต้องการของตลาด
เขาเข้าเรียนในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ตามกระแสเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่มาแรงในยุคนั้น แต่พอเข้าเรียนแล้ว เลือกเรียนและจบในสาขาวิศวกรรมโทรคมนาคม ซึ่งเป็นอีกสายงานที่บูมมาก ๆ ในยุค 10-20 ปีก่อน เพราะมีงานที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับ Fiber Optic การออกแบบ Cell Site สัญญาณโทรศัพท์ หรือดาวเทียมเป็นต้น
ข้อ 3. ความสำคัญของเกรดในระดับมหาวิทยาลัย
เขาเรียนจบปริญญาตรี ด้วยเกรด 3 ต้น ๆ ซึ่งก็เพียงพอ ที่จะผ่านเกณฑ์ในการรับสมัครงานของหลาย ๆ บริษัท ที่อาจจะระบุว่าพิจารณาเฉพาะเกรด 2.75 หรือเกรด 3 ขึ้นไป
การที่เค้าจบด้วยเกรด 3 กว่า ทำให้เค้ามีโอกาสในการเลือกบริษัทที่จะสมัครงานมากมาย
ข้อ 4. ภาษาอังกฤษ เรื่องที่ปล่อยผ่านไม่ได้
ในระหว่างเรียนปริญญาตรี มหาวิทยาลัยที่เรียนมีการเรียนภาษาอังกฤษแค่ 1 คลาส เค้าได้เกรด C เค้ายังไม่ค่อยสนใจเรื่องภาษาอังกฤษมากนัก เพราะยังไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อการทำงาน พอมาสมัครงานเค้าได้รูจักเรื่องการสอบ TOEIC และต้องใช้เกณฑ์อย่าง TOEIC ประกอบการสมัครงาน ในการสอบ TOEIC ครั้งแรก ทำได้เพียง 400 กว่าคะแนน ซึ่งไม่เพียงพอแต่การเป็นพนักงาน แต่ด้วยคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เป็นที่ต้องการของบริษัท ทางบริษัทจึงรับเข้าทำงานก่อน แต่มีเงื่อนไขกว่า จะผ่านโปรได้ก็ต่อเมื่อคะแนน TOEIC ถึงตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด
ดังนั้นเพื่อให้ ผ่านโปร และได้เป็นพนักงานอย่างสมบูรณ์ หลังเลิกงานเค้าจึงไปลงเรียนพิเศษ เพื่อเพิ่มคะแนน TOEIC โดยเฉพาะ และไปทดสอบเป็นระยะ ๆ จน อาศัยความขยัน ความถึก ความถี่ ในที่สุดก็ผ่านเกณฑ์ และได้เป็นพนักงานอย่างสมบูรณ์
โชคดีที่งานที่ทำ มีโอกาสได้ติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติและเค้าก็ยังต้องพัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ ดังนั้น ในการปรับระดับขั้นต่อ ๆ ไป ที่มีเกณฑ์คะแนน TOEIC ที่สูงขึ้นตามตำแหน่ง เค้าก็สามารถผ่านเกณฑ์ได้ในแต่ละระดับได้
ข้อ 5. เลือกบริษัทที่จะเข้าทำงาน
เมื่อเลือกเรียนในสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาดและจบปริญญาตรีในเกรดที่ดี โอกาสในการเลือกที่จะทำงานกับบริษัทไหน เค้าก็เป็นผู้เลือก มากกว่าที่จะเป็นผู้ถูกเลือก เค้าหาข้อมูลบริษัทอยู่พอสมควร ว่าควรจะยื่นไปสมัครที่ไหนบ้าง โดยหนึ่ง Criteria ที่เลือกสมัครคือเงินเดือน โบนัส และสวัสดิการต่าง ๆ จะต้องอยู่ในระดับที่ดีระดับนึง
ข้อ 6. กล้าพูด กล้าถาม ในวัยเริ่มต้น
หลังจากผ่านสัมภาษณ์ ได้รับโอกาสให้เข้าทำงานแล้ว เขาเป็นคนที่กล้าซัก กล้าถาม และเมื่อสงสัย ก็ไม่ลังเลที่จะถามเพื่อให้รู้ เพื่อให้เข้าใจ ซึ่งในวัยที่เริ่มต้นทำงาน ก็จะได้รับการเอ็นดูเป็นพิเศษ ทุกคนพร้อมที่จะช่วยสอน ช่วยอธิบาย พอถามเยอะ รู้เยอะ พื้นฐาน ความรู้ Process งานต่าง ๆ ก็แน่นขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาวก็ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นในวัยเริ่มต้น พยายามเรียนรู้ให้เยอะ ๆ เพราะเวลาอายุเยอะ แล้วนู่นก็ไม่รู้ นี่ก็ไม่รู้ พอจะไปถามคนอื่น ก็อาจจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้
ข้อ 7. บริษัทที่เจ้าของไม่ใช่เจ้าของ
เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตุจากมุมมองเฉพาะตัว เพราะเชื่อว่า สำหรับบริษัทที่มีเจ้าของเป็นผุ้บริหารเวลามีกำไรเยอะ ๆ แล้วจะยินดีให้ผลตอบแทนกับพนักงานเยอะ ๆ ด้วยนั้นคงมีไม่มากนัก ดังนั้นการที่อยู่ในบริษัทที่ผู้บริหารระดับสูง ก็เป็นลูกจ้างคนนึง เวลาขอสวัสดิการ โบนัสประจำปี บริษัทแบบนี้พนักงานทั่ว ๆ ไป จะได้ผลประโยชน์มากกว่า เพราะการนำเสนอผลงานปลายปี เพื่อขอสิ่งต่าง ๆ ผู้บริหารจะทำอย่างสุดความสามารถ เพราะสิ่งที่ได้รับอนุมัติมาเค้าจะได้รับด้วย เป็นการทำเพื่อตัวเองและเพื่อพนักงานไปพร้อม ๆ กัน
ข้อ 8. OT ไม่ใช่ โอฟรี
ช่วงหลัง ไม่ค่อยได้ยินคำนี้เท่าไหร่นัก แต่การที่จะมีรายได้ต่อปีสูง OT และโบนัสก็คือตัวแปรสำคัญ ในการสมัครงานนอกจากจะดูสวัสดิการอื่น ๆ แล้ว ก็ควรตรวจสอบว่า การตอบแทนการทำงานนอกเหนือเวลางานนั้นเป็นอย่างไร เป็นโอฟรี หรือดีหน่อยคือพาไปเลี้ยงข้าวตอบแทนที่อุตสาห์ทำงานหนัก ทำงานนอกเวลาให้ หรือจ่ายให้อย่างคุ้มคุ้มกับเวลาที่อุตส่าห์ทุ่มเททำงานให้เช่นกัน
ข้อ 9. บริษัทที่ทำธุริกิจกับต่างชาติ
บริษัทที่ทำธุรกิจกับคนไทยที่ให้สวัสดิการ เงินเดือน โบนัสดี แต่ก็อาจไม่เยอะเท่ากับบริษัทที่ทำกับต่างชาติ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เค้าได้รายได้ค่อนข้างดี เพราะบริษัทที่เค้าทำมีการติดต่อและร่วมงานกับบริษัทต่างชาติด้วย
หรือถ้าเค้ามีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี ได้ทำงานในบริษัทข้ามชาติโดยตรง เชื่อว่าเค้าก็อาจจะได้รายได้ที่สูงกว่านี้ขึ้นไปอีก
ข้อ 10. เรียนรู้เร็ว พร้อมปรับตัว
ในโลกยุคที่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเร็วขณะนี้ การจะอยู่ในบริษัทใด บริษัทหนึ่งได้ยาว ๆ คือจะต้องมีทักษะในการเรียนรู้ การปรับตัวที่เค้าเรียกกันว่า Re Skill ด้วย เพราะถ้าไม่สามารถปรับตัวได้ ยึดติดกับความรู้เดิม ๆ การทำงานเดิม ๆ โชคดีหน่อยก็อาจจะไม่เติบโตหรือถ้าโชคร้าย ก็ต้องหาที่ทำงานใหม่
เค้าจบด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมก็จริง แต่งานที่เค้าได้รับมอบหมาย ค่อนข้างจับช่าย เกี่ยวข้องทั้งงาน Telecom ที่เรียน และงานสาขาใกล้เคียงคือ Computer Network ซึ่งเค้าก็พร้อมพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ทำงานออกมาได้ และในยุคที่ Cyber Security มาแรง มีการ Hack กันมากมาย เมื่อเค้าได้รับมอบหมายให้มาทำด้านนี้ ก็ปรับตัว เรียนรู้และทำได้ดีเช่นกัน
วันนี้การหาเงินมีความหลากหลาย และง่ายกว่ายุคเก่ามาก และหลาย ๆ คนที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน มีกิจการเป็นของตนเอง ไปเป็นนักกีฬาอาชีพ ไปเป็น Chef ทำอาหาร เป็น Youtuber เป็นนักดนตรีก็มีรายได้เกินเขาคนนี้ไปมาก ดังนั้นการที่เขาคนนี้ ทำงานที่เดิมที่เดียวตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมา 15 ปี มีรายได้ต่อปีประมาณนี้ ก็ไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งโดนภาษีหักไปเต็ม ๆ ทุก ๆ สิ้นเดือน เพราะเป็นพนังานกินเงินเดือน ยิ่งเหลือเก็บน้อยลงไปอีก
แต่ที่ผ่านมา ไม่ค่อยจะมีคนแชร์เรื่องเหล่านี้มากนัก ด้วยหลาย ๆ สาเหตุ เช่นเงินเดือนคือความลับ ที่ห้ามให้เพื่อนร่วมงานรู้ หรือแต่ละคนก็วุ่นและเหนื่อยมากกับงานที่ทำอยู่แล้ว เลิกงานก็แค่อยากนั่งโง่ ๆ เสาร์ อาทิตย์ขอนอนเต็ม ๆ จึงไม่มีเวลาเหลือมาเขียนให้อ่าน ก็เลยถือโอกาสเป็นตัวแทน เอาเรื่องของเค้ามาแชร์ในมุมมองของผม
ก็หวังว่าเค้าจะอยู่เก็บเงินได้ถึงในระดับที่ Early Retire ได้ซัก 40 ปลาย ๆ หรือ 50 ปีต้น ๆ จะได้มีเวลาออกไปดูโลกบ้าง ไปเที่ยวแบบไม่ต้องพกคอมติดตัวไปด้วย ไปเที่ยวแบบไม่ต้องคอยกังวล ต้องคอยเช็คโทรศัพท์ทุกชั่วโมงว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ต้องกลับไปแก้ไขเร่งด่วนไหม
และก็หวังว่าผู้อ่านที่ทนอ่านจนจบ จะได้ประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