บางครั้งคนเราก็แปลกรู้ทั้งรู้ว่าทุกข์ก็ยังทน...
ดิฉันอยากแชร์ประสบการณ์ความรักของตนเองหญิงวัยสามสิบกลางๆ ที่ถึงแม้สมองสั่งการว่าต้องเดินทางต่อไปอย่างไร แต่การเอาชนะความรู้สึกและใจของตนเองนั้น ทำให้ไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้เลย
ว่ากันว่า “หรือฉันไม่ได้รักตัวเองมากพอ”
อันที่จริงจะพูดอย่างนั้นเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเมื่อสำรวจตัวเองในทุกๆ วันแล้ว มันกลับมีความรู้สึกอยากเริ่มต้นใหม่ อยู่ได้โดยไม่เรียกร้อง อาจเป็นความแข็งแกร่งที่ผู้หญิงทุกคนซ่อนมันอยู่ในตัวเอง
ส่วนพื้นฐานของชีวิต ดิฉันเป็นผู้หญิงที่สามารถพึ่งพาหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องให้ครอบครัวมาลำบากดูแลและครอบครัวก็ไม่ได้มีฐานะลำบาก ดิฉันสร้างทุกอย่างมาด้วยตนเอง เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน ชีวิตเหนื่อยบ้างมีปัญหาสภาพแวดล้อมบ้างตามประสาปุถุชนผู้หญิงธรรมดา
ส่วนเรื่องความรัก ดิฉันเป็นคนที่คบใครคบนาน คบกับแฟนคนแรก 9 ปี เราแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย เป็นความรักที่ดีให้แก่กัน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องสองครอบครัวหรือสถานะทางการเงินเลย ต่างคนต่างช่วยกันสร้างช่วยกันเก็บออม เป็นทีมเดียวกันสนับสนุนความรู้สึกและอาชีพของกันและกัน หากแต่ระยะเวลาที่นานประกอบกับการอยู่ด้วยกันโดยไม่มีแผนการแต่งงาน ทำให้ความรู้สึกของความเป็นคู่รักจืดจาง สองปีสุดท้ายของเรา อยู่เหมือนแค่ให้รู้ว่ามีอยู่ จากแฟนกลายเป็นเพื่อน ไม่เกิดการพัฒนาในทุกมิติของชีวิตอีกต่อไป เราก็เลยตกลงลดสถานะ แยกย้าย และกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้นดิฉันก็ได้มีโอกาสคุยกับใครหลายคน จนกระทั่งตัดสินใจคบกับคนปัจจุบัน 4 ปี... เมื่อแรกรักหากแต่ทำอะไรที่ไม่ถูกใจเขาแต่ถูกใจดิฉันเขาก็ทำให้ เราดูเหมือนรักกันดีใน 1 ปีแรก ถึงขั้นตกลงกันว่าจะแต่งงานกันในตอนนั้น แต่ด้วยชีวิตคู่มีปัจจัยหลายอย่างที่มันไม่ง่าย ความชอบ ทัศนคติ อุปนิสัย การเลี้ยงดูที่แตกต่างของคนสองคน หรือการเงิน ทำให้ดิฉันกับเขาทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง และในทุกๆ ครั้ง ดิฉันก็ถูกทิ้งให้เผชิญความเสียใจเพียงลำพังเสมอ
ดิฉันไม่ได้อยากกล่าวโทษว่าใครผิด เพราะในทุกครั้งที่เกิดการไม่เข้าใจกันก็มีส่วนมาจากความไม่เข้าใจในตัวเขาของดิฉันด้วย ดิฉันเป็นคนรักความสะอาด ใจร้อน และบ่นบ้างตามประสาผู้หญิง ซึ่งเขาเป็นคนไม่มีระเบียบและเป็นคนสบายๆ อารมณ์โกรธรุนแรง สูบบุหรี่(ดิฉันไม่เคยห้าม) สูบกัญชา มีปัญหาในการจัดการรายจ่ายของตนเอง และดิฉันรู้ว่าเขาไม่สามารถแบ่งสรรเงินมาสร้างครอบครัวร่วมกันได้ เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว มีสมาชิกในบ้าน มีบ้าน รถ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบดูแล และส่วนดิฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยขอเงินหรือเป็นฝ่ายให้เงินแฟน ดิฉันหารครึ่งทุกกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยเหตุและผลของต่างฝ่าย ก็ทำให้เกิดเรื่องราวเล็กใหญ่ที่กระทบกระทั่ง เป็นปัญหาเรื้อรัง แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
เข้าปีที่ 2 เราทะเลาะกัน เขาหายไป 2 คืนบ้าง 7 คืนบ้าง ต่างคนต่างผลัดกันง้อก็ยังกลับมาคบกัน ซึ่งในการทะเลาะแต่ละครั้ง ต่างคนก็ปล่อยความเป็นตัวเองออกมา แต่ดิฉันไม่เคยพูดทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายร่างกายเขาเลย ซึ่งเขามักจะนำอารมณ์มาเหนือความเข้าใจ หนักสุด เขาประทุอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เดินเข้ามาเตะที่ลำตัว แต่ดิฉันเอาแขนกันไว้ แค่เพียงดิฉันพูดไม่ถูกใจในขณะที่เขาเล่นเกมแพ้มา แขนดิฉันหักใส่เฝือกนานอยู่เดือนกว่า ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจเลิกแน่ ถ้าครอบครัวของเขาไม่ได้มาขอร้องอยู่นานและเขาได้สัญญาต่อหน้าแม่ว่าเขาจะไม่ทำร้ายร่างกายกันอีก
เข้าปีที่ 3 เราทะเลาะกันอยู่ เรื่องที่น่าหนักใจของเรามากที่สุด คือ เรื่องเงิน ถึงแม้เขาจะไม่เคยมาขอความช่วยเหลือ แต่ก็ทำให้คิดอยู่เสมอว่า “เคยใช้ชีวิตไม่มีแฟนอย่างไรในตอนแรก มาในวันนี้มีแฟนก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน”
...พบเจอปัญหาที่ทำงานก็ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ไม่งั้นก็จะถูกบ่นถูกว่า ว่าเป็นเราที่ทำไม่ดีไม่ถูกต้อง และหากดิฉันน้อยใจ ก็ถูกตำหนิต่อว่าว่างี่เง่า กลายเป็นทะเลาะกัน
...หากอยากจะบอกความรู้สึกว่าคิดอย่างไร อยากให้ปรับอย่างไร ก็กลายเป็นว่าถูกต่อว่า ถูกไล่ให้ไปรักกับคนอื่น ดิฉันไม่ได้เป็นคนที่ยอมในทุกๆ เรื่อง ถ้าพูดก็จะได้เถียง เถียงก็ทะเลาะ ก็กลายเป็นคนสองคนทะเลาะด้วยความไม่เข้าใจกัน
ปลายปีที่ 3 หนักเข้า ทะเลาะกันจนครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับรู้ เขาหายไป 6 เดือน... จนครอบครัวของดิฉันไม่เปิดใจรับเขาอีก
ปีที่ 4 เขากลับมาขอคืนดี และดิฉันก็กลับไป
...ทะเลาะกันเขาจะตัดสาย หายไปหลายวัน ทุกครั้งเป็นดิฉันที่โทรไปง้อ เพราะคิดว่าไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด แต่หนึ่งในนั้นตัวดิฉันเองก็ผิดครึ่งหนึ่ง
...ทะเลาะกัน ก็ไล่ให้ไปตาย ถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนกับคนอื่น ใช่ค่ะ ดิฉันก็ง้อเขาอีก
...ทะเลาะกัน ก็กระชาก หยิก เนื้อตัวเขียวมีแต่รอยแผลเป็นจากเล็บ ใช่ค่ะ ดิฉันให้อภัย
