หลังจากเพื่อนย้ายไปอยู่กับสามี พวกเราก็ทำงานหนักขึ้นเพราะขาดคนงาน
หนึ่งเดือนมีวันหยุดแค่ 1 วัน
สองผัวเมียผีน้อย ก็เริ่มมองหาที่ทำงานใหม่ ช่วงนั้นโควิดก็ค่อนข้างหนัก ออกไปไหนก็ไม่ได้ ช่วงนั้นเครียดทั้งกับงาน ทั้งกับโควิด
วีซ่าทำงานก็จะหมดแล้ว ถ้าครบ 3 ปีแล้ว สามารถต่อได้อีก 1 ปี 10 เดือน
แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ณ ตอนนั้น เลยตัดสินใจไม่ต่อวีซ่า เลยลงชื่อเดินทางกลับไทยกับสถานทูตไทย
ช่วงนั้นโควิดหนัก ถ้าจะกลับไทยต้องลงจองคิวกับสถานทูตไทยในเกาหลี และเราโอนเงินให้สถานทูต
สถานทูตจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้ และเตรียมโรงแรมสำหรับกักตัวที่ไทยไว้ให้
คือตอนนั้นต้องเดินเรื่องเองทุกอย่างเลย โทรสอบถามทุกคนทั้ง
เจ้าหน้าที่ ที่เป็นล่ามไทย ทั้งเพื่อนๆคนไทยที่รู้จัก
ว่าต้องทำยังไงบ้างถ้าจะกลับไทย ตอนนั้นนายจ้างไม่ช่วยดำเนินเรื่องอะไรเลย
พอได้ตั๋วจากสถานทูต รู้วันเดินทางแล้ว ก็บอกนายจ้างว่าจะลาออก แล้วก็ขอหยุดงานวันหนึ่ง เพื่อเดินทางไปยื่นเอกสารเรื่องเงินต่างๆ
เงินหักฝาก เงินบำเน็จ บำนาญ ต่างๆ เราต้องไปเดินเรื่องยื่นเอกสารที่ธนาคาร ธนาคารบางแห่งจะมีล่ามคนไทยให้บริการ
ซึ่งธนาคารที่มีล่ามไทย ห่างจากที่ทำงานของเรามาก เราเลยขอลางาน 1 วัน แต่นายจ้างไม่ยอมให้ลา
เราเลยโทรหาล่ามให้ช่วยคุยให้ สรุปให้ลางานแค่ครึ่งบ่าย ครึ่งวันเช้าต้องมาทำงาน
ก็เลยโทรนัดวันกับธนาคารว่าจะเข้าไปยื่นเอกสาร
วันนัดพบ เจ้าหน้าที่ธนาคารโทรตามเราหลายรอบมาก ว่าใกล้ถึงหรือยัง ธนาคารจะปิดแล้ว
เราก็เลยอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง ขอร้องให้เขารออีกแปปหนึ่ง พี่เขาก็ยอมรอ
พอไปถึงธนาคาร พนักงานหน้าบึ้งมากกก แต่ก็ยอมช่วยคีย์เอกสารต่างให้ พนักงานทุกคนเป็นคนเกาหลี มีพนักงานคนไทยแค่คนเดียว และทุกคนรอเราแค่คนเดียว
พนักงานคนไทยก็เลยถามว่า "ทำไมน้องมาช้าจังเลยคะ"
"ขอโทษค่ะ นายจ้างให้ลาแค่ครึ่งวันค่ะ แล้วจากบ้านมาธนาคารใช้เวลาเดินทาง 2 ชม. แล้วก็ไม่รู้จักทางพึ่งเคยมาครั้งแรกค่ะ"
เขาก็คงเห็นใจแหละ เขาก็เลยถามรายละเอียดต่างๆ แล้วก็ช่วยโทรประสานงานและเดินเรื่องเอกสารที่เหลือให้
ทุกอย่างเรียบร้อย เหลือแค่ถ้าเราเดินทางถึงไทย ให้ถ่ายรูปตราประทับในพาสปอต ยืนยันว่าเรากลับถึงไทยจริงๆ
แล้วทางเจ้าหน้าที่ก็จะโอนเงินเข้าบัญชีให้
