...
ในขณะนี้พวกเราเป็นปุถุชน เราก็เรียนรู้ธรรมะที่จะทำให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบัน เอาแค่นี้ก็พอแล้ว ธรรมะที่จะทำให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบันได้ ถือศีล 5 ไว้ ขั้นแรกเลยต้องมีศีล ถ้าไม่มีศีล 5 เป็นไม่ได้หรอก จิตมันจะไหลไปทางบาปอกุศล ไปทำชั่ว ทำชั่วมันก็มีผลเป็นความทุกข์ ความวุ่นวาย ความไม่สงบสุข เราก็มาดู พระโสดาบันท่านเคารพในพระรัตนตรัยแน่นแฟ้น ไม่เคารพสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ฝากเป็นฝากตาย เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นเรื่องงมงาย เราก็ละวางเสีย
คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังของสติปัญญาพอ ก็เที่ยวนับถืออะไรต่ออะไรมั่วซั่วไปหมด ไปขุดเจอไม้ตะเคียนก็นับถือไม้ตะเคียน เจอจอมปลวกก็นับถือจอมปลวก บางพวกเจอภูเขา เห็นภูเขาหิมาลัย นับถือภูเขา นับถือแม่น้ำ นับถือต้นไม้ นับถือผีสางเทวดาอะไรพวกนี้ หวังว่านับถือแล้วชีวิตจะพ้นจากความทุกข์ มันพ้นไม่ได้หรอก ต้องถึงพระรัตนตรัยจริงๆ เราถึงจะเริ่มห่างทุกข์ออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งจิตใจเรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย อันนั้นล่ะเราพ้นทุกข์ได้จริง พ้นทุกข์ถาวร ถ้าจิตเรายังไม่รวมเข้ากับพระรัตนตรัย ยังไม่พ้นหรอก มันก็ยังอยู่กับโลก เป็นโลกที่ละเอียดหน่อย
พระโสดาบันท่านรู้อะไรอีก พระโสดาบันท่านรู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา เราอยากเป็นพระโสดาบัน เราก็มาเรียนรู้ธรรมะของพระโสดาบัน หลายๆ ข้อนี้ เอาที่สำคัญเลย ถือศีลไว้ก่อน แล้วก็หัดภาวนาไป สังเกตเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจเรา จริงหรือเปล่าที่สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ เฝ้ารู้ลงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก
อย่างเรานั่งภาวนา หายใจเข้าพุทหายใจออกโธอย่างนี้ แล้วเกิดอะไรแปลกปลอมขึ้นในจิตเรา เราก็ดูไป รู้สึกอยู่ ดูห่างๆ ดูเหมือนคนวงนอกไม่ถลำลงไปเพ่ง เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเห็นเรือแล่นไปในแม่น้ำ เราไม่โดดลงไปในน้ำ ไม่ไปว่ายน้ำ เราอยู่บนบก ฉะนั้นเวลาเราภาวนา ทำกรรมฐานของเราอยู่ แล้วมีอะไรแปลกปลอมขึ้น เราดูเหมือนเราดูเรือในแม่น้ำ ทั้งๆ ที่เราอยู่บนบก เราไม่ลงน้ำ เราก็จะเห็นเรือมันมา แล้วเรือมันก็ไป เรือลำนี้อาจจะคือความสุขที่ผ่านเข้ามาในใจ เราก็เห็นเรือความสุขนี้ผ่านมาแล้วเรือความสุขก็ผ่านไป เห็นเรือความทุกข์ผ่านมาแล้วเรือความทุกข์ก็ผ่านไป เราเป็นแค่คนดู เป็นคนวงนอก ถ้าเราไปอยู่ในเรือด้วย เราไปอินกับความสุขความทุกข์อะไรนี่ ดูอะไรไม่รู้เรื่อง หรือบางทีเรือโกรธมา เรือโลภมา เราเฝ้าดู มันเห็นเรือแต่ละลำผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป เราอยู่บนบก เราเป็นคนดูอยู่ต่างหาก
