สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะมาลองแชร์ประสบการณ์การฝึกงานของผม ที่ผมไปเจอกับเรื่องแปลกๆมา
ตอนช่วงฝึกงาน ตอนนั้นเป็นช่วงปี 4 เทอม 2 ทางมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่มีวิชาฝึกงาน ซึ่งผมที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีจึงเลือกที่ที่ใกล้ๆมหาลัย
ในขณะที่เพื่อนๆผมไปฝึกทำงานกันที่ต่างจังหวัด ช่วงแรกผมก็รู้สึกไม่มั่นใจในการตัดสินใจว่าเลือกถูกที่หรือเปล่า แต่หลังจากที่ผมพบเจอเรื่องแปลกๆผมก็รู้สึกว่า เป็นประสบการณ์ที่แปลกและน่าตื่นเต้นดี
โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่กลัวผี ผมสามารถเดินออกไปข้างนอกไกลๆในเวลากลางคืนได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่ผี แต่ผมกลัวหมากับโจรหรือพวกคนเมามากกว่า ในตัวเมืองที่ผมฝึกงานก็ค่อนข้างจะมีร้านเหล้า ผับเยอะพอสมควร ผมจึงไม่ค่อยกล้าจะที่จะไปไหนมาไหนเท่าไรงานที่ผมทำหรือฝึกเป็นงานเกี่ยวกับพวกเอกสาร และงานออฟฟิสปกติ แต่ถ้าจะให้พิเศษหน่อยก็คงเพราะว่างานส่วนใหญ่มันไม่ใช่งานของพวกเราเอง แต่เป็นงานเอกสารของโรงพยาบาลซะมากกว่า คือผมมาฝึกงานเอกสารของโรงพยาบาลน่ะ งานของผมส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากก็เป็นงานเอกสารปกติ แต่จุดที่ผมทำงานเป็นตึกที่แยกกันกับโรงพยาบาลนะครับ
ตั้งแต่วันที่ผมเข้ามาฝึกงานผมจะอยู่กับพี่ที่คอยดูแลผมพี่เขาชื่อกร พี่กรเป็นคนใจดีและfriendly สุดๆ เวลาเขาเจอใครเขาก็จะทักทาย เหมือนกับว่าเขาจะรู้จักทุกคน ส่วนตัวผมที่ค่อนข้างจะเป็น introvert เลยไม่ค่อยกล้าไหว้ใคร หรือคุยกับใครมานัก มันจึงเป็นความกดดันในใจเวลาจะไปคุยหรือส่งเอกสารให้ใครแต่พี่กรเขาก็จะให้งานผมประมาณนั้นบ่อยๆ จนตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว แต่ตอนที่ยังฝึกงานอยู่ เหมือนกับหลายๆคนเขาจะไม่ค่อยสนใจผม ซึ่งก็ดีแล้วแต่ก็ยังเป็นความรู้สึกแปลกๆของผมอยู่ดี ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาฝึกงาน ผมก็ได้รู้วิถีชีวิตของคนในออฟฟิสนี้ ก็คือทำงานจันทร์ถึงศุกร์ หยุดตามวันปกติทำงาน 8.30 ถึง 16.30 ซึ่งแตกต่างกับทางโรงพยาบาลที่ส่วนมากเข้างาน 8.00 ถึง 16.00 แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไร ตัวผมด้วยความที่เป็นเด็กฝึกงานจึงไม่ค่อยได้ทำงานอะไรมาก และพอถึงเวลา พี่กรก็จะบอกให้กลับได้เลย ด้วยความที่ผมไม่ค่อยรู้สึกสบายใจเวลาออกจากบ้าน หรือไม่ได้อยู่ห้องตัวเองเท่าไรผมจึงจะรีบกลับบ้านทันทีเมื่อถึงเวลา จนหลังๆพี่กรไม่ต้องเรียกแล้ว ถึงเวลาเมื่อไร ผมก็จะกลับบ้านทันที แต่พี่กร ในอีกกรณี เขาเป็นคนที่มาเช้ามากๆ ผมคิดว่า
