นักเศรษฐศาสตร์โนเบล เตือน เรียน "STEM" เกาะกระแส AI เสี่ยงตกงาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.thansettakij.com/world/585094?fbclid=IwAR15mRJc1qcZTRdwNPLaNDMxwzJnKJHR1r2t_vJl7l21pllxiqa7KGvfMwo_aem_AVim9_1xwwKr3F0vVbCMcyJPFyAO8TQWB3In16VOzj9Or2Q0TWCeEVlnhrrY8pU9ZIc
อารมณ์คงคล้ายรุ่นผม นึกอะไรไม่ออกเรียนคณะบริหาร ซึ่งก็แตกออกไปเป็น บัญชี เศรษฐศาสตร์ การตลาด
แต่ในอนาคตด้วยความที่ถ้าทุกอย่างที่มันสามารถเอาโรบอท เอา ai เข้าไปแทนที่ได้
คำว่า วิชาชีพในอนาคตก็จะมีความสำคัญน้อยลง
เพราะวิชาชีพมันคือเรื่องของการกำหนดด้วยกฎหมายว่าไว้ ถ้าจะเป็นหมอได้ ต้องจบหมอก่อน
จะทำตรวจสอบบัญชี ก็ต้องจบบัญชีแล้วสอบต่อไป
เมื่อไรที่กำแพงกฎหมายพวกนี้ถูกพังลงด้วยเหตุจากเรื่องของบ.เองอยากลดต้นทุนต่างๆจนเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาครัฐต้องทำนโยบายสนอง
เมื่อนั้นบางอาชีพอย่างบัญชีที่มีแต่ตัวเลขเป็นหลักๆก็คงอยู่ยากขึ้น firm ใหญ่ๆอยู่ได้ แต่ต้องปรับเปลี่ยนหันมาพึ่งพาเทคมากขึ้น ลดคนมากขึ้น
ส่วนสายงานที่เกี่ยวกับเทคโดยตรงยิ่งเกิดการพัฒนา ai มากขึ้นเท่าไร ก็เหมือนยิ่งทำให้การงานของตัวเองถูกบีบมากขึ้นไปอีก
ยิ่งนึกภาพว่า คนส่วนใหญ่แห่ไปเรียนเหมือนรุ่นผมที่ต่างก็แห่ไปเรียนบริหารกัน คนจบมาต่างก็ต้องการหางานเหมือนๆกัน
ในขณะที่บ.เทคอยู่ในสภาพที่อยากจะลดจำนวนพนง. และยิ่งในสหรัฐการเรียนส่วนใหญ่ นักศึกษากู้มาเรียน ติดหนี้กันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
ถ้าหางานไม่ได้ ตกงาน หนี้ท่วมหัว จะเป็นอย่างไร สงสัยคงนั่งเทรดคริปโตกันทั้งวันแน่
ส่วนการเรียนด้านสายวิทย์สุขภาพ ผมว่า ยังไปได้อยู่อีกซักพัก จนกว่าเทคมันจะล้ำถึงขนาดคนยอมให้โรบอทผ่าตัด
ยอมหา ai แทนหาหมอ ให้จ่ายยาให้ วินิจฉัยโรคให้โดยไม่ต้องแม้แต่ต้องไปรพ.
อีกนานพอที่เด็กรุ่นนี้(อายุ 15 ขึ้น) เรียนไปก็น่าจะยังไม่ตกงาน
เหตุผลเพราะเทคมันยังไม่ล้ำพอ แต่ถ้าเมื่อไรที่การฝังชิพ ฝังอะไรต่างๆเข้าไปในร่างมนุษย์ได้ในระดับ mass
เหมือนที่เราเปลี่ยนมือถือจากรุ่นปุ่มกดมาเป็นจอสัมผัสเมื่อไร
การเติบโตด้านเทคสายสุขภาพจะเกิดกการ big change แบบก้าวกระโดดมากๆ
และมันจะมีบ.ไม่กี่บ.ที่จะโตแบบ go to the moon เกิดขึ้นอีกครั้ง
ตรงจุดนี้โลกก็จะเกิด s curve ใหม่อีกรอบ และแน่นอนบ.เล็ก ตัวเล็กๆก็เตรียมล้มหายจากการมาของกระแสใหม่ด้วยเช่นกัน
เพราะบ.ไม่กี่บ.เหล่านั้น จะผูกขาดธุรกิจนี้ไปทั่วโลกผ่านเทค
เช่น ถ้าเรามีชิพฝังตัว ก็เหมือนมีการตรวจสุขภาพประจำปี แต่เปลี่ยนเป็นรายวันแทน
วันนึงกินอะไร นอนดึก ตื่นสาย เครียด ทุกสิ่งจะถูกประมวลผลรายวันให้
ตื่นเช้ามาอีกวัน ai มันก็สวัสดีตอนเช้า เมื่อคืนกินเหล้าเยอะนะ หยิบยานู้นนี้นั้นมากินซะ
(แล้วคิดว่ายานั้นมันมาจากบ.ไหน ก็คงในเครือเดียวกันนะแหละ)
นานไปตรวจเจอความดันสูง เช้านี้ทำนัดพบหมอ ai ให้แล้วนะ ต้องทำแบบนั้นแบบนี้นะ ยาสั่งมาให้แล้วเตรียมรอรับด้วย
ระบบ ai ในอนาคตมันจะคิดแทนเราให้หมด หาทางออกที่ optimize ให้จนเราไม่ต้องคิด แค่ทำตามมัน(สั่ง)บอกก็พอ
นั้นแหละทำไมว่า บ.เทคใหญ่ๆถึงเอาจริงเอาจังกับ ai มากนัก
