ศิริกัญญา แย้มถก กมธ.งบ รอลงมติร่วมให้ รบ.หั่นงบหรือไม่ จ่อดึงผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4363673
‘ศิริกัญญา’ เผยประชุม กมธ.งบฯ นัดแรก รอลงมติร่วมว่าจะเน้นถกให้ รบ.หั่นงบลงหรือไม่ เหตุจัดงบไม่เพียงพอหลายหน่วยงาน ระบุพร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญงบร่วมด้วย หวังช่วยตรวจสอบการเงินแต่ละหน่วยงานของรัฐ
เมื่อวันที่ 7 มกราคม น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีแนวทางการทำงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบการใช้งบประมาณว่าจะเป็นอย่างไรบ้างว่า การประชุมในวันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) เราจะต้องมีมติร่วมกันว่าแนวทางการศึกษางบปีนี้จะเน้นไปที่การตัดลดงบประมาณหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจัดงบไม่เพียงพอในหลายรายการ ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้งบกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดการตัดลดงบประมาณไป แล้วสุดท้ายถูกแปรเป็นงบกลางเหมือนที่ผ่านมา หรือหากไม่เน้นเรื่องการตัดงบประมาณก็จะเป็นแนวทางการให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำงบประมาณในปี 2568 แทน
เมื่อถามว่า จะเน้นศึกษาไปที่หน่วยงาน หรือกระทรวงใดเป็นพิเศษหรือไม่ น.ส.
ศิริกัญญากล่าวว่า ถ้าดูรายชื่อคณะ กมธ.ของพรรค ก.ก.จะเป็นบุคลากรที่ได้อภิปรายในวาระหนึ่งทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคนมาพร้อมกับโจทย์สำคัญๆ ที่ต้องพูดคุยกับหน่วยงานอยู่แล้ว ทั้งการจัดงบที่มากเกินและน้อยเกินไปในแต่ละรายการ ซึ่งก็ตามที่เราได้วางบุคลากรไว้ว่าเราจะเน้นในเรื่องใดบ้าง นอกจากนี้เราจะมีกรรมาธิการที่เป็นบุคลากรภายนอก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงบเข้ามาร่วมด้วย เพื่อช่วยดูในเรื่องงบการเงินในแต่ละหน่วยงานของรัฐ เพราะที่ผ่านมาเราเห็นว่ามีปัญหาค่อนข้างมาก จึงเห็นว่าหากเรามีบุคลากรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงเข้ามาตรวจสอบและวิเคราะห์ในเรื่องงบการเงินของหน่วยงานรัฐก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม ซึ่งก็จะเป็นไปตามสัดส่วนต่างๆ ที่เราพยายามแบ่งว่าจะมีทั้งรายประเด็น รายกระทรวง และแนวทางการปฏิรูประบบงบประมาณทั้งระบบด้วย
บิ๊กสหพัฒน์ ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหนุนศก.ปี’67 ค้าปลีกอีสานโอด กำลังซื้อดิ่งหนัก คาดลากยาวถึงสงกรานต์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4363911
บิ๊กสหพัฒน์ ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหนุนศก.ปี’67 ค้าปลีกอีสานโอด กำลังซื้อดิ่งหนัก คาดลากยาวถึงสงกรานต์
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นาย
ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้มองว่ายังไม่เห็นปัจจัยบวกทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ดีขึ้นหรือแย่ไปมากกว่าปี 2566 เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ยังเหมือนกับช่วงปีก่อนหน้า คงต้องรอดูภาพรวมอีกครั้งหลังผ่านไป 3 เดือนแรกของปีไปแล้ว เพราะตอนนี้ภาคธุรกิจคงยังอยู่ในช่วงปรับตัวหรือเวทแอนด์ซีรอดูสถานการณ์ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
“
ถามว่าเกิดภาวะเงินฝืดหรือยัง จริงๆปัจจุบันเริ่มมีภาวะเงินฝืดบ้างแล้ว ดูจากกำลังซื้อที่ยังไม่ค่อยดี แต่ภาครัฐบาลพยายามออกมาตรการกระตุ้น เช่น อีซี่ อีรี-ซีท ลดภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายได้แค่ระยะสั้น ส่วนเรื่องงบประมาณที่ผานการอนุมัตินั้น คงส่งผลสองทาง คือ กระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นทางด้านจิตวิทยาให้คนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ต้องรอดูผลกันต่อไป” นายธรรมรัตน์กล่าว
นาย
ธรรมรัตน์กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของไอ.ซี.ซี.ในปี 2566 ที่ผ่านมา ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 กำลังซื้อไม่คึกคักมากอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากคนนำเงินไปซื้อสินค้าอย่างอื่นมากกว่าเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์
แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกค้าส่งจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า แนวโน้มกำลังซื้อโดยรวมของปี 2567 น่าจะซบเซายาวถึงเทศกาลสงกรานต์ ถ้ารัฐบาลไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก ดูจากยอดขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2566 ยอดขายไม่คึกคัก ซึ่งยอดขายของวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เทียบกับวันที่ 31 ธันวาคม 2565 หากเป็นช่วงปกติจะเป็นวันที่มียอดขายสูงสุด แต่ปรากฎว่ายอดขายตกลงร่วม 20% เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี คนซื้อของน้อยลง ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าที่เป็นของกินของใช้ ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟื่อยและเครื่องสำอางค์ยอดขายยังซบเซาต่อเนื่อง
“
ทางร้านได้เข้ามาตรการอีซี่อีรี-ซีทด้วย เตรียมจะทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้า 20-30% ตั้งแต่วันที่ 11-31 มกราคม นี้ รองรับกับมาตรการดังกล่าว ซึ่งไม่ได้คาดหวังว่าจะมียอดขายมาก เพราะเป็นร้านค้าในต่างจังหวัด และกำลังซื้อหรือรายได้ของลูกค้าจะต่างจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ที่ผ่านมาลูกค้ามีสอบถามว่าเข้ามาตรการอีซี่ อีรี-ซีทหรือไม่ แต่ยังไม่มียอดขายเกิดขึ้นแต่อย่างใด และเพื่อให้เกิดการกระตุ้นยอดขาย จะมีจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมถี่ขึ้นคาดว่าจะมีจัดถึง 8 ครั้ง โดยร้านจะจัดเอง 4 ครั้ง และร่วมกับค้าปลีกภูธรจัดแคมเปญ Local Low Cost อีก 4 ครั้ง” แหล่งข่าวกล่าว
นาย
วสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะทรงตัว จากปี 2566 ถ้าจะให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่านี้ ภาครัฐบาลจะต้องมีมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมากระตุ้นเพิ่มเติม นอกจากมาตรการอีซี่ อีรี-ซีท ซึ่งจะช่วยได้แค่ระยะสั้น ส่วนมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือ 1% และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จะช่วยเรื่องจิตวิทยาต่อการตัดสินใจของคนซื้อบ้าน จากที่ชะลออาจจะตัดสินใจเร็วขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ แต่ถ้าไม่มีมาตรการอะไรออกมา ตลาดโดยรวมคงจะแย่ไปมากกว่านี้
“
การที่คนเริ่มชะลอหรือระมัดระวังการใช้เงิน น่าจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเงินฝืดเกิดจากคนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ทำให้ไม่กล้าใช้เงิน การจะแก้ปัญหาภาวะเงินฝืด รัฐต้องทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและมีมาตรการออกมากระตุ้นให้คนใช้เงิน ซึ่งมาตรการอีซี่อีรี-ซีท ถือเป็นมาตรการหนึ่ง ” นาย
วสันต์กล่าว
อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม แบงก์เมินปล่อยกู้ หวังธปท.ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ ช่วยคนซื้อบ้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4363851
อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม แบงก์เมินปล่อยกู้ หวังธปท.ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ ช่วยคนซื้อบ้าน
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นาย
พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังทรงตัว เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังแย่ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับต่ำ 3 ล้านบาท ที่แบงก์ไม่ปล่อยกู้ค่อนข้างสูง และในปีนี้แบงก์จะเข้มงวดมากยิ่งขึ้นกับตลาดกลุ่มนี้ ทั้งฝั่งผู้ประกอบการที่ต้องกู้เงินมาพัฒนาโครงการและผู้ซื้อบ้าน ทำให้ผู้ประกอบการชะลอรอดูการปรับตัวของภาวะเศรษฐกิจในปี2567 ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้บ้าง กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้น และเมื่อแบงก์เห็นสัญญาณดีขึ้น อาจจะลดความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อลง ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้นตามไปด้วย
“
ที่อยู่อาศัยระดับต่ำ 3 ล้านบาท ปัจจุบันแบงก์ยังไม่มั่นใจ จึงไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งรายกลางและรายเล็กจะลำบาก ส่วนรายใหญ่ยังสามารถระดมทุนออกการออกหุ้นกู้ได้ ขณะที่ตลาดหุ้นกู้เองตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” นาย