เขาน่าจะมาตั้งแต่ 7.00 โมงถ้าไม่ใช่ว่ามาก่อนหน้านั้น แล้วเวลากลับเขาก็จะกลับคนสุดท้าย เพราะคนส่วนใหญ่ก็จะตามๆกันออกมาเมื่อถึงเวลา 16.30
แต่พี่กร เขาจะออกจากที่ทำงานตอน 17.30-18.00 ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำอะไร แต่ด้วยความที่พี่กรเขามีงานเยอะ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายหรือเปล่าจนถึงตอนจบฝึก ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นหัวหน้าฝ่ายงานกันแน่ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วล่ะ
ระยะเวลากลางๆช่วงฝึกนั้น ผมก็ได้พบกับเรื่องประหลาดๆอย่างเช่นผมจะเห็นแมงมุม อยู่ในห้องครัวแผนกบ่อยๆ ทั้งๆที่ที่นี้เป็นฝ่ายเอกสารของโรงพยาบาล ซึ่งมีคนทำความสะอาดเดินไปเดินมาบ่อยมากๆ ตัวผมก็ไม่เคยได้เข้าห้องครัวสักครั้ง ด้วยความที่เป็นเด็กฝึกงาน ผมจะชอบไปหาข้าวเที่ยงกินเอง ในร้านที่ไม่ค่อยมีคน ผมจะได้กินข้าวเงียบๆไวๆ แต่ผมก็ได้เคยถูกชวนไปกินข้าวด้วยกันกับพวกคนอื่นๆในแผนก ซึ่งต้องอธิบายก่อนว่า ออฟฟิสที่ผมฝึกงานจะเป็นห้องใหญ่ๆ ที่มีประตูเข้ามาเป็นประชาสัมพันธ์ หรือโต๊ะต้อนรับ ที่ผมกับพี่กรทำงานกัน เหมือนกับเป็นคนที่รับเรื่องทั่วไป ที่เป็นคนที่รับเรื่องก่อนแต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราเราก็จะให้เขาเข้าไปส่งเรื่องในออฟฟิส ที่จะเป็นเหมือนโต๊ะทำงานกั้นๆๆ เป็นกลุ่มๆ แล้วก็มีแผนก 3 แผนกติดกัน แต่มีทางเดินเข้าแบ่งแแผนกกันถ้าออกประตูไป ทางขวาจะเป็นห้องของฝ่ายบริหาร ซึ่งจะเป็นที่ที่คนใหญ่ๆ เขาจะอยู่ในห้องตัวเอง กับออฟฟิสฝ่ายบริหาร ซึ่งผมจะรู้สึกกดดันทุกครั้งที่เข้าไปส่งเอกสารตรงข้ามห้องฝ่ายบริหารเป็น ลิฟท์ 3 ตัว และจะมีบันไดหนีไฟ ที่คนที่นี้ใช้กันเป็นปกติแทนบันได เพราะชั้นที่ผมทำงานก็แค่ชั้นสอง กว่าลิฟจะมาถึงผมก็ขึ้นบันไดถึงชั้นสองแล้วแต่สุดหัวมุมทางเดิน ก็จะมีห้องแปลกๆ ที่เป็นประตูไม้ ประตูเกือบทั้งหมดในตึกจะเป็นประตูกระจก ซึ่งมองทะลุได้ แต่ห้องนี้มันแปลกออกไป ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าห้องนี้เป็นห้องอะไรของใคร ข้างในมีอะไรอยู่ ผมเคยสงสัยและเดินไปจะเปิดประตู แต่มันจะล็อคตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่เคยถามพี่กร เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่สำคัญกับงานของผม ประตูห้องนี้จะมีรอยเปิดประตูข้างล่างประตู ทำให้รู้ได้ว่าประตูนี้มันเปิดแล้วติดพื้นบ่อยๆ มันทำให้ผมคิดว่า เขาน่าจะเปิดปิดกันบ่อยๆเมื่อก่อน เพราะตั้งแต่ผมอยู่มา ผมเคยเห็นคนออกจากประตูคนเดียว เป็นผู้ชายใส่สูตร ดูเป็นคนใหญ่คนโตแต่ผมก็ไม่รู้จักเขาหรอก ผู้ชายคนนั้นถือกระเป๋าถือสี่เหลี่ยมๆสีดำ ออกมาจากห้องด้วย และก็เคยเห็นมันเปิดจากตอนที่ผมออกจากลิฟท์ก่อนที่มันจะปิดลง หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นใครออกมา หรือประตูห้องนั้นเปิดอีกเลย ผมก็คิดเหมือนกันนะว่าห้องนี้มันเป็นอะไรที่อาจจะน่ากลัวหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้อะไรและก็ทำงานไปตามปกติ แต่เมื่อช่วงที่ผมฝึกงานไปได้เดือนกว่าๆแล้ว เวลาผมทำงานหรือทำอะไรก็ตามในออฟฟิสปกติผมก็จะมองไปที่หน้าจอหรือใกล้ๆโต๊ะตลอด แต่วันนั้นผมรู้สึกเมื่อย เลยเอียงเก้าอี้มองเพดาน แล้วผมก็เห็นรอยแปลกๆ คล้ายๆรอยนิ้วมือ หลายรอย อยู่ที่ขอบๆของไฟคือออฟฟิสผมไฟเป็นเหมือนไฟเหลี่ยมๆ ยาวๆ ที่จะมีครอบคล้ายๆหน้าต่าง ไฟพวกนั้นทุกคนน่าจะเคยเห็นกัน ออฟฟิสปกติเขาจะมีสายห้อยไว้เพื่อเปิดปิดไฟดวงนั้นๆ แต่ของออฟฟิสผมไม่มี และผมก็ไม่เคยรู้ว่าสวิตช์ของตรงที่ผมทำงานอยู่ตรงไหน เพราะทุกครั้งที่ผมมาทำงาน พี่กรจะเปิดไว้อยู่แล้วตลอด ซึ่งแน่นอนว่าตอนกลับก็เช่นกัน
ผมก็คิดสงสัยว่าทำไมมันมีรอยนิ้วมือเยอะขนาดนั้นบนหลอดไฟ คนที่เขาเปลี่ยนหลอดไฟเขาจับตรงนั้นกันด้วยเหรอ ตอนที่เดินในโรงบาล ผมก็ไม่เห็นจะเคยเจอไฟดวงไหนที่มีรอยแบบนี้มาก่อนเลย แต่ทำไมชั้นสองตึกนี้ หลอดไฟเกือบทุกดวงมีรอยนิ้วแบบนี้ ทั้งๆที่มันเป็นหลอดไฟที่อยู่สูงมาก และชั้นนี้เกือบทั้งหมดเป็นงานเอกสารดังนั้น บันไดสูงๆนั้นก็ไม่มีในชั้นนี้ อย่างน้อยก็ในแผนกอ่ะนะ ตอนที่ผมคิดไปเรื่อยๆ ผมก็พิงเก้าอี้หลับไป แล้วผมก็จิตนการ หรือฝันถึงมือมากมายที่กำลังงอกขึ้นไป จับหลอดไฟหลอดไฟนั้น เหมือนกับหนังผีน่ากลัวสมัยก่อนที่เป็นห้องที่มีมือเยอะๆงอกออกมาจากกำแพง แต่แล้วผมก็สะดุ้งขึ้น เพราะพี่กรมาสกิดผมและก็แซวผมว่าอย่าหลับสิ เดี๋ยวหัวหน้ามาเห็นแล้วเขาจะว่าเอา ทำให้ผมกลับไปทำงานต่อโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องมือและรอยนิ้วอีกเลย
จนมีวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นเขา วันนั้นเป็นวันเกือบๆก่อนปีใหม่แล้ว ผมจำได้ว่าผมนั่งทำงานให้เสร็จก่อนที่จะมีงานเลี้ยงแผนกในวันต่อไปตอนนั้นเหมือนจะเกือบๆ 6 โมงเย็นแล้วเป็นวันที่พี่กร ไม่ได้มาทำงานด้วย แต่เขาสั่งงานส่วนของผมไว้ ในตอนนั้น ผมก็นั่งทำงานปกติ แต่ทุกคนก็เริ่มๆออกจากออฟฟิสไปเกือบทั้งหมด แต่ความน่าแปลกใจก็คือ ตอนที่เกือบๆ 5 โมงทุกคนออกไปจากออฟฟิสหมดแล้ว ทำไมเขาไม่ปิดไฟกันเลย ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่า มันใกล้จะเป็นวันหยุด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขารีบกลับกันจังแถมไม่ปิดไฟ สงสัยว่าเขาคงจะรอคนที่ออกจากออฟฟิสคนสุดท้าย ให้ปิดทั้งหมด หรือให้คนดูแลสถานที่ปิดไฟให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้กังวลเท่าไร แต่ในตอนที่ผมกำลังนั่งจดจ่อกับงาน