รอวันกลับไทย ถามว่าเสียดายไหม ที่ไม่ต่อสัญญา ตอนนั้นตอบได้ทันทีเลยว่าไม่
ก่อนกลับไทยเพื่อนแวะมารับ ไปค้างที่บ้าน สามีนางไปทำงานต่างจังหวัด วันกลับเพื่อนสามีนางขับรถไปส่งที่สนามบิน
วันเดินทาง ออกเร็วหน่อย เพราะต้องตรวจโควิดก่อนขึ้นเครื่องที่สนามบิน
พอถึงสนามบินที่ไทยจะมีเจ้าหน้าที่มารับไปขึ้นรถบัส และมีรถมอไซต์ นำขบวน พาไปส่งที่โรงแรมเพื่อกักตัว
ได้พักโรงแรม 3 ดาว ย่านสุขุมวิท ถือว่าดีเลยทีเดียว กักตัว 14 วัน หลังจากนั้นก็เดินทางต่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
การไปทำงานต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก ทั้งดี ทั้งแย่ ทั้งจากผู้คน จากการทำงาน
ถ้าถามว่าดีไหมไปทำงานที่เกาหลี บอกเลยตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าได้อะไรบ้าง ตอบเลยว่าได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก
เป็นประสบการณ์ที่ถ้าอยู่ไทยจะไม่มีวันได้เรียนรู้เลย
หลังจากกลับมาถึงไทยเราก็สมัครงานไปทำงานที่ญี่ปุ่นกับบริษัทจัดหางานแห่งหนึ่ง
ต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่น 3 เดือน เราก็ไปเรียน แต่ทางบริษัทไม่
รับประกันงานเพราะโควิดยังหนักอยู่ หลายๆประเทศก็ยังไม่เปิดประเทศ
ระหว่างเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ บริษัทก็ส่งคนไปทำงานโปรตุเกสด้วย แล้วก็เป็นประเทศเดียวที่เปิดรับคนงาน ณ ตอนนั้น
มีคนแนะนำ ให้ลองไปโปรตุเกสดู เลยเริ่มหาข้อมูล งานเกษตรที่โปรตุเกส สอบถามจากหลายๆบริษัท จนรู้ว่ามีงานนี้จริงๆ ไม่ถูกหลอกแน่นอน
เลยสมัครงานประเทศโปรตุเกสไว้ด้วย ถ้าประเทศไหนติดต่อกลับมาก่อน ก็จะไปที่นั้น
ณ ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่เปิดประเทศ
เลยได้งานที่ประเทศโปรตุเกส เป็นงานเก็บราชเบอร์รี่
เป็นบริษัทจัดหางานเอกชน เลยต้องจ่ายค่าเดินเรื่อง ต่อคนประมาณ 2××,××× บาท
เราไปกับน้องสาว 2 คน ค่าเดินเรื่องสำหรับ 2 คนก็ค่อนข้างแรงอยู่
แต่ตัดสินใจไปแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ
ไปทำงานเก็บผลไม้ที่โปรตุเกส ไม่ต้องเรียนภาษา แค่สมัคร ยื่นเอกสาร รองานจากทางโปรตุเกส วีซ่าออก
เดินทางได้เลย
งานที่โปรตุเกส ต่างจากเกาหลีมากกก เป็นประสบการณ์ ชีวิตที่แบบ "อิหยังว่ะ"
เหตุการณ์ ค่อนข้าง อิรุงตุงนังมาก ไว้กระทู้หน้า จะมาเล่า "การทำงานเกษตร ที่โปรตุเกส " ให้ฟัง
" bye bye เกาหลี ถ้ามีโอกาสครั้งหน้าหวังว่าจะได้เจอกันอีกน่ะ"
