ระวัง! อาชญากรรมออนไลน์ ใช้ AI หลอกให้ตกเป็นเหยื่อ สถิติรับแจ้งความปี 66 เพิ่มกว่า 20%
อาชญากรรมออนไลน์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยมิจฉาชีพจะใช้กลโกงต่างๆ เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงิน เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือคลิกลิงก์อันตราย ซึ่งในปัจจุบัน มิจฉาชีพได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการสร้างกลลวงออนไลน์ ซึ่งทำให้กลลวงเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยากต่อการสังเกตว่าปลอมหรือไม่
ตัวอย่างการใช้ AI ในอาชญากรรมออนไลน์
1. การสร้างแอ็กเคานต์ปลอม มิจฉาชีพจะใช้ AI สร้างแอ็กเคานต์ปลอมขึ้นมา โดยสร้างทั้งรูปภาพและคลิปวิดีโอให้ดูสมจริง โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
1.1 ใช้ AI สร้างรูปภาพหรือคลิปวิดีโอจากภาพหรือคลิปวิดีโอที่มีอยู่จริง เช่น การนำรูปภาพหรือคลิปวิดีโอของบุคคลอื่นมาตัดต่อ หรือนำรูปภาพหรือคลิปวิดีโอจากอินเทอร์เน็ตมาประกอบกัน
1.2 ใช้ AI สร้างรูปภาพหรือคลิปวิดีโอขึ้นมาใหม่ โดยกำหนดลักษณะใบหน้า ร่างกาย หรือสภาพแวดล้อมได้ตามต้องการ
2. การสร้างข้อความปลอม มิจฉาชีพสามารถใช้ AI เพื่อสร้างข้อความปลอมขึ้นมาได้ โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
2.1 ใช้ AI เลียนแบบรูปแบบการเขียนของบุคคลอื่น เช่น การใช้คำศัพท์ การใช้สำนวน หรือการใช้อารมณ์ความรู้สึก
2.2 ใช้ AI เขียนข้อความที่มีลักษณะคล้ายกับข้อความที่มนุษย์เขียนเอง
3. การสร้างเสียงปลอม มิจฉาชีพสามารถใช้ AI เพื่อสร้างเสียงปลอมขึ้นมาได้ โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
3.1 ใช้ AI เลียนแบบเสียงของบุคคลอื่น เช่น เสียงของบุคคลมีชื่อเสียงหรือคนในครอบครัว
3.2 ใช้ AI พูดข้อความที่มีลักษณะคล้ายกับเสียงที่มนุษย์พูดเอง
สถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนผู้เสียหายเข้าแจ้งความออนไลน์รวมทั้งสิ้น 165,238 คดี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ประมาณ 20% โดยรูปแบบคดีที่มีจำนวนการแจ้งความมากที่สุด อันดับ 1 ยังคงเป็น "การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์" มีจำนวนกว่า 150,000 คดี คิดเป็นร้อยละ 43.4 ของจำนวนคดีทั้งหมด ส่วนรูปแบบคดีที่มีความเสียหายรวมสูงที่สุด อันดับ 1 คือ "หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์" มีความเสียหายรวมกว่า 16,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด
วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์ที่ใช้ AI
1. หมั่นตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา ก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ข้อมูลใดๆ บนอินเทอร์เน็ต
2. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก
3. อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากบุคคลที่ไม่รู้จัก
4. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์ไว้บนอุปกรณ์เสมอ
5. อัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์อยู่เสมอ
นอกจากนี้ ประชาชนควรสร้างรหัสลับขึ้นมาในครอบครัว เพื่อใช้ในการตรวจสอบตัวตนของบุคคลที่ติดต่อเข้ามา เช่น หากมีเบอร์โทรศัพท์ของแม่โทร. เข้ามา ก็สามารถถามรหัสลับที่รู้กันสองคนว่า เรียนโรงเรียนอะไร ของที่ชอบกินคืออะไร ซึ่งเรื่องนี้มิจฉาชีพจะไม่รู้
หากพบเห็นการฉ้อโกงหรือการกระทำผิดทางออนไลน์ ประชาชนสามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือสำนักงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กอ.รมน.)