ผมได้ยินเสียงเครื่องถ่ายเอกสารของแผนกหลังสุดของออฟฟิสดังขึ้น ด้วยความที่ผมรู้ว่าตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในออฟฟิสแล้ว ผมก็เลยเดินไปดูที่เครื่องถ่ายเอกสารนั้น ปรากฎว่ามันปริ้นออกมาจริง แต่กลับเป็นกระดาษเปล่าที่เหมือนจะมีรอยขอบๆดำๆ เหมือนเวลาเราถ่ายเอกสารที่มันเล็กกว่า A4 ปกติ ด้วยความสงสัยผมก็พยายามเดินหาคนที่อาจจะยังทำงานอยู่ เผื่อว่าเขาเป็นคนปริ้นเอกสารออกมา แต่ผมก็ไม่เจอใครอยู่ในออฟฟิสเลย ตอนนั้นผมบอกได้เลยว่าผมก็ตึงๆแล้ว ความกลัวในอดีตมันเริ่มย้อนกลับมาหาตัวผมตอนโต เพราะตอนเด็กๆผมเป็นคนกลัวผีสุดๆ แล้วไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามอยู่ดีๆผมก็หายกลัวตอนมัถยมปลาย ผมก็รู้สึกว่ามันแปลกดี ที่เหมือนเราไม่ได้หายกลัวไปโดยสิ้นเชิง แต่จริงๆแล้วมันแอบซ่อนอยู่ในความคิดของเรา แต่ตอนนั้นผมคิดไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอกครับ ผมรีบกลับมาที่จอคอม พิมพ์งานให้จบย่อหน้า ผมไม่อยู่แล้วครับ ผมกลัว แต่เหมือนกับว่าสิ่งที่ทำให้ผมกลัวมันจะไม่หยุดแค่นั้น ในขณะที่กำลังรีบพิมพ์ให้จบอยู่นั้น ผมเริ่มได้ยินเสียงคอมเปิด เป็นเป็น window น่ะครับ เวลาที่มันเข้าหน้าปกติมันจะมีเสียงแบบ บริงบริง บริ่งบริ้ง น่ะมันยิ่งกดดันผมหนักขึ้นไปอีก คิดในใจ กูโดนแล้วไง ตอนนั้นผมทำงานเสร็จพอดี ผมสั่ง shutdown คอม ผมหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกตรง reception ที่ผมอยู่แล้วก็กดปิดสวิตช์ที่อยู่ข้างๆทางออกของแผนก แต่มันกลับเปิดไฟห้องข้างในแผนก ซึ่มผมจำได้ว่าเป็นห้องประชุม ผมล่ะไม่เข้าใจการวางสายไฟของที่นี่จริงๆ แต่ผมไม่มีเวลาสนใจแล้ว ผมเดินออกมาผ่านห้องบริหาร ที่ปิดไฟหมด มืดสนิท ผมไม่กล้าที่จะมองเข้าไปเลย ผมกลัวจะเห็นสิ่งแปลกๆที่ผมไม่อยากจะเห็น แต่ว่าก่อนที่ผมจะลงบันไดไป ห้องประตูไม้แปลกๆนั้น ไฟยังเปิดอยู่ผมเห็นแสงสีขาวลอดจากร่องประตูด้านล่างออกมา และผมก็เห็นไฟสีแดงกระพริบๆ ถึงจังหวะนั้นผมก็รีบวิ่งลงบันไดลงมาเลย และผมก็ไม่เคยคิดที่จะทำงานเกินเวลาอีกนับตั้งแต่ตอนนั้นผมจบฝึกงานมาได้เกือบ 2 ปีแล้วผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยครับ พี่ที่ฝึกงานตอนวันสุดท้ายผมก็ไม่กล้าเล่า เพื่อนที่กลับมาจากฝึกงาน และพี่ที่รู้จักกันในคณะที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลผมก็ไม่กล้าเล่าให้เขาฟัง บางทีพี่เขาหรือคนที่ทำงานที่นั่น เขาเคยเจอกันมาหมดแล้ว แต่เขาไม่อยากเล่าให้ใครฟังต่อ หรือพวกเขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ผมก็ไม่กล้ายืนยันได้ แต่อย่างน้อยผมก็ผ่านมาโดยเจออะไรแปลกๆมาแค่นี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ผมไม่ได้เห็นเป็นตัวเป็นร่างสินะครับ 555
