JJNY : 5in1 ศิริกัญญาแย้มถกกมธ.งบ│ค้าปลีกอีสานโอด│อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม│เวียดนามตั้งเป้าส่งออกทุเรียน│เกาหลีเหนือยิงอีก

ศิริกัญญา แย้มถก กมธ.งบ รอลงมติร่วมให้ รบ.หั่นงบหรือไม่ จ่อดึงผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4363673

 
‘ศิริกัญญา’ เผยประชุม กมธ.งบฯ นัดแรก รอลงมติร่วมว่าจะเน้นถกให้ รบ.หั่นงบลงหรือไม่ เหตุจัดงบไม่เพียงพอหลายหน่วยงาน ระบุพร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญงบร่วมด้วย หวังช่วยตรวจสอบการเงินแต่ละหน่วยงานของรัฐ
 
เมื่อวันที่ 7 มกราคม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีแนวทางการทำงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบการใช้งบประมาณว่าจะเป็นอย่างไรบ้างว่า การประชุมในวันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) เราจะต้องมีมติร่วมกันว่าแนวทางการศึกษางบปีนี้จะเน้นไปที่การตัดลดงบประมาณหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจัดงบไม่เพียงพอในหลายรายการ ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้งบกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดการตัดลดงบประมาณไป แล้วสุดท้ายถูกแปรเป็นงบกลางเหมือนที่ผ่านมา หรือหากไม่เน้นเรื่องการตัดงบประมาณก็จะเป็นแนวทางการให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำงบประมาณในปี 2568 แทน

เมื่อถามว่า จะเน้นศึกษาไปที่หน่วยงาน หรือกระทรวงใดเป็นพิเศษหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ถ้าดูรายชื่อคณะ กมธ.ของพรรค ก.ก.จะเป็นบุคลากรที่ได้อภิปรายในวาระหนึ่งทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละคนมาพร้อมกับโจทย์สำคัญๆ ที่ต้องพูดคุยกับหน่วยงานอยู่แล้ว ทั้งการจัดงบที่มากเกินและน้อยเกินไปในแต่ละรายการ ซึ่งก็ตามที่เราได้วางบุคลากรไว้ว่าเราจะเน้นในเรื่องใดบ้าง นอกจากนี้เราจะมีกรรมาธิการที่เป็นบุคลากรภายนอก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงบเข้ามาร่วมด้วย เพื่อช่วยดูในเรื่องงบการเงินในแต่ละหน่วยงานของรัฐ เพราะที่ผ่านมาเราเห็นว่ามีปัญหาค่อนข้างมาก จึงเห็นว่าหากเรามีบุคลากรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงเข้ามาตรวจสอบและวิเคราะห์ในเรื่องงบการเงินของหน่วยงานรัฐก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม ซึ่งก็จะเป็นไปตามสัดส่วนต่างๆ ที่เราพยายามแบ่งว่าจะมีทั้งรายประเด็น รายกระทรวง และแนวทางการปฏิรูประบบงบประมาณทั้งระบบด้วย



  
บิ๊กสหพัฒน์ ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหนุนศก.ปี’67 ค้าปลีกอีสานโอด กำลังซื้อดิ่งหนัก คาดลากยาวถึงสงกรานต์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4363911

บิ๊กสหพัฒน์ ชี้ยังไม่เห็นปัจจัยบวกหนุนศก.ปี’67 ค้าปลีกอีสานโอด กำลังซื้อดิ่งหนัก คาดลากยาวถึงสงกรานต์
 
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้มองว่ายังไม่เห็นปัจจัยบวกทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ดีขึ้นหรือแย่ไปมากกว่าปี 2566 เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ยังเหมือนกับช่วงปีก่อนหน้า คงต้องรอดูภาพรวมอีกครั้งหลังผ่านไป 3 เดือนแรกของปีไปแล้ว เพราะตอนนี้ภาคธุรกิจคงยังอยู่ในช่วงปรับตัวหรือเวทแอนด์ซีรอดูสถานการณ์ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
 
ถามว่าเกิดภาวะเงินฝืดหรือยัง จริงๆปัจจุบันเริ่มมีภาวะเงินฝืดบ้างแล้ว ดูจากกำลังซื้อที่ยังไม่ค่อยดี แต่ภาครัฐบาลพยายามออกมาตรการกระตุ้น เช่น อีซี่ อีรี-ซีท ลดภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายได้แค่ระยะสั้น ส่วนเรื่องงบประมาณที่ผานการอนุมัตินั้น คงส่งผลสองทาง คือ กระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นทางด้านจิตวิทยาให้คนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น แต่ต้องรอดูผลกันต่อไป” นายธรรมรัตน์กล่าว
 