พรนริศกล่าว
นาย
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้ภาพรวมของตลาดน่าจะใกล้เคียงกับปี 2566 ยังมีปัจจัยลบ คือ
1. อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
2. สภาพคล่องของตลาดเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นกู้ที่คนขาดความมั่นใจ
3. ปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง
4. กำลังซื้อผู้บริโภคตลาดราคาต่ำ 3 ล้านบาทยังแย่ ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว
ส่วนปัจจัยบวกมีตลาดต่างชาติ เป็นเสาหลักค้ำจุนและทดแทนตลาดในประเทศที่หดตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ยังมีดีมานด์ต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มจีนจากฮ่องกง ไต้หวัน เมียนมา ขณะที่การที่รัฐบาลมีนโยบายวีซ่าฟรีไทย-จีนถาวร ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนมาเที่ยว และเกิดความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
นาย
พีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ปี 2567 ยังมีปัจจัยบวกในครึ่งปีหลัง ผลพวงจากอัตราดดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง หลังจากครึ่งปีแรกหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จึงมองว่าเป็นสัญญาณดีในครึ่งปีหลัง ถ้าเป็นข่าวดีที่จะเซอร์ไพรส์เลย คือ หวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ย เพราะภาระดอกเบี้ยไม่เฮลธ์ตี้ต่อคนไทย ทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้น ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันหวังว่าภาวะหนี้ครัวเรือนควรจะลดลงจากกว่า 90% เหลือกว่า 80% ด้านการท่องเที่ยวจะดีขึ้นมีท่องเที่ยวเข้ามาถึง 30-35 ล้านคน แม้จะไม่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย และหลายชาติเข้ามาทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าปี 2567 ยังมีปัจจัยบวกอ่อนๆจากปี 2566 และจีดีพีน่าจะเติบโตได้กว่า 3% และตลาดคอนโดมิเนียมจากปี2566 ตลาดฟื้นหลอก ปี 2567 น่าจะฟื้นจริง และโตอ่อนๆ 5-10% ตามภาวะเศรษฐกิจ
นาย
ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ภาวะเศรฐกิจไม่ค่อยดี หนี้ครัวเรือนสูง ทางแบงก์จะมีการเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาทที่เป็นตลาดใหญ่ แบงก์ไม่ปล่อยกู้สูงมาก ซึ่งในมุมของผู้ประกอบอสังหาฯ อยากให้แบงก์ผ่อนปรนเรื่องการให้สินเชื่อให้ผู้มีรายได้ไม่สูงมากเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงด้วย
เวียดนามตั้งเป้าส่งออกทุเรียนสร้างรายได้ 1.2 แสนล้านบาทปีนี้
https://www.dailynews.co.th/news/3061633/
เวียดนามตั้งเป้าหมาย สร้างรายได้จากการส่งออกทุเรียนราว 120,000 ล้านบาท ในปีนี้ หลังสามารถทำรายได้ดังกล่าวเพิ่มขึ้น 5 เท่า เป็นมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69,000 ล้านบาท) เมื่อปี 2566
สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ว่าข้อมูลจากสมาคมผลไม้และผักแห่งเวียดนาม ระบุว่า มูลค่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในปี 2567 อาจสูงถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 120,000 ล้านบาท) เนื่องด้วยผลผลิตทุเรียนภายในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น กอปรกับพื้นที่เพาะปลูกและโรงงานบรรจุหีบห่อได้รับอนุญาตส่งออกสู่จีนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามแสดงความเชื่อมั่น ว่าการส่งออกทุเรียนจะเพิ่มขึ้นอีกมาก หากมีการลงนามพิธีสารการส่งออกทุเรียนแช่แข็งกับจีน ตามกำหนดในปี 2567
ปัจจุบัน เวียดนามส่งออกทุเรียนสู่ตลาด 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงจีนที่ครองสัดส่วนร้อยละ 97 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ขณะที่รายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม เมื่อปี 2566 มีมูลค่าอยู่ที่ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 75,900 ล้านบาท) คิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของการส่งออกผลไม้และผักทั้งหมดของประเทศ.