เฝ้ารู้เฝ้าดู 7 วัน 7 เดือน 7 ปี อะไรก็ภาวนา ดูสิ่งซึ่งมันผ่านเข้ามาในจิตแล้วมันก็ดับไป ผ่านเข้ามาแล้วมันก็ดับไป ดูซ้ำๆๆ อยู่อย่างนี้ล่ะ ไม่ต้องดิ้นรนค้นคว้าอะไรมากให้ฟุ้งซ่านหรอก ถ้าอยากให้รอบรู้มากมาย ใจจะเริ่มฟุ้งซ่าน ไม่ต้องรู้มาก พระโสดาบันไม่ได้รู้อะไรเยอะเลย พระโสดาบันรู้แค่ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา มันก็เหมือนเรานั่งดูเรืออยู่ริมแม่น้ำ เรือลำไหนมาเดี๋ยวมันก็ไป
ภาวนาอย่ารีบร้อน อย่ากระโดด อย่าข้ามขั้น
ฉะนั้นเฝ้ารู้เฝ้าดูสบายๆ ชิลๆ ดูสบายไป อย่าไปดูแล้วก็เครียดอะไรอย่างนี้ ตัวนี้ทำไมมาบ่อยนัก ทำไมตัวนี้ดีๆ ตัวนี้ไม่มา มีแต่ตัวชั่วๆ มา ตัวทุกข์ๆ มาอะไรอย่างนี้ อันนี้ดูแบบไม่เป็นกลาง ดูแบบมีลุ้น อยากให้เรือลำนั้นมา ไม่อยากให้เรือลำนี้มา ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่คนขับเรือ เรือมันจะมามันก็มา มันจะไปมันก็ไป เราสั่งมันไม่ได้ เราไม่ใช่เจ้าของเรือ สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เหมือนเรือไหลผ่านเข้ามาในใจเรา มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ความสุขของเรา ความทุกข์ของเรา ความดีความชั่วของเราที่เราจะสั่งได้ มันก็ไหลมาไหลไปๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป สบายๆ 7 วัน 7 เดือน 7 ปี บางคน 7 วัน หลวงพ่อเคยเห็น มีลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์องค์หนึ่ง แต่ไม่อยู่แล้ว องค์นี้ภาวนา แต่จะว่า 7 วันก็ไม่เชิงหรอก บวชได้ 7 วัน แต่ว่าก่อนบวชก็ภาวนา อยู่ทางกิ่งลำดวน อำเภอลำดวน ชาวบ้านๆ นี่ล่ะ มานั่งภาวนาในวัด วัดสาขาของหลวงปู่ ภาวนาเสร็จแล้วออกจากวัดมา จะกลับบ้านเดินออกมา จิตมันมีสมาธิมาก มองพื้นดินอยู่ สำรวมเดินระมัดระวัง ไม่เดินเอ้อระเหย มองโน่นมองนี่ ถึงเขายังไม่ได้เป็นพระ เขาก็สำรวม เพราะเขาภาวนา เดินเห็นพื้น จิตมันรวมปุ๊บลงไป มันมองทะลุแผ่นดินลงไป เปลือกโลกที่เราอาศัยอยู่บางนิดเดียว เทียบกับโลกทั้งโลก เปลือกโลกนี้บางกว่าไข่ไก่อีก บางกว่าเปลือกไข่ ก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย อันตรายมากเลย ข้างล่างเป็นของเหลวร้อนรุนแรง ใจก็รู้สึกว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน พร้อมเสี่ยงที่จะตายได้เสมอ เขาภาวนา สติปัญญา เขาเกิดจากการภาวนา ไม่ได้คิดเอาหรอก มันเห็นจริงๆ พอกลับบ้านไป ใจก็สลดสังเวช รู้สึกชีวิตนี้เป็นของไม่แน่นอน ไม่นานก็ต้องตาย