นายธรรมรัตน์กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของไอ.ซี.ซี.ในปี 2566 ที่ผ่านมา ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 กำลังซื้อไม่คึกคักมากอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากคนนำเงินไปซื้อสินค้าอย่างอื่นมากกว่าเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์
 
แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกค้าส่งจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า แนวโน้มกำลังซื้อโดยรวมของปี 2567 น่าจะซบเซายาวถึงเทศกาลสงกรานต์ ถ้ารัฐบาลไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก ดูจากยอดขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2566 ยอดขายไม่คึกคัก ซึ่งยอดขายของวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เทียบกับวันที่ 31 ธันวาคม 2565 หากเป็นช่วงปกติจะเป็นวันที่มียอดขายสูงสุด แต่ปรากฎว่ายอดขายตกลงร่วม 20% เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี คนซื้อของน้อยลง ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าที่เป็นของกินของใช้ ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟื่อยและเครื่องสำอางค์ยอดขายยังซบเซาต่อเนื่อง
 
ทางร้านได้เข้ามาตรการอีซี่อีรี-ซีทด้วย เตรียมจะทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้า 20-30% ตั้งแต่วันที่ 11-31 มกราคม นี้ รองรับกับมาตรการดังกล่าว ซึ่งไม่ได้คาดหวังว่าจะมียอดขายมาก เพราะเป็นร้านค้าในต่างจังหวัด และกำลังซื้อหรือรายได้ของลูกค้าจะต่างจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ที่ผ่านมาลูกค้ามีสอบถามว่าเข้ามาตรการอีซี่ อีรี-ซีทหรือไม่ แต่ยังไม่มียอดขายเกิดขึ้นแต่อย่างใด และเพื่อให้เกิดการกระตุ้นยอดขาย จะมีจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมถี่ขึ้นคาดว่าจะมีจัดถึง 8 ครั้ง โดยร้านจะจัดเอง 4 ครั้ง และร่วมกับค้าปลีกภูธรจัดแคมเปญ Local Low Cost อีก 4 ครั้ง” แหล่งข่าวกล่าว
 
นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะทรงตัว จากปี 2566 ถ้าจะให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่านี้ ภาครัฐบาลจะต้องมีมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมากระตุ้นเพิ่มเติม นอกจากมาตรการอีซี่ อีรี-ซีท ซึ่งจะช่วยได้แค่ระยะสั้น ส่วนมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือ 1% และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จะช่วยเรื่องจิตวิทยาต่อการตัดสินใจของคนซื้อบ้าน จากที่ชะลออาจจะตัดสินใจเร็วขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ แต่ถ้าไม่มีมาตรการอะไรออกมา ตลาดโดยรวมคงจะแย่ไปมากกว่านี้
 
การที่คนเริ่มชะลอหรือระมัดระวังการใช้เงิน น่าจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเงินฝืดเกิดจากคนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ทำให้ไม่กล้าใช้เงิน การจะแก้ปัญหาภาวะเงินฝืด รัฐต้องทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและมีมาตรการออกมากระตุ้นให้คนใช้เงิน ซึ่งมาตรการอีซี่อีรี-ซีท ถือเป็นมาตรการหนึ่ง ” นายวสันต์กล่าว


 
อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม แบงก์เมินปล่อยกู้ หวังธปท.ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ ช่วยคนซื้อบ้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4363851

อสังหาฯต่ำ 3 ล. อ่วม แบงก์เมินปล่อยกู้ หวังธปท.ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ ช่วยคนซื้อบ้าน
 
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังทรงตัว เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังแย่ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับต่ำ 3 ล้านบาท ที่แบงก์ไม่ปล่อยกู้ค่อนข้างสูง และในปีนี้แบงก์จะเข้มงวดมากยิ่งขึ้นกับตลาดกลุ่มนี้ ทั้งฝั่งผู้ประกอบการที่ต้องกู้เงินมาพัฒนาโครงการและผู้ซื้อบ้าน ทำให้ผู้ประกอบการชะลอรอดูการปรับตัวของภาวะเศรษฐกิจในปี2567 ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้บ้าง กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้น และเมื่อแบงก์เห็นสัญญาณดีขึ้น อาจจะลดความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อลง ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้นตามไปด้วย