Bye Bye แรงงานไทยในเกาหลี
หนึ่งเดือนมีวันหยุดแค่ 1 วัน
สองผัวเมียผีน้อย ก็เริ่มมองหาที่ทำงานใหม่ ช่วงนั้นโควิดก็ค่อนข้างหนัก ออกไปไหนก็ไม่ได้ ช่วงนั้นเครียดทั้งกับงาน ทั้งกับโควิด
วีซ่าทำงานก็จะหมดแล้ว ถ้าครบ 3 ปีแล้ว สามารถต่อได้อีก 1 ปี 10 เดือน
แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ณ ตอนนั้น เลยตัดสินใจไม่ต่อวีซ่า เลยลงชื่อเดินทางกลับไทยกับสถานทูตไทย
ช่วงนั้นโควิดหนัก ถ้าจะกลับไทยต้องลงจองคิวกับสถานทูตไทยในเกาหลี และเราโอนเงินให้สถานทูต
สถานทูตจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้ และเตรียมโรงแรมสำหรับกักตัวที่ไทยไว้ให้
คือตอนนั้นต้องเดินเรื่องเองทุกอย่างเลย โทรสอบถามทุกคนทั้ง
เจ้าหน้าที่ ที่เป็นล่ามไทย ทั้งเพื่อนๆคนไทยที่รู้จัก
ว่าต้องทำยังไงบ้างถ้าจะกลับไทย ตอนนั้นนายจ้างไม่ช่วยดำเนินเรื่องอะไรเลย
พอได้ตั๋วจากสถานทูต รู้วันเดินทางแล้ว ก็บอกนายจ้างว่าจะลาออก แล้วก็ขอหยุดงานวันหนึ่ง เพื่อเดินทางไปยื่นเอกสารเรื่องเงินต่างๆ
เงินหักฝาก เงินบำเน็จ บำนาญ ต่างๆ เราต้องไปเดินเรื่องยื่นเอกสารที่ธนาคาร ธนาคารบางแห่งจะมีล่ามคนไทยให้บริการ
ซึ่งธนาคารที่มีล่ามไทย ห่างจากที่ทำงานของเรามาก เราเลยขอลางาน 1 วัน แต่นายจ้างไม่ยอมให้ลา
เราเลยโทรหาล่ามให้ช่วยคุยให้ สรุปให้ลางานแค่ครึ่งบ่าย ครึ่งวันเช้าต้องมาทำงาน
ก็เลยโทรนัดวันกับธนาคารว่าจะเข้าไปยื่นเอกสาร
วันนัดพบ เจ้าหน้าที่ธนาคารโทรตามเราหลายรอบมาก ว่าใกล้ถึงหรือยัง ธนาคารจะปิดแล้ว
เราก็เลยอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง ขอร้องให้เขารออีกแปปหนึ่ง พี่เขาก็ยอมรอ
พอไปถึงธนาคาร พนักงานหน้าบึ้งมากกก แต่ก็ยอมช่วยคีย์เอกสารต่างให้ พนักงานทุกคนเป็นคนเกาหลี มีพนักงานคนไทยแค่คนเดียว และทุกคนรอเราแค่คนเดียว
พนักงานคนไทยก็เลยถามว่า "ทำไมน้องมาช้าจังเลยคะ"
"ขอโทษค่ะ นายจ้างให้ลาแค่ครึ่งวันค่ะ แล้วจากบ้านมาธนาคารใช้เวลาเดินทาง 2 ชม. แล้วก็ไม่รู้จักทางพึ่งเคยมาครั้งแรกค่ะ"
เขาก็คงเห็นใจแหละ เขาก็เลยถามรายละเอียดต่างๆ แล้วก็ช่วยโทรประสานงานและเดินเรื่องเอกสารที่เหลือให้
ทุกอย่างเรียบร้อย เหลือแค่ถ้าเราเดินทางถึงไทย ให้ถ่ายรูปตราประทับในพาสปอต ยืนยันว่าเรากลับถึงไทยจริงๆ
แล้วทางเจ้าหน้าที่ก็จะโอนเงินเข้าบัญชีให้
รอวันกลับไทย ถามว่าเสียดายไหม ที่ไม่ต่อสัญญา ตอนนั้นตอบได้ทันทีเลยว่าไม่