อีกวันหนึ่งก็ไปภาวนาที่วัดเดิมนั่นล่ะ ภาวนาแล้วก็เดินออกมา คราวนี้จิตมันไม่มองรูปธรรม วันแรกมันเห็นรูปธรรม เห็นโลก เห็นเปลือกโลก เห็นอะไร เห็นลาวาอยู่ข้างใน วันนี้จิตมันมองเข้าไปเห็นนามธรรม มองปุ๊บลงไป เห็นสัตว์ในนรก เห็นนรก คนรู้จักหลายคนเลย ตอนมีชีวิตอยู่เขาทำตัวไหม ทำผ้าไหม เมืองสุรินทร์มีชื่อเสียง เรื่องผ้าไหม ผ้าไหมเขาดีมากๆ เลย เห็นพวกนี้กำลังถูกต้มอยู่ ในหม้อใหญ่ๆ ในกระทะใหญ่ๆ ก็เลยรู้สึกชีวิตมันไม่ได้จบลงที่ตาย ชีวิตนี้หลังความตายก็ยังมีอีก อินทรีย์เขาแก่กล้าอย่างนี้ ออกมาบวช
มาบวชอยู่คืนวันที่ 7 จิตมันเข้าถึงความว่าง วางสภาวะทั้งหลายลงไปตามลำดับๆ เข้ามาถึงว่าง พอสว่างก็ไปถามหลวงตาซอม หลวงตาซอมท่านภาวนาเก่ง ว่าจิตผมเป็นอย่างไร หลวงตาซอมท่านบอกจิตมันเข้าถึงนิโรธ องค์นี้ท่านฟังแล้วท่านก็ไม่แล้วใจ เข้าถึงนิโรธ ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ฉันข้าวแล้วก็เดินตัดทุ่ง มาถามหลวงปู่ดูลย์ ไปเล่าให้ท่านบอก “ตอนนี้จิตผมถึงนิโรธ”หลวงปู่ดูลย์ท่านตวาดเอา “เฮ้ย นิร่งนิโรธอะไร” ถูกท่านตวาดทีเดียว จิตคลายความยึดถือความว่างๆ ลงไป จิตก็เข้าใจธรรมะที่มันพ้นจากความเกิดความตายขึ้นมาครั้งแรก ครั้งที่หนึ่ง ภาวนา เขาสะสม เขาบวชได้ 7 วันเองคนนี้ บางคนก็ภาวนากับหลวงปู่ 7 เดือน บางคนก็ 7 ปีอะไรอย่างนี้ บางคน 16 ปี
https://www.dhamma.com/successive-steps/
อยากเป็นพระโสดาบัน เราก็มาเรียนรู้ธรรมะของพระโสดาบัน
ในขณะนี้พวกเราเป็นปุถุชน เราก็เรียนรู้ธรรมะที่จะทำให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบัน เอาแค่นี้ก็พอแล้ว ธรรมะที่จะทำให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบันได้ ถือศีล 5 ไว้ ขั้นแรกเลยต้องมีศีล ถ้าไม่มีศีล 5 เป็นไม่ได้หรอก จิตมันจะไหลไปทางบาปอกุศล ไปทำชั่ว ทำชั่วมันก็มีผลเป็นความทุกข์ ความวุ่นวาย ความไม่สงบสุข เราก็มาดู พระโสดาบันท่านเคารพในพระรัตนตรัยแน่นแฟ้น ไม่เคารพสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ฝากเป็นฝากตาย เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นเรื่องงมงาย เราก็ละวางเสีย
คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังของสติปัญญาพอ ก็เที่ยวนับถืออะไรต่ออะไรมั่วซั่วไปหมด ไปขุดเจอไม้ตะเคียนก็นับถือไม้ตะเคียน เจอจอมปลวกก็นับถือจอมปลวก บางพวกเจอภูเขา เห็นภูเขาหิมาลัย นับถือภูเขา นับถือแม่น้ำ นับถือต้นไม้ นับถือผีสางเทวดาอะไรพวกนี้ หวังว่านับถือแล้วชีวิตจะพ้นจากความทุกข์ มันพ้นไม่ได้หรอก ต้องถึงพระรัตนตรัยจริงๆ เราถึงจะเริ่มห่างทุกข์ออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งจิตใจเรารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย อันนั้นล่ะเราพ้นทุกข์ได้จริง พ้นทุกข์ถาวร ถ้าจิตเรายังไม่รวมเข้ากับพระรัตนตรัย ยังไม่พ้นหรอก มันก็ยังอยู่กับโลก เป็นโลกที่ละเอียดหน่อย