อาชญากรรมออนไลน์ที่ใช้ AI กำลังเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ประชาชนจึงควรระมัดระวังในการรับข้อมูลหรือติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่ไม่รู้จักทางออนไลน์ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาก่อนเชื่อหรือแชร์ข้อมูลใดๆ
ระวัง! อาชญากรรมออนไลน์ ใช้ AI หลอกให้ตกเป็นเหยื่อ สถิติรับแจ้งความปี 66 เพิ่มกว่า 20%
อาชญากรรมออนไลน์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยมิจฉาชีพจะใช้กลโกงต่างๆ เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงิน เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือคลิกลิงก์อันตราย ซึ่งในปัจจุบัน มิจฉาชีพได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการสร้างกลลวงออนไลน์ ซึ่งทำให้กลลวงเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยากต่อการสังเกตว่าปลอมหรือไม่
ตัวอย่างการใช้ AI ในอาชญากรรมออนไลน์
1. การสร้างแอ็กเคานต์ปลอม มิจฉาชีพจะใช้ AI สร้างแอ็กเคานต์ปลอมขึ้นมา โดยสร้างทั้งรูปภาพและคลิปวิดีโอให้ดูสมจริง โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
1.1 ใช้ AI สร้างรูปภาพหรือคลิปวิดีโอจากภาพหรือคลิปวิดีโอที่มีอยู่จริง เช่น การนำรูปภาพหรือคลิปวิดีโอของบุคคลอื่นมาตัดต่อ หรือนำรูปภาพหรือคลิปวิดีโอจากอินเทอร์เน็ตมาประกอบกัน
1.2 ใช้ AI สร้างรูปภาพหรือคลิปวิดีโอขึ้นมาใหม่ โดยกำหนดลักษณะใบหน้า ร่างกาย หรือสภาพแวดล้อมได้ตามต้องการ
2. การสร้างข้อความปลอม มิจฉาชีพสามารถใช้ AI เพื่อสร้างข้อความปลอมขึ้นมาได้ โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
2.1 ใช้ AI เลียนแบบรูปแบบการเขียนของบุคคลอื่น เช่น การใช้คำศัพท์ การใช้สำนวน หรือการใช้อารมณ์ความรู้สึก
2.2 ใช้ AI เขียนข้อความที่มีลักษณะคล้ายกับข้อความที่มนุษย์เขียนเอง
3. การสร้างเสียงปลอม มิจฉาชีพสามารถใช้ AI เพื่อสร้างเสียงปลอมขึ้นมาได้ โดยอาจใช้วิธีการดังนี้
3.1 ใช้ AI เลียนแบบเสียงของบุคคลอื่น เช่น เสียงของบุคคลมีชื่อเสียงหรือคนในครอบครัว
3.2 ใช้ AI พูดข้อความที่มีลักษณะคล้ายกับเสียงที่มนุษย์พูดเอง
สถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนผู้เสียหายเข้าแจ้งความออนไลน์รวมทั้งสิ้น 165,238 คดี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ประมาณ 20% โดยรูปแบบคดีที่มีจำนวนการแจ้งความมากที่สุด อันดับ 1 ยังคงเป็น "การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์" มีจำนวนกว่า 150,000 คดี คิดเป็นร้อยละ 43.4 ของจำนวนคดีทั้งหมด ส่วนรูปแบบคดีที่มีความเสียหายรวมสูงที่สุด อันดับ 1 คือ "หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์" มีความเสียหายรวมกว่า 16,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด
วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมออนไลน์ที่ใช้ AI
1. หมั่นตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา ก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ข้อมูลใดๆ บนอินเทอร์เน็ต
2. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก
3. อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากบุคคลที่ไม่รู้จัก
4. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์ไว้บนอุปกรณ์เสมอ
5. อัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์อยู่เสมอ
นอกจากนี้ ประชาชนควรสร้างรหัสลับขึ้นมาในครอบครัว เพื่อใช้ในการตรวจสอบตัวตนของบุคคลที่ติดต่อเข้ามา เช่น หากมีเบอร์โทรศัพท์ของแม่โทร. เข้ามา ก็สามารถถามรหัสลับที่รู้กันสองคนว่า เรียนโรงเรียนอะไร ของที่ชอบกินคืออะไร ซึ่งเรื่องนี้มิจฉาชีพจะไม่รู้
หากพบเห็นการฉ้อโกงหรือการกระทำผิดทางออนไลน์ ประชาชนสามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือสำนักงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กอ.รมน.)
อาชญากรรมออนไลน์ที่ใช้ AI กำลังเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ประชาชนจึงควรระมัดระวังในการรับข้อมูลหรือติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่ไม่รู้จักทางออนไลน์ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาก่อนเชื่อหรือแชร์ข้อมูลใดๆ