เพราะมันคือ fb google line ในอนาคต ใครยึดหัวหาดจุดนี้ได้ ก็เท่ากับผูกขาดคนทั่วโลกได้ไปอีกหลายรุ่น
นักเศรษฐศาสตร์โนเบล เตือน เรียน "STEM" เกาะกระแส AI เสี่ยงตกงาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อารมณ์คงคล้ายรุ่นผม นึกอะไรไม่ออกเรียนคณะบริหาร ซึ่งก็แตกออกไปเป็น บัญชี เศรษฐศาสตร์ การตลาด
แต่ในอนาคตด้วยความที่ถ้าทุกอย่างที่มันสามารถเอาโรบอท เอา ai เข้าไปแทนที่ได้
คำว่า วิชาชีพในอนาคตก็จะมีความสำคัญน้อยลง
เพราะวิชาชีพมันคือเรื่องของการกำหนดด้วยกฎหมายว่าไว้ ถ้าจะเป็นหมอได้ ต้องจบหมอก่อน
จะทำตรวจสอบบัญชี ก็ต้องจบบัญชีแล้วสอบต่อไป
เมื่อไรที่กำแพงกฎหมายพวกนี้ถูกพังลงด้วยเหตุจากเรื่องของบ.เองอยากลดต้นทุนต่างๆจนเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาครัฐต้องทำนโยบายสนอง
เมื่อนั้นบางอาชีพอย่างบัญชีที่มีแต่ตัวเลขเป็นหลักๆก็คงอยู่ยากขึ้น firm ใหญ่ๆอยู่ได้ แต่ต้องปรับเปลี่ยนหันมาพึ่งพาเทคมากขึ้น ลดคนมากขึ้น
ส่วนสายงานที่เกี่ยวกับเทคโดยตรงยิ่งเกิดการพัฒนา ai มากขึ้นเท่าไร ก็เหมือนยิ่งทำให้การงานของตัวเองถูกบีบมากขึ้นไปอีก
ยิ่งนึกภาพว่า คนส่วนใหญ่แห่ไปเรียนเหมือนรุ่นผมที่ต่างก็แห่ไปเรียนบริหารกัน คนจบมาต่างก็ต้องการหางานเหมือนๆกัน
ในขณะที่บ.เทคอยู่ในสภาพที่อยากจะลดจำนวนพนง. และยิ่งในสหรัฐการเรียนส่วนใหญ่ นักศึกษากู้มาเรียน ติดหนี้กันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
ถ้าหางานไม่ได้ ตกงาน หนี้ท่วมหัว จะเป็นอย่างไร สงสัยคงนั่งเทรดคริปโตกันทั้งวันแน่
ส่วนการเรียนด้านสายวิทย์สุขภาพ ผมว่า ยังไปได้อยู่อีกซักพัก จนกว่าเทคมันจะล้ำถึงขนาดคนยอมให้โรบอทผ่าตัด
ยอมหา ai แทนหาหมอ ให้จ่ายยาให้ วินิจฉัยโรคให้โดยไม่ต้องแม้แต่ต้องไปรพ.
อีกนานพอที่เด็กรุ่นนี้(อายุ 15 ขึ้น) เรียนไปก็น่าจะยังไม่ตกงาน
เหตุผลเพราะเทคมันยังไม่ล้ำพอ แต่ถ้าเมื่อไรที่การฝังชิพ ฝังอะไรต่างๆเข้าไปในร่างมนุษย์ได้ในระดับ mass
เหมือนที่เราเปลี่ยนมือถือจากรุ่นปุ่มกดมาเป็นจอสัมผัสเมื่อไร
การเติบโตด้านเทคสายสุขภาพจะเกิดกการ big change แบบก้าวกระโดดมากๆ
และมันจะมีบ.ไม่กี่บ.ที่จะโตแบบ go to the moon เกิดขึ้นอีกครั้ง
ตรงจุดนี้โลกก็จะเกิด s curve ใหม่อีกรอบ และแน่นอนบ.เล็ก ตัวเล็กๆก็เตรียมล้มหายจากการมาของกระแสใหม่ด้วยเช่นกัน
เพราะบ.ไม่กี่บ.เหล่านั้น จะผูกขาดธุรกิจนี้ไปทั่วโลกผ่านเทค
เช่น ถ้าเรามีชิพฝังตัว ก็เหมือนมีการตรวจสุขภาพประจำปี แต่เปลี่ยนเป็นรายวันแทน
วันนึงกินอะไร นอนดึก ตื่นสาย เครียด ทุกสิ่งจะถูกประมวลผลรายวันให้
ตื่นเช้ามาอีกวัน ai มันก็สวัสดีตอนเช้า เมื่อคืนกินเหล้าเยอะนะ หยิบยานู้นนี้นั้นมากินซะ
(แล้วคิดว่ายานั้นมันมาจากบ.ไหน ก็คงในเครือเดียวกันนะแหละ)
นานไปตรวจเจอความดันสูง เช้านี้ทำนัดพบหมอ ai ให้แล้วนะ ต้องทำแบบนั้นแบบนี้นะ ยาสั่งมาให้แล้วเตรียมรอรับด้วย
ระบบ ai ในอนาคตมันจะคิดแทนเราให้หมด หาทางออกที่ optimize ให้จนเราไม่ต้องคิด แค่ทำตามมัน(สั่ง)บอกก็พอ
นั้นแหละทำไมว่า บ.เทคใหญ่ๆถึงเอาจริงเอาจังกับ ai มากนัก
เพราะมันคือ fb google line ในอนาคต ใครยึดหัวหาดจุดนี้ได้ ก็เท่ากับผูกขาดคนทั่วโลกได้ไปอีกหลายรุ่น