พระโสดาบันท่านรู้อะไรอีก พระโสดาบันท่านรู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา เราอยากเป็นพระโสดาบัน เราก็มาเรียนรู้ธรรมะของพระโสดาบัน หลายๆ ข้อนี้ เอาที่สำคัญเลย ถือศีลไว้ก่อน แล้วก็หัดภาวนาไป สังเกตเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจเรา จริงหรือเปล่าที่สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ เฝ้ารู้ลงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก
อย่างเรานั่งภาวนา หายใจเข้าพุทหายใจออกโธอย่างนี้ แล้วเกิดอะไรแปลกปลอมขึ้นในจิตเรา เราก็ดูไป รู้สึกอยู่ ดูห่างๆ ดูเหมือนคนวงนอกไม่ถลำลงไปเพ่ง เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเห็นเรือแล่นไปในแม่น้ำ เราไม่โดดลงไปในน้ำ ไม่ไปว่ายน้ำ เราอยู่บนบก ฉะนั้นเวลาเราภาวนา ทำกรรมฐานของเราอยู่ แล้วมีอะไรแปลกปลอมขึ้น เราดูเหมือนเราดูเรือในแม่น้ำ ทั้งๆ ที่เราอยู่บนบก เราไม่ลงน้ำ เราก็จะเห็นเรือมันมา แล้วเรือมันก็ไป เรือลำนี้อาจจะคือความสุขที่ผ่านเข้ามาในใจ เราก็เห็นเรือความสุขนี้ผ่านมาแล้วเรือความสุขก็ผ่านไป เห็นเรือความทุกข์ผ่านมาแล้วเรือความทุกข์ก็ผ่านไป เราเป็นแค่คนดู เป็นคนวงนอก ถ้าเราไปอยู่ในเรือด้วย เราไปอินกับความสุขความทุกข์อะไรนี่ ดูอะไรไม่รู้เรื่อง หรือบางทีเรือโกรธมา เรือโลภมา เราเฝ้าดู มันเห็นเรือแต่ละลำผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป เราอยู่บนบก เราเป็นคนดูอยู่ต่างหาก
เฝ้ารู้เฝ้าดู 7 วัน 7 เดือน 7 ปี อะไรก็ภาวนา ดูสิ่งซึ่งมันผ่านเข้ามาในจิตแล้วมันก็ดับไป ผ่านเข้ามาแล้วมันก็ดับไป ดูซ้ำๆๆ อยู่อย่างนี้ล่ะ ไม่ต้องดิ้นรนค้นคว้าอะไรมากให้ฟุ้งซ่านหรอก ถ้าอยากให้รอบรู้มากมาย ใจจะเริ่มฟุ้งซ่าน ไม่ต้องรู้มาก พระโสดาบันไม่ได้รู้อะไรเยอะเลย พระโสดาบันรู้แค่ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา มันก็เหมือนเรานั่งดูเรืออยู่ริมแม่น้ำ เรือลำไหนมาเดี๋ยวมันก็ไป
ภาวนาอย่ารีบร้อน อย่ากระโดด อย่าข้ามขั้น
ฉะนั้นเฝ้ารู้เฝ้าดูสบายๆ ชิลๆ ดูสบายไป อย่าไปดูแล้วก็เครียดอะไรอย่างนี้ ตัวนี้ทำไมมาบ่อยนัก ทำไมตัวนี้ดีๆ ตัวนี้ไม่มา มีแต่ตัวชั่วๆ มา ตัวทุกข์ๆ มาอะไรอย่างนี้ อันนี้ดูแบบไม่เป็นกลาง ดูแบบมีลุ้น อยากให้เรือลำนั้นมา ไม่อยากให้เรือลำนี้มา ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่คนขับเรือ เรือมันจะมามันก็มา มันจะไปมันก็ไป เราสั่งมันไม่ได้ เราไม่ใช่เจ้าของเรือ สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เหมือนเรือไหลผ่านเข้ามาในใจเรา มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ความสุขของเรา ความทุกข์ของเรา ความดีความชั่วของเราที่เราจะสั่งได้ มันก็ไหลมาไหลไปๆ