ข้อมูล : XINHUA
JJNY : 5in1 ศิริกัญญาแย้มถกกมธ.งบ│ค้าปลีกอีสานโอด│อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม│เวียดนามตั้งเป้าส่งออกทุเรียน│เกาหลีเหนือยิงอีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4363673
‘ศิริกัญญา’ เผยประชุม กมธ.งบฯ นัดแรก รอลงมติร่วมว่าจะเน้นถกให้ รบ.หั่นงบลงหรือไม่ เหตุจัดงบไม่เพียงพอหลายหน่วยงาน ระบุพร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญงบร่วมด้วย หวังช่วยตรวจสอบการเงินแต่ละหน่วยงานของรัฐ
เมื่อวันที่ 7 มกราคม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีแนวทางการทำงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบการใช้งบประมาณว่าจะเป็นอย่างไรบ้างว่า การประชุมในวันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) เราจะต้องมีมติร่วมกันว่าแนวทางการศึกษางบปีนี้จะเน้นไปที่การตัดลดงบประมาณหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจัดงบไม่เพียงพอในหลายรายการ ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้งบกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดการตัดลดงบประมาณไป แล้วสุดท้ายถูกแปรเป็นงบกลางเหมือนที่ผ่านมา หรือหากไม่เน้นเรื่องการตัดงบประมาณก็จะเป็นแนวทางการให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำงบประมาณในปี 2568 แทน
เมื่อถามว่า จะเน้นศึกษาไปที่หน่วยงาน หรือกระทรวงใดเป็นพิเศษหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ถ้าดูรายชื่อคณะ กมธ.ของพรรค ก.ก.จะเป็นบุคลากรที่ได้อภิปรายในวาระหนึ่งทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคนมาพร้อมกับโจทย์สำคัญๆ ที่ต้องพูดคุยกับหน่วยงานอยู่แล้ว ทั้งการจัดงบที่มากเกินและน้อยเกินไปในแต่ละรายการ ซึ่งก็ตามที่เราได้วางบุคลากรไว้ว่าเราจะเน้นในเรื่องใดบ้าง นอกจากนี้เราจะมีกรรมาธิการที่เป็นบุคลากรภายนอก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงบเข้ามาร่วมด้วย เพื่อช่วยดูในเรื่องงบการเงินในแต่ละหน่วยงานของรัฐ เพราะที่ผ่านมาเราเห็นว่ามีปัญหาค่อนข้างมาก จึงเห็นว่าหากเรามีบุคลากรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงเข้ามาตรวจสอบและวิเคราะห์ในเรื่องงบการเงินของหน่วยงานรัฐก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม ซึ่งก็จะเป็นไปตามสัดส่วนต่างๆ ที่เราพยายามแบ่งว่าจะมีทั้งรายประเด็น รายกระทรวง และแนวทางการปฏิรูประบบงบประมาณทั้งระบบด้วย
บิ๊กสหพัฒน์ ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหนุนศก.ปี’67 ค้าปลีกอีสานโอด กำลังซื้อดิ่งหนัก คาดลากยาวถึงสงกรานต์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4363911
บิ๊กสหพัฒน์ ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหนุนศก.ปี’67 ค้าปลีกอีสานโอด กำลังซื้อดิ่งหนัก คาดลากยาวถึงสงกรานต์
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้มองว่ายังไม่เห็นปัจจัยบวกทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ดีขึ้นหรือแย่ไปมากกว่าปี 2566 เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ยังเหมือนกับช่วงปีก่อนหน้า คงต้องรอดูภาพรวมอีกครั้งหลังผ่านไป 3 เดือนแรกของปีไปแล้ว เพราะตอนนี้ภาคธุรกิจคงยังอยู่ในช่วงปรับตัวหรือเวทแอนด์ซีรอดูสถานการณ์ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
“ถามว่าเกิดภาวะเงินฝืดหรือยัง จริงๆปัจจุบันเริ่มมีภาวะเงินฝืดบ้างแล้ว ดูจากกำลังซื้อที่ยังไม่ค่อยดี แต่ภาครัฐบาลพยายามออกมาตรการกระตุ้น เช่น อีซี่ อีรี-ซีท ลดภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายได้แค่ระยะสั้น ส่วนเรื่องงบประมาณที่ผานการอนุมัตินั้น คงส่งผลสองทาง คือ กระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นทางด้านจิตวิทยาให้คนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ต้องรอดูผลกันต่อไป” นายธรรมรัตน์กล่าว
นายธรรมรัตน์กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของไอ.ซี.ซี.ในปี 2566 ที่ผ่านมา ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 กำลังซื้อไม่คึกคักมากอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากคนนำเงินไปซื้อสินค้าอย่างอื่นมากกว่าเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์
แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกค้าส่งจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า แนวโน้มกำลังซื้อโดยรวมของปี 2567 น่าจะซบเซายาวถึงเทศกาลสงกรานต์ ถ้ารัฐบาลไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก ดูจากยอดขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2566 ยอดขายไม่คึกคัก ซึ่งยอดขายของวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เทียบกับวันที่ 31 ธันวาคม 2565 หากเป็นช่วงปกติจะเป็นวันที่มียอดขายสูงสุด แต่ปรากฎว่ายอดขายตกลงร่วม 20% เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี คนซื้อของน้อยลง ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าที่เป็นของกินของใช้ ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟื่อยและเครื่องสำอางค์ยอดขายยังซบเซาต่อเนื่อง
“ทางร้านได้เข้ามาตรการอีซี่อีรี-ซีทด้วย เตรียมจะทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้า 20-30% ตั้งแต่วันที่ 11-31 มกราคม นี้ รองรับกับมาตรการดังกล่าว ซึ่งไม่ได้คาดหวังว่าจะมียอดขายมาก เพราะเป็นร้านค้าในต่างจังหวัด และกำลังซื้อหรือรายได้ของลูกค้าจะต่างจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ที่ผ่านมาลูกค้ามีสอบถามว่าเข้ามาตรการอีซี่ อีรี-ซีทหรือไม่ แต่ยังไม่มียอดขายเกิดขึ้นแต่อย่างใด และเพื่อให้เกิดการกระตุ้นยอดขาย จะมีจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมถี่ขึ้นคาดว่าจะมีจัดถึง 8 ครั้ง โดยร้านจะจัดเอง 4 ครั้ง และร่วมกับค้าปลีกภูธรจัดแคมเปญ Local Low Cost อีก 4 ครั้ง” แหล่งข่าวกล่าว
นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะทรงตัว จากปี 2566 ถ้าจะให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่านี้ ภาครัฐบาลจะต้องมีมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมากระตุ้นเพิ่มเติม นอกจากมาตรการอีซี่ อีรี-ซีท ซึ่งจะช่วยได้แค่ระยะสั้น ส่วนมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือ 1% และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จะช่วยเรื่องจิตวิทยาต่อการตัดสินใจของคนซื้อบ้าน จากที่ชะลออาจจะตัดสินใจเร็วขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ แต่ถ้าไม่มีมาตรการอะไรออกมา ตลาดโดยรวมคงจะแย่ไปมากกว่านี้
“การที่คนเริ่มชะลอหรือระมัดระวังการใช้เงิน น่าจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเงินฝืดเกิดจากคนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ทำให้ไม่กล้าใช้เงิน การจะแก้ปัญหาภาวะเงินฝืด รัฐต้องทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและมีมาตรการออกมากระตุ้นให้คนใช้เงิน ซึ่งมาตรการอีซี่อีรี-ซีท ถือเป็นมาตรการหนึ่ง ” นายวสันต์กล่าว
อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม แบงก์เมินปล่อยกู้ หวังธปท.ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ ช่วยคนซื้อบ้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4363851
อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม แบงก์เมินปล่อยกู้ หวังธปท.ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ ช่วยคนซื้อบ้าน
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังทรงตัว เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังแย่ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับต่ำ 3 ล้านบาท ที่แบงก์ไม่ปล่อยกู้ค่อนข้างสูง และในปีนี้แบงก์จะเข้มงวดมากยิ่งขึ้นกับตลาดกลุ่มนี้ ทั้งฝั่งผู้ประกอบการที่ต้องกู้เงินมาพัฒนาโครงการและผู้ซื้อบ้าน ทำให้ผู้ประกอบการชะลอรอดูการปรับตัวของภาวะเศรษฐกิจในปี2567 ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้บ้าง กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้น และเมื่อแบงก์เห็นสัญญาณดีขึ้น อาจจะลดความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อลง ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้นตามไปด้วย