ช่วงฝึกงานของผม
ตอนช่วงฝึกงาน ตอนนั้นเป็นช่วงปี 4 เทอม 2 ทางมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่มีวิชาฝึกงาน ซึ่งผมที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีจึงเลือกที่ที่ใกล้ๆมหาลัย
ในขณะที่เพื่อนๆผมไปฝึกทำงานกันที่ต่างจังหวัด ช่วงแรกผมก็รู้สึกไม่มั่นใจในการตัดสินใจว่าเลือกถูกที่หรือเปล่า แต่หลังจากที่ผมพบเจอเรื่องแปลกๆผมก็รู้สึกว่า เป็นประสบการณ์ที่แปลกและน่าตื่นเต้นดี
โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่กลัวผี ผมสามารถเดินออกไปข้างนอกไกลๆในเวลากลางคืนได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่ผี แต่ผมกลัวหมากับโจรหรือพวกคนเมามากกว่า ในตัวเมืองที่ผมฝึกงานก็ค่อนข้างจะมีร้านเหล้า ผับเยอะพอสมควร ผมจึงไม่ค่อยกล้าจะที่จะไปไหนมาไหนเท่าไรงานที่ผมทำหรือฝึกเป็นงานเกี่ยวกับพวกเอกสาร และงานออฟฟิสปกติ แต่ถ้าจะให้พิเศษหน่อยก็คงเพราะว่างานส่วนใหญ่มันไม่ใช่งานของพวกเราเอง แต่เป็นงานเอกสารของโรงพยาบาลซะมากกว่า คือผมมาฝึกงานเอกสารของโรงพยาบาลน่ะ งานของผมส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากก็เป็นงานเอกสารปกติ แต่จุดที่ผมทำงานเป็นตึกที่แยกกันกับโรงพยาบาลนะครับ
ตั้งแต่วันที่ผมเข้ามาฝึกงานผมจะอยู่กับพี่ที่คอยดูแลผมพี่เขาชื่อกร พี่กรเป็นคนใจดีและfriendly สุดๆ เวลาเขาเจอใครเขาก็จะทักทาย เหมือนกับว่าเขาจะรู้จักทุกคน ส่วนตัวผมที่ค่อนข้างจะเป็น introvert เลยไม่ค่อยกล้าไหว้ใคร หรือคุยกับใครมานัก มันจึงเป็นความกดดันในใจเวลาจะไปคุยหรือส่งเอกสารให้ใครแต่พี่กรเขาก็จะให้งานผมประมาณนั้นบ่อยๆ จนตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว แต่ตอนที่ยังฝึกงานอยู่ เหมือนกับหลายๆคนเขาจะไม่ค่อยสนใจผม ซึ่งก็ดีแล้วแต่ก็ยังเป็นความรู้สึกแปลกๆของผมอยู่ดี ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาฝึกงาน ผมก็ได้รู้วิถีชีวิตของคนในออฟฟิสนี้ ก็คือทำงานจันทร์ถึงศุกร์ หยุดตามวันปกติทำงาน 8.30 ถึง 16.30 ซึ่งแตกต่างกับทางโรงพยาบาลที่ส่วนมากเข้างาน 8.00 ถึง 16.00 แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไร ตัวผมด้วยความที่เป็นเด็กฝึกงานจึงไม่ค่อยได้ทำงานอะไรมาก และพอถึงเวลา พี่กรก็จะบอกให้กลับได้เลย ด้วยความที่ผมไม่ค่อยรู้สึกสบายใจเวลาออกจากบ้าน หรือไม่ได้อยู่ห้องตัวเองเท่าไรผมจึงจะรีบกลับบ้านทันทีเมื่อถึงเวลา จนหลังๆพี่กรไม่ต้องเรียกแล้ว ถึงเวลาเมื่อไร ผมก็จะกลับบ้านทันที แต่พี่กร ในอีกกรณี เขาเป็นคนที่มาเช้ามากๆ ผมคิดว่า
เขาน่าจะมาตั้งแต่ 7.00 โมงถ้าไม่ใช่ว่ามาก่อนหน้านั้น แล้วเวลากลับเขาก็จะกลับคนสุดท้าย เพราะคนส่วนใหญ่ก็จะตามๆกันออกมาเมื่อถึงเวลา 16.30