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป สบายๆ 7 วัน 7 เดือน 7 ปี บางคน 7 วัน หลวงพ่อเคยเห็น มีลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์องค์หนึ่ง แต่ไม่อยู่แล้ว องค์นี้ภาวนา แต่จะว่า 7 วันก็ไม่เชิงหรอก บวชได้ 7 วัน แต่ว่าก่อนบวชก็ภาวนา อยู่ทางกิ่งลำดวน อำเภอลำดวน ชาวบ้านๆ นี่ล่ะ มานั่งภาวนาในวัด วัดสาขาของหลวงปู่ ภาวนาเสร็จแล้วออกจากวัดมา จะกลับบ้านเดินออกมา จิตมันมีสมาธิมาก มองพื้นดินอยู่ สำรวมเดินระมัดระวัง ไม่เดินเอ้อระเหย มองโน่นมองนี่ ถึงเขายังไม่ได้เป็นพระ เขาก็สำรวม เพราะเขาภาวนา เดินเห็นพื้น จิตมันรวมปุ๊บลงไป มันมองทะลุแผ่นดินลงไป เปลือกโลกที่เราอาศัยอยู่บางนิดเดียว เทียบกับโลกทั้งโลก เปลือกโลกนี้บางกว่าไข่ไก่อีก บางกว่าเปลือกไข่ ก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย อันตรายมากเลย ข้างล่างเป็นของเหลวร้อนรุนแรง ใจก็รู้สึกว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน พร้อมเสี่ยงที่จะตายได้เสมอ เขาภาวนา สติปัญญา เขาเกิดจากการภาวนา ไม่ได้คิดเอาหรอก มันเห็นจริงๆ พอกลับบ้านไป ใจก็สลดสังเวช รู้สึกชีวิตนี้เป็นของไม่แน่นอน ไม่นานก็ต้องตาย
อีกวันหนึ่งก็ไปภาวนาที่วัดเดิมนั่นล่ะ ภาวนาแล้วก็เดินออกมา คราวนี้จิตมันไม่มองรูปธรรม วันแรกมันเห็นรูปธรรม เห็นโลก เห็นเปลือกโลก เห็นอะไร เห็นลาวาอยู่ข้างใน วันนี้จิตมันมองเข้าไปเห็นนามธรรม มองปุ๊บลงไป เห็นสัตว์ในนรก เห็นนรก คนรู้จักหลายคนเลย ตอนมีชีวิตอยู่เขาทำตัวไหม ทำผ้าไหม เมืองสุรินทร์มีชื่อเสียง เรื่องผ้าไหม ผ้าไหมเขาดีมากๆ เลย เห็นพวกนี้กำลังถูกต้มอยู่ ในหม้อใหญ่ๆ ในกระทะใหญ่ๆ ก็เลยรู้สึกชีวิตมันไม่ได้จบลงที่ตาย ชีวิตนี้หลังความตายก็ยังมีอีก อินทรีย์เขาแก่กล้าอย่างนี้ ออกมาบวช
มาบวชอยู่คืนวันที่ 7 จิตมันเข้าถึงความว่าง วางสภาวะทั้งหลายลงไปตามลำดับๆ เข้ามาถึงว่าง พอสว่างก็ไปถามหลวงตาซอม หลวงตาซอมท่านภาวนาเก่ง ว่าจิตผมเป็นอย่างไร หลวงตาซอมท่านบอกจิตมันเข้าถึงนิโรธ องค์นี้ท่านฟังแล้วท่านก็ไม่แล้วใจ เข้าถึงนิโรธ ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ฉันข้าวแล้วก็เดินตัดทุ่ง มาถามหลวงปู่ดูลย์ ไปเล่าให้ท่านบอก “ตอนนี้จิตผมถึงนิโรธ”หลวงปู่ดูลย์ท่านตวาดเอา “เฮ้ย นิร่งนิโรธอะไร” ถูกท่านตวาดทีเดียว จิตคลายความยึดถือความว่างๆ ลงไป จิตก็เข้าใจธรรมะที่มันพ้นจากความเกิดความตายขึ้นมาครั้งแรก ครั้งที่หนึ่ง ภาวนา เขาสะสม เขาบวชได้ 7 วันเองคนนี้ บางคนก็ภาวนากับหลวงปู่ 7 เดือน บางคนก็ 7 ปีอะไรอย่างนี้ บางคน 16 ปี
https://www.dhamma.com/successive-steps/