ที่อยู่อาศัยระดับต่ำ 3 ล้านบาท ปัจจุบันแบงก์ยังไม่มั่นใจ จึงไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งรายกลางและรายเล็กจะลำบาก ส่วนรายใหญ่ยังสามารถระดมทุนออกการออกหุ้นกู้ได้ ขณะที่ตลาดหุ้นกู้เองตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” นายพรนริศกล่าว
 
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้ภาพรวมของตลาดน่าจะใกล้เคียงกับปี 2566 ยังมีปัจจัยลบ คือ 
1. อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง 
2. สภาพคล่องของตลาดเงิน โดยเฉพาะตลาดหุ้นกู้ที่คนขาดความมั่นใจ 
3. ปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง
4. กำลังซื้อผู้บริโภคตลาดราคาต่ำ 3 ล้านบาทยังแย่ ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว

ส่วนปัจจัยบวกมีตลาดต่างชาติ เป็นเสาหลักค้ำจุนและทดแทนตลาดในประเทศที่หดตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ยังมีดีมานด์ต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มจีนจากฮ่องกง ไต้หวัน เมียนมา ขณะที่การที่รัฐบาลมีนโยบายวีซ่าฟรีไทย-จีนถาวร ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนมาเที่ยว และเกิดความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
 
นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ปี 2567 ยังมีปัจจัยบวกในครึ่งปีหลัง ผลพวงจากอัตราดดอกเบี้ยที่จะปรับตัวลดลง หลังจากครึ่งปีแรกหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จึงมองว่าเป็นสัญญาณดีในครึ่งปีหลัง ถ้าเป็นข่าวดีที่จะเซอร์ไพรส์เลย คือ หวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะลดอัตราดอกเบี้ย เพราะภาระดอกเบี้ยไม่เฮลธ์ตี้ต่อคนไทย ทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้น ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันหวังว่าภาวะหนี้ครัวเรือนควรจะลดลงจากกว่า 90% เหลือกว่า 80% ด้านการท่องเที่ยวจะดีขึ้นมีท่องเที่ยวเข้ามาถึง 30-35 ล้านคน แม้จะไม่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากรัสเซีย และหลายชาติเข้ามาทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าปี 2567 ยังมีปัจจัยบวกอ่อนๆจากปี 2566 และจีดีพีน่าจะเติบโตได้กว่า 3% และตลาดคอนโดมิเนียมจากปี2566 ตลาดฟื้นหลอก ปี 2567 น่าจะฟื้นจริง และโตอ่อนๆ 5-10% ตามภาวะเศรษฐกิจ

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ภาวะเศรฐกิจไม่ค่อยดี หนี้ครัวเรือนสูง ทางแบงก์จะมีการเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาทที่เป็นตลาดใหญ่ แบงก์ไม่ปล่อยกู้สูงมาก ซึ่งในมุมของผู้ประกอบอสังหาฯ อยากให้แบงก์ผ่อนปรนเรื่องการให้สินเชื่อให้ผู้มีรายได้ไม่สูงมากเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงด้วย


 
เวียดนามตั้งเป้าส่งออกทุเรียนสร้างรายได้ 1.2 แสนล้านบาทปีนี้
https://www.dailynews.co.th/news/3061633/
 
เวียดนามตั้งเป้าหมาย สร้างรายได้จากการส่งออกทุเรียนราว 120,000 ล้านบาท ในปีนี้ หลังสามารถทำรายได้ดังกล่าวเพิ่มขึ้น 5 เท่า เป็นมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69,000 ล้านบาท) เมื่อปี 2566

สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ว่าข้อมูลจากสมาคมผลไม้และผักแห่งเวียดนาม ระบุว่า มูลค่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในปี 2567 อาจสูงถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 120,000 ล้านบาท) เนื่องด้วยผลผลิตทุเรียนภายในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น กอปรกับพื้นที่เพาะปลูกและโรงงานบรรจุหีบห่อได้รับอนุญาตส่งออกสู่จีนเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามแสดงความเชื่อมั่น ว่าการส่งออกทุเรียนจะเพิ่มขึ้นอีกมาก หากมีการลงนามพิธีสารการส่งออกทุเรียนแช่แข็งกับจีน ตามกำหนดในปี 2567

ปัจจุบัน เวียดนามส่งออกทุเรียนสู่ตลาด 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงจีนที่ครองสัดส่วนร้อยละ 97 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ขณะที่รายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนาม เมื่อปี 2566 มีมูลค่าอยู่ที่ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 75,900 ล้านบาท) คิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของการส่งออกผลไม้และผักทั้งหมดของประเทศ.

ข้อมูล : XINHUA
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่