JJNY : อังกฤษยึดกัญชา ต้นทางจากไทย│ปิดผับตี 4 สังคมพัง ยาบ้า-เมาเกลื่อน│ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยศก.ไม่ดี│อียูไฟเขียว

อังกฤษยึดกัญชามูลค่า 33 ล. คาสนามบินเบอร์มิงแฮม -เผยผู้ลักลอบ 5 คน ต้นทางมาจากไทย
https://www.isranews.org/article/isranews-news/124672-isranews-Ccannabis.html
 
 
อังกฤษยึดกัญชาที่สนามบินเบอร์มิงแฮม มูลค่ากว่า 33 ล้าน จากผู้ลักลอบ 9 คน พบ 5 คนเดินทางมาจากประเทศไทย ขณะช่วงเวลาแค่ 4-7 ธ.ค. จับกุมผู้ลักลอบขนกัญชาจากไทยแล้วถึง 4 ครั้ง 
 
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์กัญชาซึ่งมีจากประเทศไทยว่าเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวในประเทศอังกฤษระบุว่ามีการออกคําเตือนไปยังผู้โดยสารทุกคนที่สนามบินเบอร์มิงแฮมหลังจากมีกรณีผู้ต้องสงสัยลักลอบขนยาเสพติดถูกจับกุมพร้อมกัญชามูลค่า 750,000 ปอนด์ (33,261,629 บาท)
 
โดยการจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาเพียงสองสัปดาห์หลังจากที่เจ้าหน้าที่สํานักงานอาชญากรรมแห่งชาติ (NCA) ได้ทําการจับกุมผู้ลักลอบขนกัญชาเข้าไปในสนามบินแห่งนี้เป็นจำนวนหลายครั้ง
 
สำหรับการจับกุมครั้งนี้  เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ลักลอบจำนวน 9 คน ซึ่งแต่ละคนพกกัญชาในกระเป๋าเดินทาง 15-40 กิโลกรัม โดย NCA กล่าวว่าจำนวนกัญชาที่ยึดได้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 260 กิโลกรัม และตอนนี้กัญชาเหล่านี้ซึ่งมีมูลค่ารวม 750,000 ปอนด์ก็ถูกยึดโดยกองกำลังเฝ้าระวังชายแดน
พบข้อมูลว่ามีผู้โดยสาร 5 คนได้บินมาจากประเทศไทย ขณะที่อีก 4 คนบินมาจากสหรัฐอเมริกา และทั้ง 9 คนได้ถูกจับกุมในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดประเภท B โดยทั้งหมดได้รับการประกันตัวในระหว่างกระบวนการสอบสวน
 
นายไมค์ โป๊ป ผู้บัญชาการของ NCA ประจำสาขากล่าวว่า หลังจากการจับกุมที่ผิดปกติในระยะเวลาอันสั้น การบังคับใช้กฎหมายจะให้ความสําคัญกับผู้โดยสารที่เข้ามาในเบอร์มิงแฮมในบางเส้นทางอย่างไม่ต้องสงสัย และยกระดับการตรวจสอบให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
 
ในบางกรณีการเดินทางของผู้ลักลอบได้เริ่มต้นจากประเทศที่กัญชาอาจถูกกฎหมาย แต่นั่นจะไม่สร้างความแตกต่างเมื่อคุณมาถึงสหราชอาณาจักร มีแก๊งอาชญากรที่พึ่งพาผู้ให้บริการจัดส่งเพื่อนําสิ่งผิดกฎหมายเข้ามาในสหราชอาณาจักร โดยเป็นรูปแบบธุรกิจ ดังนั้นผู้ที่มีบทบาทดังกล่าวจะต้องเผชิญกับโทษจําคุกที่รุนแรง ซึ่งมันไม่คุ้มกับความเสี่ยงแน่นอน” นายโป๊ปกล่าว
 
โดยเจ้าหน้าที่ NCA กำลังดำเนินการสอบสวนว่าการยึดกัญชาแต่ละครั้งนั้นมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

สำหรับกรณีการจับกุมที่สนามบินเบอร์มิงแฮมในครั้งก่อนหน้าที่เชื่อมโยงมาถึงประเทศไทยมีได้แก่
 
1. เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. มีการยึดกัญชา 40 กก.ได้จากกระเป๋าเดินทางของชายชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยซึ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก่อนต่อเครื่องที่กรุงปารีส

2. เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. มีการยึดกัญชา 24 กก.ได้จากกระเป๋าเดินทางของชายชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในเมืองเบอร์มิงแฮมซึ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก่อนต่อเครื่องที่กรุงปารีส

3. เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. มีการยึดกัญชา 30 กก.ได้จากกระเป๋าเดินทางของชายชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยซึ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก่อนต่อเครื่องที่กรุงปารีส

4. เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. มีการยึดกัญชา 30 กก.ได้จากกระเป๋าเดินทางของชายชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยซึ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก่อนต่อเครื่องที่กรุงปารีส
 
เรียบเรียงจาก:https://www.coventrytelegraph.net/news/uk-world-news/warning-issued-birmingham-airport-passengers-28275886



ดีเดย์ปิดผับตี 4 ศก.พุ่ง สังคมพัง ยาบ้า-เมาเกลื่อน
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_653900/

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

หลังเสี่ยหนู ประกาศขยายเวลาเปิดผับถึงตี04.00น.ใน5จังหวัดท่องเที่ยว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาจากหลายฝ่ายที่มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งงานนี้รัฐบาลต้องวางมาตรการรับมือให้ชัดเจน แต่ก็คงจะมีคำถามตามมาว่าแต่ละมาตรการนั้นจะเชื่อมั่นได้มากน้อยเพียงใด
 
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อ.ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา บอกกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นว่าหลังเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยประกาศขยายเวลาเปิดผับถึงตี04.00น. ใน 5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ,ภูเก็ต,ชลบุรี,เชียงใหม่ และอ.เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่15 ธ.ค.66 เป็นต้นไปนั้น แน่นอนว่ามีทั้งผลดีและผลเสีย จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบมากกว่านี้ เพราะกังวลเรื่องการ ควบคุมการใช้กฎหมายรวมถึงหากประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวในไทยในปัจจุบันนั้น ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ไม่ค่อยมาท่องเที่ยวในไทยแล้ว เพราะด้วยภาพลักษณ์ของประเทศที่ไม่ยอมจัดการปัญหาการค้ามนุษย์ แถมยังมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องอีกด้วยจึงทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขาดความเชื่อมั่น
 
โดยกลุ่มคนที่จะมาใช้บริการสถานบันเทิงก็คงหนีไม่พ้นนักท่องเที่ยวในยามราตรี ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือเรื่องเมาแล้วขับ การเสพยาบ้าที่ล่าสุดเสี่ยหนูบุกผับแล้วพบสารเสพติดเป็นจำนวนมากนั้น เรื่องนี้ก็ยังไม่มี คำตอบให้สังคม เพราะเป็นปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เสียที รวมถึงการปล่อยให้เยาวชนที่อายุไม่ถึงที่กำหนดเข้ามาใช้บริการได้อย่างง่ายดายดังที่เป็นข่าวล่าสุด จึงมองว่าเกิดผลลบมากกว่าผลบวกอย่างแน่นอน เพราะจากการขยายเวลา เปิดผับนั้นจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนแต่อย่างใดซึ่งมองว่านักการเมืองหวังเพียงเปิดงานเพื่อให้ได้พื้นที่เป็นข่าว แล้วมีผลงาน หรือนี่ก็คือการหาเสียงนั่นเอง
 
ทั้งนี้ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่วันที่31 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ก็ยังมีการขยายเวลาเปิดผับจนถึง6โมงเช้าของวันที่1 ม.ค.67อีกด้วย อันนี้ถือว่าเป็นความคิดที่อันตรายเลยทีเดียว เพราะรัฐบาลเห็นแก่ได้ในเรื่องเศรษฐกิจ มากเกินไป อีกทั้งยังมองเงินสำคัญกว่าคนและลดทอนคุณค่าของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้นทางด้านกระทรวงสาธารณสุขควรจะออกมาทำอะไรสักอย่างบ้างแล้วหรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการขยายเวลาเปิดผับนำร่องใน5จังหวัดท่องเที่ยวนั้นจะช่วยให้กระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในภาคบริการ

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66ที่ผ่านมานักวิชาการเปิดข้อมูลผลวิจัยการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 พบว่า เห็นด้วย 33.4% ไม่เห็นด้วย 51.8% ถือว่าไม่เห็นด้วยมากกว่า แต่เมื่อโฟกัสเฉพาะเขตท่อง เที่ยวพิเศษ เช่น ข้าวสาร เชียงใหม่ คนเห็นด้วยเพิ่มขึ้นเป็น 47.1% ส่วนการขยายเวลาเปิดปิดสถานบันเทิงและอนุญาตร้านค้าปลีกให้ขายตลอดเวลา ส่งผลต่อการอยากไปเที่ยวหรือไม่ พบว่า ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ 57.6% มีผลต่อ การตัดสินใจ 11.1% เมื่อถามถึงการนั่งดื่มที่ร้านในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เคยนั่งดื่มตามร้าน 63.6% ส่วนใหญ่ดื่มช่วง 20.0 -23.00 น. 76.5% และ 17.00 – 20.00 น. 43.7% ส่วนมาตรการรองรับต่างๆเป็นเรื่องที่ดี แต่จะทำจริงได้ หรือไม่ มองว่าสาธารณสุขควรออกมาตรการให้ชัดเจน และควรจัดระเบียบสถานบันเทิง ควบคุมอายุนักเที่ยว ตรวจจับยาเสพติด และตรวจตราแหล่งมั่วสุมยามค่ำคืนด้วย
 
