ไม่น่าเชื่อว่าสรรพากรจะอนุญาตให้ธุรกิจ ร.พ.เอกชนใช้วิธีขอแบ่ง %GP จากหมอที่ทำงานใน ร.พ.เอกชน เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ได้ด้วย ทั้งที่ผิดหลักการอย่างสิ้นเชิง แถมยังเป็นการค้าความเจ็บป่วยในยามที่ ปทท กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างไร้มนุษยธรรมอีกด้วย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
>>> ร.พ.เอกชนไม่สามารถใช้วิธีแบ่ง %GP กับหมอ แบบธุรกิจค้าค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ได้เลย เพราะ
1) ห้างฯไม่ได้คิดค่าบริการใช้ห้างจาก ปชช ที่เข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้ากับร้านค้าต่างๆทางของห้างเลย ไม่ว่าจะค่าใช้ห้างฯ ค่าโต๊ะ ค่าเก้าอี้ ค่าช้อนส้อม ค่าแม่ครัว ฯลฯ
2) แต่ ร.พ.เอกชนคิดค่าบริการใช้ ร.พ.ทุกครั้งกับ ปชช ที่เข้าไปหาหมอ ค่า X-ray ค่า MRI ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆไปเรียบร้อยแล้ว
3) แต่ ร.พ.เอกชนกลับสามารถไปขอแบ่ง %GP กับหมอได้อีก เพื่อให้หมอสามารถยื่นภาษี 40(6) อาชีพอิสระ ที่หักค่าใช้จ่ายได้ 60% ไม่มีเพดาน ทั้งที่หมอไม่ได้ไปประกอบอาชีพอิสระอะไรใน ร.พ.เอกชนเลย เพราะหมอไม่ใช่เป็นผู้กำหนดค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆอะไรเลย หมอเพียงมาทำงานให้ ร.พ.เอกชนเท่านั้น
4) อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐไม่มีการตั้งราคามาตรฐานสำหรับค่าตรวจ ค่าเวชภัณฑ์ ค่ายา ฯลฯ ใดๆเลยทั้งที่เป็นสินค้าควบคุมมาตั้งแต่ ปี 2562 แล้ว
5) ดังนั้นเมื่อ ร.พ.ขอแบ่ง % GP กับหมอได้ และหมอก็สามารถคิดค่าตรวจกับคนไข้ยังไงก็ได้ เพราะไม่มีหน่วยงานรัฐใดมาควบคุม
6) ปชช จึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่แพงซ้ำซ้อนเกินเหตุ เพราะ ร.พ.เอกชนต้องเอากำไรไปโชว์ผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเจ้าของ ร.พ.เอกชน สามารถซื้อขายหุ้นได้โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้นเลยอีกด้วย
7) แล้ว ปชช และ ปทท ได้ประโยชน์อะไรจากการเอาหุ้น ร.พ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐควบคุมราคามาตรฐานค่ารักษาพยาบาลทั้งที่เป็นสินค้าควบคุมมาตั้งแต่ปี 2562 เลยงั้นหรอ?