แต่พี่กร เขาจะออกจากที่ทำงานตอน 17.30-18.00 ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำอะไร แต่ด้วยความที่พี่กรเขามีงานเยอะ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายหรือเปล่าจนถึงตอนจบฝึก ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นหัวหน้าฝ่ายงานกันแน่ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วล่ะ
ระยะเวลากลางๆช่วงฝึกนั้น ผมก็ได้พบกับเรื่องประหลาดๆอย่างเช่นผมจะเห็นแมงมุม อยู่ในห้องครัวแผนกบ่อยๆ ทั้งๆที่ที่นี้เป็นฝ่ายเอกสารของโรงพยาบาล ซึ่งมีคนทำความสะอาดเดินไปเดินมาบ่อยมากๆ ตัวผมก็ไม่เคยได้เข้าห้องครัวสักครั้ง ด้วยความที่เป็นเด็กฝึกงาน ผมจะชอบไปหาข้าวเที่ยงกินเอง ในร้านที่ไม่ค่อยมีคน ผมจะได้กินข้าวเงียบๆไวๆ แต่ผมก็ได้เคยถูกชวนไปกินข้าวด้วยกันกับพวกคนอื่นๆในแผนก ซึ่งต้องอธิบายก่อนว่า ออฟฟิสที่ผมฝึกงานจะเป็นห้องใหญ่ๆ ที่มีประตูเข้ามาเป็นประชาสัมพันธ์ หรือโต๊ะต้อนรับ ที่ผมกับพี่กรทำงานกัน เหมือนกับเป็นคนที่รับเรื่องทั่วไป ที่เป็นคนที่รับเรื่องก่อนแต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราเราก็จะให้เขาเข้าไปส่งเรื่องในออฟฟิส ที่จะเป็นเหมือนโต๊ะทำงานกั้นๆๆ เป็นกลุ่มๆ แล้วก็มีแผนก 3 แผนกติดกัน แต่มีทางเดินเข้าแบ่งแแผนกกันถ้าออกประตูไป ทางขวาจะเป็นห้องของฝ่ายบริหาร ซึ่งจะเป็นที่ที่คนใหญ่ๆ เขาจะอยู่ในห้องตัวเอง กับออฟฟิสฝ่ายบริหาร ซึ่งผมจะรู้สึกกดดันทุกครั้งที่เข้าไปส่งเอกสารตรงข้ามห้องฝ่ายบริหารเป็น ลิฟท์ 3 ตัว และจะมีบันไดหนีไฟ ที่คนที่นี้ใช้กันเป็นปกติแทนบันได เพราะชั้นที่ผมทำงานก็แค่ชั้นสอง กว่าลิฟจะมาถึงผมก็ขึ้นบันไดถึงชั้นสองแล้วแต่สุดหัวมุมทางเดิน ก็จะมีห้องแปลกๆ ที่เป็นประตูไม้ ประตูเกือบทั้งหมดในตึกจะเป็นประตูกระจก ซึ่งมองทะลุได้ แต่ห้องนี้มันแปลกออกไป ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าห้องนี้เป็นห้องอะไรของใคร ข้างในมีอะไรอยู่ ผมเคยสงสัยและเดินไปจะเปิดประตู แต่มันจะล็อคตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่เคยถามพี่กร เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่สำคัญกับงานของผม ประตูห้องนี้จะมีรอยเปิดประตูข้างล่างประตู ทำให้รู้ได้ว่าประตูนี้มันเปิดแล้วติดพื้นบ่อยๆ มันทำให้ผมคิดว่า เขาน่าจะเปิดปิดกันบ่อยๆเมื่อก่อน เพราะตั้งแต่ผมอยู่มา ผมเคยเห็นคนออกจากประตูคนเดียว เป็นผู้ชายใส่สูตร ดูเป็นคนใหญ่คนโตแต่ผมก็ไม่รู้จักเขาหรอก ผู้ชายคนนั้นถือกระเป๋าถือสี่เหลี่ยมๆสีดำ ออกมาจากห้องด้วย และก็เคยเห็นมันเปิดจากตอนที่ผมออกจากลิฟท์ก่อนที่มันจะปิดลง หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นใครออกมา หรือประตูห้องนั้นเปิดอีกเลย ผมก็คิดเหมือนกันนะว่าห้องนี้มันเป็นอะไรที่อาจจะน่ากลัวหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้อะไรและก็ทำงานไปตามปกติ แต่เมื่อช่วงที่ผมฝึกงานไปได้เดือนกว่าๆแล้ว เวลาผมทำงานหรือทำอะไรก็ตามในออฟฟิสปกติผมก็จะมองไปที่หน้าจอหรือใกล้ๆโต๊ะตลอด แต่วันนั้นผมรู้สึกเมื่อย เลยเอียงเก้าอี้มองเพดาน แล้วผมก็เห็นรอยแปลกๆ คล้ายๆรอยนิ้วมือ หลายรอย อยู่ที่ขอบๆของไฟคือออฟฟิสผมไฟเป็นเหมือนไฟเหลี่ยมๆ ยาวๆ ที่จะมีครอบคล้ายๆหน้าต่าง ไฟพวกนั้นทุกคนน่าจะเคยเห็นกัน ออฟฟิสปกติเขาจะมีสายห้อยไว้เพื่อเปิดปิดไฟดวงนั้นๆ แต่ของออฟฟิสผมไม่มี และผมก็ไม่เคยรู้ว่าสวิตช์ของตรงที่ผมทำงานอยู่ตรงไหน เพราะทุกครั้งที่ผมมาทำงาน พี่กรจะเปิดไว้อยู่แล้วตลอด ซึ่งแน่นอนว่าตอนกลับก็เช่นกัน
ผมก็คิดสงสัยว่าทำไมมันมีรอยนิ้วมือเยอะขนาดนั้นบนหลอดไฟ คนที่เขาเปลี่ยนหลอดไฟเขาจับตรงนั้นกันด้วยเหรอ ตอนที่เดินในโรงบาล ผมก็ไม่เห็นจะเคยเจอไฟดวงไหนที่มีรอยแบบนี้มาก่อนเลย แต่ทำไมชั้นสองตึกนี้ หลอดไฟเกือบทุกดวงมีรอยนิ้วแบบนี้ ทั้งๆที่มันเป็นหลอดไฟที่อยู่สูงมาก และชั้นนี้เกือบทั้งหมดเป็นงานเอกสารดังนั้น บันไดสูงๆนั้นก็ไม่มีในชั้นนี้ อย่างน้อยก็ในแผนกอ่ะนะ ตอนที่ผมคิดไปเรื่อยๆ ผมก็พิงเก้าอี้หลับไป แล้วผมก็จิตนการ หรือฝันถึงมือมากมายที่กำลังงอกขึ้นไป จับหลอดไฟหลอดไฟนั้น เหมือนกับหนังผีน่ากลัวสมัยก่อนที่เป็นห้องที่มีมือเยอะๆงอกออกมาจากกำแพง แต่แล้วผมก็สะดุ้งขึ้น เพราะพี่กรมาสกิดผมและก็แซวผมว่าอย่าหลับสิ เดี๋ยวหัวหน้ามาเห็นแล้วเขาจะว่าเอา ทำให้ผมกลับไปทำงานต่อโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องมือและรอยนิ้วอีกเลย
จนมีวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นเขา วันนั้นเป็นวันเกือบๆก่อนปีใหม่แล้ว ผมจำได้ว่าผมนั่งทำงานให้เสร็จก่อนที่จะมีงานเลี้ยงแผนกในวันต่อไปตอนนั้นเหมือนจะเกือบๆ 6 โมงเย็นแล้วเป็นวันที่พี่กร ไม่ได้มาทำงานด้วย แต่เขาสั่งงานส่วนของผมไว้ ในตอนนั้น ผมก็นั่งทำงานปกติ แต่ทุกคนก็เริ่มๆออกจากออฟฟิสไปเกือบทั้งหมด แต่ความน่าแปลกใจก็คือ ตอนที่เกือบๆ 5 โมงทุกคนออกไปจากออฟฟิสหมดแล้ว ทำไมเขาไม่ปิดไฟกันเลย ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่า มันใกล้จะเป็นวันหยุด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขารีบกลับกันจังแถมไม่ปิดไฟ สงสัยว่าเขาคงจะรอคนที่ออกจากออฟฟิสคนสุดท้าย ให้ปิดทั้งหมด หรือให้คนดูแลสถานที่ปิดไฟให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้กังวลเท่าไร แต่ในตอนที่ผมกำลังนั่งจดจ่อกับงาน ผมได้ยินเสียงเครื่องถ่ายเอกสารของแผนกหลังสุดของออฟฟิสดังขึ้น