“ที่อยู่อาศัยระดับต่ำ 3 ล้านบาท ปัจจุบันแบงก์ยังไม่มั่นใจ จึงไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งรายกลางและรายเล็กจะลำบาก ส่วนรายใหญ่ยังสามารถระดมทุนออกการออกหุ้นกู้ได้ ขณะที่ตลาดหุ้นกู้เองตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” นายพรนริศกล่าว
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้ภาพรวมของตลาดน่าจะใกล้เคียงกับปี 2566 ยังมีปัจจัยลบ คือ
1. อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
2. สภาพคล่องของตลาดเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นกู้ที่คนขาดความมั่นใจ
3. ปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง
4. กำลังซื้อผู้บริโภคตลาดราคาต่ำ 3 ล้านบาทยังแย่ ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว
ส่วนปัจจัยบวกมีตลาดต่างชาติ เป็นเสาหลักค้ำจุนและทดแทนตลาดในประเทศที่หดตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ยังมีดีมานด์ต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มจีนจากฮ่องกง ไต้หวัน เมียนมา ขณะที่การที่รัฐบาลมีนโยบายวีซ่าฟรีไทย-จีนถาวร ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนมาเที่ยว และเกิดความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ปี 2567 ยังมีปัจจัยบวกในครึ่งปีหลัง ผลพวงจากอัตราดดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง หลังจากครึ่งปีแรกหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จึงมองว่าเป็นสัญญาณดีในครึ่งปีหลัง ถ้าเป็นข่าวดีที่จะเซอร์ไพรส์เลย คือ หวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ย เพราะภาระดอกเบี้ยไม่เฮลธ์ตี้ต่อคนไทย ทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้น ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันหวังว่าภาวะหนี้ครัวเรือนควรจะลดลงจากกว่า 90% เหลือกว่า 80% ด้านการท่องเที่ยวจะดีขึ้นมีท่องเที่ยวเข้ามาถึง 30-35 ล้านคน แม้จะไม่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย และหลายชาติเข้ามาทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าปี 2567 ยังมีปัจจัยบวกอ่อนๆจากปี 2566 และจีดีพีน่าจะเติบโตได้กว่า 3% และตลาดคอนโดมิเนียมจากปี2566 ตลาดฟื้นหลอก ปี 2567 น่าจะฟื้นจริง และโตอ่อนๆ 5-10% ตามภาวะเศรษฐกิจ
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ภาวะเศรฐกิจไม่ค่อยดี หนี้ครัวเรือนสูง ทางแบงก์จะมีการเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาทที่เป็นตลาดใหญ่ แบงก์ไม่ปล่อยกู้สูงมาก ซึ่งในมุมของผู้ประกอบอสังหาฯ อยากให้แบงก์ผ่อนปรนเรื่องการให้สินเชื่อให้ผู้มีรายได้ไม่สูงมากเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงด้วย
เวียดนามตั้งเป้าส่งออกทุเรียนสร้างรายได้ 1.2 แสนล้านบาทปีนี้
https://www.dailynews.co.th/news/3061633/
เวียดนามตั้งเป้าหมาย สร้างรายได้จากการส่งออกทุเรียนราว 120,000 ล้านบาท ในปีนี้ หลังสามารถทำรายได้ดังกล่าวเพิ่มขึ้น 5 เท่า เป็นมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69,000 ล้านบาท) เมื่อปี 2566
สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ว่าข้อมูลจากสมาคมผลไม้และผักแห่งเวียดนาม ระบุว่า มูลค่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในปี 2567 อาจสูงถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 120,000 ล้านบาท) เนื่องด้วยผลผลิตทุเรียนภายในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น กอปรกับพื้นที่เพาะปลูกและโรงงานบรรจุหีบห่อได้รับอนุญาตส่งออกสู่จีนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามแสดงความเชื่อมั่น ว่าการส่งออกทุเรียนจะเพิ่มขึ้นอีกมาก หากมีการลงนามพิธีสารการส่งออกทุเรียนแช่แข็งกับจีน ตามกำหนดในปี 2567
ปัจจุบัน เวียดนามส่งออกทุเรียนสู่ตลาด 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงจีนที่ครองสัดส่วนร้อยละ 97 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ขณะที่รายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม เมื่อปี 2566 มีมูลค่าอยู่ที่ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 75,900 ล้านบาท) คิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของการส่งออกผลไม้และผักทั้งหมดของประเทศ.
ข้อมูล : XINHUA