อย่างไรก็ตามการขยายเวลาเปิดผับนั้นคงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอน แต่ปัญหาที่จะตามมาก็คงจะมีมากเช่นเดียวกัน ซึ่งก็คงต้องมาจับตาว่ารัฐบาลจะเข้มงวดและมีมาตรการป้องกันปัญหายาบ้าในผับได้อย่างไร…
 


ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยเศรษฐกิจไม่ดี คาดปีหน้าดีมานด์ ซัพพลายบ้านมือ2 พุ่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4331486

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยเศรษฐกิจไม่ดี คาดปีหน้าดีมานด์ ซัพพลายบ้านมือ2 พุ่ง
 
เมอื่วันที่ 14 ธันวาคม นายอลงกต บุญมาสุข เลขาธิการและประธานกรรมการบริหารสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย  เปิดเผยว่า ผลการจัดงาน  มหกรรมสินเชื่อบ้านและบ้านมือสองแห่งปี 2023 ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายทรัพย์มือสองรวมภายในงานกว่า 1,176 ล้านบาท คาดปิดยอดต่อเนื่องจนถึงปลายปีอีกกว่า 500 ล้านบาทแสดงให้เห็นว่าตอบโจทย์ผู้ต้องการทรัพย์มือสองทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและลงทุน ด้วยราคาที่ถูกกว่าบ้านสร้างใหม่ พร้อมด้วยโปรโมชั่นดีๆ ที่ธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ร่วมงานนำเสนอให้กับผู้ที่สนใจ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่สนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์มือสองในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 1% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% จนถึงสิ้นปี 2566 มีส่วนช่วยให้ได้ผู้ซื้อตัดสินใจง่ายขึ้น

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ภาพรวมของการจัดงาน มหกรรมสินเชื่อบ้านและบ้านมือสองแห่งปี  2023ครั้งที่ 20 สะท้อนถึงความต้องการอสังหาริมทรัพย์มือสองยังคงขยายตัวได้ดี สอดคล้องข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่พบว่าสัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่เป็นการโอนจากต้นทางที่เป็นบุคคลธรรมดาทั่วประเทศมีสัดส่วน 60% ของหน่วยโอนทั่วประเทศ
ประมาณ 240,000 หน่วย มูลค่า 300,000 ล้านบาท คาดว่าอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 100,000 หน่วย มูลค่า 200,000 ล้านบาท เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ และราคาบ้านใหม่ที่แพงขึ้นทำให้คนหาซื้อบ้านมือสองเป็นสินค้าทดแทน
 
นายวิชัยกล่าว โดยผู้บริโภคให้ความสนใจคอนโดมิเนียมมากที่สุด36.7%  ในทำเลเขตจตุจักร บริเวณ MRT สถานีลาดพร้าว  และสายสีเหลือง  เป็นคอนโดมิเนียม 1 ห้องนอน  ขนาด 31-50 ตารางเมตร  ราคา 3-5 ล้านบาท รองลงมาบ้านเดี่ยว 35.6% ในเขตสายไหม คลองสามวา และบางขุนเทียน  ส่วนใหญ่ต้องการบ้านเดี่ยว 50-60 ตารางวา 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ 27.7% ทำเลเขตสายไหม  ประเวศ และคลองสามวา  เป็นทาวน์โฮม 16-25 ตารางวา   2 ชั้น    3 ห้องนอน  2 ห้องน้ำ  ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

นายวิชัยกล่าวว่า สำหรับทิศทางการเติบโตของทรัพย์มือสองในประเทศไทยในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตทั้งทางฝั่ง ดีมานด์และซัพพลายจากสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ทางสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์จะมีทรัพย์มือสองเพิ่มปริมาณเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก และในฝั่งของผู้บริโภคจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ต้นทุนในการก่อสร้างบ้านใหม่สูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลที่ต้องการลดลง ทรัพย์มือสองจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด รอการสนับสนุนมาตราการต่างๆของรัฐบาลเพื่อจะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เติบโตเร็วขึ้นในปีหน้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่