ก่อนกลับไทยเพื่อนแวะมารับ ไปค้างที่บ้าน สามีนางไปทำงานต่างจังหวัด วันกลับเพื่อนสามีนางขับรถไปส่งที่สนามบิน
วันเดินทาง ออกเร็วหน่อย เพราะต้องตรวจโควิดก่อนขึ้นเครื่องที่สนามบิน
พอถึงสนามบินที่ไทยจะมีเจ้าหน้าที่มารับไปขึ้นรถบัส และมีรถมอไซต์ นำขบวน พาไปส่งที่โรงแรมเพื่อกักตัว
ได้พักโรงแรม 3 ดาว ย่านสุขุมวิท ถือว่าดีเลยทีเดียว กักตัว 14 วัน หลังจากนั้นก็เดินทางต่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
การไปทำงานต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก ทั้งดี ทั้งแย่ ทั้งจากผู้คน จากการทำงาน
ถ้าถามว่าดีไหมไปทำงานที่เกาหลี บอกเลยตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าได้อะไรบ้าง ตอบเลยว่าได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก
เป็นประสบการณ์ที่ถ้าอยู่ไทยจะไม่มีวันได้เรียนรู้เลย
หลังจากกลับมาถึงไทยเราก็สมัครงานไปทำงานที่ญี่ปุ่นกับบริษัทจัดหางานแห่งหนึ่ง
ต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่น 3 เดือน เราก็ไปเรียน แต่ทางบริษัทไม่
รับประกันงานเพราะโควิดยังหนักอยู่ หลายๆประเทศก็ยังไม่เปิดประเทศ
ระหว่างเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ บริษัทก็ส่งคนไปทำงานโปรตุเกสด้วย แล้วก็เป็นประเทศเดียวที่เปิดรับคนงาน ณ ตอนนั้น
มีคนแนะนำ ให้ลองไปโปรตุเกสดู เลยเริ่มหาข้อมูล งานเกษตรที่โปรตุเกส สอบถามจากหลายๆบริษัท จนรู้ว่ามีงานนี้จริงๆ ไม่ถูกหลอกแน่นอน
เลยสมัครงานประเทศโปรตุเกสไว้ด้วย ถ้าประเทศไหนติดต่อกลับมาก่อน ก็จะไปที่นั้น
ณ ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่เปิดประเทศ
เลยได้งานที่ประเทศโปรตุเกส เป็นงานเก็บราชเบอร์รี่
เป็นบริษัทจัดหางานเอกชน เลยต้องจ่ายค่าเดินเรื่อง ต่อคนประมาณ 2××,××× บาท
เราไปกับน้องสาว 2 คน ค่าเดินเรื่องสำหรับ 2 คนก็ค่อนข้างแรงอยู่
แต่ตัดสินใจไปแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ
ไปทำงานเก็บผลไม้ที่โปรตุเกส ไม่ต้องเรียนภาษา แค่สมัคร ยื่นเอกสาร รองานจากทางโปรตุเกส วีซ่าออก
เดินทางได้เลย
งานที่โปรตุเกส ต่างจากเกาหลีมากกก เป็นประสบการณ์ ชีวิตที่แบบ "อิหยังว่ะ"
เหตุการณ์ ค่อนข้าง อิรุงตุงนังมาก ไว้กระทู้หน้า จะมาเล่า "การทำงานเกษตร ที่โปรตุเกส " ให้ฟัง
" bye bye เกาหลี ถ้ามีโอกาสครั้งหน้าหวังว่าจะได้เจอกันอีกน่ะ"