8) เมื่อมีผลประโยชน์มหาศาลของ Monopoly เกมส์เศรษฐี ที่สยายปีกจากธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่สู่ธุรกิจ ร.พ.เอกชน หมอก็แห่ย้ายกันไป ร.พ.เอกชนขนาดใหญ่กันหมด คนไข้ ร.พ.รัฐก็จึงต้องแห่ย้ายตามหมอไป ร.พ.เอกชนด้วย เพราะ ร.พ.รัฐเหลือแต่หมอใช้ทุน หมอฝึกหัด ที่ทำงานสู้ตายจนต้องสังเวยชีวิตไปหลายรายตามข่าวอย่างน่าสลดใจ
9) ร.พ. เอกชน + คลินิกขนาดเล็ก และคนไข้ของ ร.พ.รัฐก็อยู่ไม่ได้ด้วยเพราะไม่มีหมอรักษา เฉกเช่นเดียวกับร้านโชห่วย ตามหลักการของ Monopoly เกมส์เศรษฐี โดยมี รบ.เป็นประกันนั่นเอง
Monopoly เกมส์เศรษฐีจากธุรกิจค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่สู่ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน
>>> ร.พ.เอกชนไม่สามารถใช้วิธีแบ่ง %GP กับหมอ แบบธุรกิจค้าค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ได้เลย เพราะ
1) ห้างฯไม่ได้คิดค่าบริการใช้ห้างจาก ปชช ที่เข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้ากับร้านค้าต่างๆทางของห้างเลย ไม่ว่าจะค่าใช้ห้างฯ ค่าโต๊ะ ค่าเก้าอี้ ค่าช้อนส้อม ค่าแม่ครัว ฯลฯ
2) แต่ ร.พ.เอกชนคิดค่าบริการใช้ ร.พ.ทุกครั้งกับ ปชช ที่เข้าไปหาหมอ ค่า X-ray ค่า MRI ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆไปเรียบร้อยแล้ว
3) แต่ ร.พ.เอกชนกลับสามารถไปขอแบ่ง %GP กับหมอได้อีก เพื่อให้หมอสามารถยื่นภาษี 40(6) อาชีพอิสระ ที่หักค่าใช้จ่ายได้ 60% ไม่มีเพดาน ทั้งที่หมอไม่ได้ไปประกอบอาชีพอิสระอะไรใน ร.พ.เอกชนเลย เพราะหมอไม่ใช่เป็นผู้กำหนดค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ต่างๆอะไรเลย หมอเพียงมาทำงานให้ ร.พ.เอกชนเท่านั้น
4) อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐไม่มีการตั้งราคามาตรฐานสำหรับค่าตรวจ ค่าเวชภัณฑ์ ค่ายา ฯลฯ ใดๆเลยทั้งที่เป็นสินค้าควบคุมมาตั้งแต่ ปี 2562 แล้ว
5) ดังนั้นเมื่อ ร.พ.ขอแบ่ง % GP กับหมอได้ และหมอก็สามารถคิดค่าตรวจกับคนไข้ยังไงก็ได้ เพราะไม่มีหน่วยงานรัฐใดมาควบคุม
6) ปชช จึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่แพงซ้ำซ้อนเกินเหตุ เพราะ ร.พ.เอกชนต้องเอากำไรไปโชว์ผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเจ้าของ ร.พ.เอกชน สามารถซื้อขายหุ้นได้โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้นเลยอีกด้วย
7) แล้ว ปชช และ ปทท ได้ประโยชน์อะไรจากการเอาหุ้น ร.พ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐควบคุมราคามาตรฐานค่ารักษาพยาบาลทั้งที่เป็นสินค้าควบคุมมาตั้งแต่ปี 2562 เลยงั้นหรอ?
8) เมื่อมีผลประโยชน์มหาศาลของ Monopoly เกมส์เศรษฐี ที่สยายปีกจากธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่สู่ธุรกิจ ร.พ.เอกชน หมอก็แห่ย้ายกันไป ร.พ.เอกชนขนาดใหญ่กันหมด คนไข้ ร.พ.รัฐก็จึงต้องแห่ย้ายตามหมอไป ร.พ.เอกชนด้วย เพราะ ร.พ.รัฐเหลือแต่หมอใช้ทุน หมอฝึกหัด ที่ทำงานสู้ตายจนต้องสังเวยชีวิตไปหลายรายตามข่าวอย่างน่าสลดใจ
9) ร.พ. เอกชน + คลินิกขนาดเล็ก และคนไข้ของ ร.พ.รัฐก็อยู่ไม่ได้ด้วยเพราะไม่มีหมอรักษา เฉกเช่นเดียวกับร้านโชห่วย ตามหลักการของ Monopoly เกมส์เศรษฐี โดยมี รบ.เป็นประกันนั่นเอง