ด้วยความที่ผมรู้ว่าตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในออฟฟิสแล้ว ผมก็เลยเดินไปดูที่เครื่องถ่ายเอกสารนั้น ปรากฎว่ามันปริ้นออกมาจริง แต่กลับเป็นกระดาษเปล่าที่เหมือนจะมีรอยขอบๆดำๆ เหมือนเวลาเราถ่ายเอกสารที่มันเล็กกว่า A4 ปกติ ด้วยความสงสัยผมก็พยายามเดินหาคนที่อาจจะยังทำงานอยู่ เผื่อว่าเขาเป็นคนปริ้นเอกสารออกมา แต่ผมก็ไม่เจอใครอยู่ในออฟฟิสเลย ตอนนั้นผมบอกได้เลยว่าผมก็ตึงๆแล้ว ความกลัวในอดีตมันเริ่มย้อนกลับมาหาตัวผมตอนโต เพราะตอนเด็กๆผมเป็นคนกลัวผีสุดๆ แล้วไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามอยู่ดีๆผมก็หายกลัวตอนมัถยมปลาย ผมก็รู้สึกว่ามันแปลกดี ที่เหมือนเราไม่ได้หายกลัวไปโดยสิ้นเชิง แต่จริงๆแล้วมันแอบซ่อนอยู่ในความคิดของเรา แต่ตอนนั้นผมคิดไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอกครับ ผมรีบกลับมาที่จอคอม พิมพ์งานให้จบย่อหน้า ผมไม่อยู่แล้วครับ ผมกลัว แต่เหมือนกับว่าสิ่งที่ทำให้ผมกลัวมันจะไม่หยุดแค่นั้น ในขณะที่กำลังรีบพิมพ์ให้จบอยู่นั้น ผมเริ่มได้ยินเสียงคอมเปิด เป็นเป็น window น่ะครับ เวลาที่มันเข้าหน้าปกติมันจะมีเสียงแบบ บริงบริง บริ่งบริ้ง น่ะมันยิ่งกดดันผมหนักขึ้นไปอีก คิดในใจ กูโดนแล้วไง ตอนนั้นผมทำงานเสร็จพอดี ผมสั่ง shutdown คอม ผมหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกตรง reception ที่ผมอยู่แล้วก็กดปิดสวิตช์ที่อยู่ข้างๆทางออกของแผนก แต่มันกลับเปิดไฟห้องข้างในแผนก ซึ่มผมจำได้ว่าเป็นห้องประชุม ผมล่ะไม่เข้าใจการวางสายไฟของที่นี่จริงๆ แต่ผมไม่มีเวลาสนใจแล้ว ผมเดินออกมาผ่านห้องบริหาร ที่ปิดไฟหมด มืดสนิท ผมไม่กล้าที่จะมองเข้าไปเลย ผมกลัวจะเห็นสิ่งแปลกๆที่ผมไม่อยากจะเห็น แต่ว่าก่อนที่ผมจะลงบันไดไป ห้องประตูไม้แปลกๆนั้น ไฟยังเปิดอยู่ผมเห็นแสงสีขาวลอดจากร่องประตูด้านล่างออกมา และผมก็เห็นไฟสีแดงกระพริบๆ ถึงจังหวะนั้นผมก็รีบวิ่งลงบันไดลงมาเลย และผมก็ไม่เคยคิดที่จะทำงานเกินเวลาอีกนับตั้งแต่ตอนนั้นผมจบฝึกงานมาได้เกือบ 2 ปีแล้วผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยครับ พี่ที่ฝึกงานตอนวันสุดท้ายผมก็ไม่กล้าเล่า เพื่อนที่กลับมาจากฝึกงาน และพี่ที่รู้จักกันในคณะที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลผมก็ไม่กล้าเล่าให้เขาฟัง บางทีพี่เขาหรือคนที่ทำงานที่นั่น เขาเคยเจอกันมาหมดแล้ว แต่เขาไม่อยากเล่าให้ใครฟังต่อ หรือพวกเขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ผมก็ไม่กล้ายืนยันได้ แต่อย่างน้อยผมก็ผ่านมาโดยเจออะไรแปลกๆมาแค่นี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ผมไม่ได้เห็นเป็นตัวเป็นร่างสินะครับ 555