มาถึงตอนนี้ทุกคนที่ได้อ่านก็คงอยากปิดหน้าต่างเลิกอ่านไป อยากตำหนิดิฉัน “ผู้หญิงไม่รักตัวเอง” “เจ็บแล้วไม่จำคนหรือค_าย” “ไม่ให้เกียรติตัวเองและครอบครัว” จะหลีกเลี่ยงข้อความที่ทุกคนพูดก็คงไม่ได้
แต่สิ่งที่ดี ความเป็นคนดีของเขาก็มีพอตัว เราทุกคนรู้ดีว่าไม่มีใครดีและชั่วที่สุด สิ่งที่เขาและดิฉันเป็น มันเสมือนเส้นขนานที่ดิฉันพยายามฝืนทำอยู่ฝ่ายเดียวให้มาบรรจบกัน ซึ่งทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ อาจเพราะปัจจัยที่ดิฉันกล่าวมาในตอนต้น ถ้าไม่อย่างนั้นทุกคู่ก็คงได้ครองรักกัน ไม่มีใครเลิกลากัน และดิฉันคนเดียวที่ยังคงพยายามให้ตัวเองประคองความรักอยู่จนถึงเวลานี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอาจไม่มีทางมาบรรจบกันได้
ถามว่าแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คำตอบคือ... มันกำลังเยียวยา เพราะในแต่ละวันของความเสียใจ มันมีความเข้มแข็งที่เพิ่มขึ้นมา มีรอยยิ้มและอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครทางความรู้สึก มันเห็นตัวเองตอนตื่นและก่อนนอนในทุกวัน เห็นรอยยิ้มของครอบครัว เพื่อน และคนที่รักเราที่พวกเขายินดีที่มีเราอยู่
ฉันอาจรักตัวเองน้อยกว่ารักเขาในวันนี้ แต่ฉันไม่เคยตื่นมา โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของตัวเองเลยสักวัน
เป็นกำลังใจให้ผู้หญิงคนนี้บนโลกใบนี้ ให้ได้เจอความสุขและสิ่งที่สวยงามข้างหน้าด้วยนะคะ
ปัญหาความรักในวัยสามสิบกลางๆ
ดิฉันอยากแชร์ประสบการณ์ความรักของตนเองหญิงวัยสามสิบกลางๆ ที่ถึงแม้สมองสั่งการว่าต้องเดินทางต่อไปอย่างไร แต่การเอาชนะความรู้สึกและใจของตนเองนั้น ทำให้ไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้เลย
ว่ากันว่า “หรือฉันไม่ได้รักตัวเองมากพอ”
อันที่จริงจะพูดอย่างนั้นเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเมื่อสำรวจตัวเองในทุกๆ วันแล้ว มันกลับมีความรู้สึกอยากเริ่มต้นใหม่ อยู่ได้โดยไม่เรียกร้อง อาจเป็นความแข็งแกร่งที่ผู้หญิงทุกคนซ่อนมันอยู่ในตัวเอง
ส่วนพื้นฐานของชีวิต ดิฉันเป็นผู้หญิงที่สามารถพึ่งพาหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องให้ครอบครัวมาลำบากดูแลและครอบครัวก็ไม่ได้มีฐานะลำบาก ดิฉันสร้างทุกอย่างมาด้วยตนเอง เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน ชีวิตเหนื่อยบ้างมีปัญหาสภาพแวดล้อมบ้างตามประสาปุถุชนผู้หญิงธรรมดา
ส่วนเรื่องความรัก ดิฉันเป็นคนที่คบใครคบนาน คบกับแฟนคนแรก 9 ปี เราแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย เป็นความรักที่ดีให้แก่กัน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องสองครอบครัวหรือสถานะทางการเงินเลย ต่างคนต่างช่วยกันสร้างช่วยกันเก็บออม เป็นทีมเดียวกันสนับสนุนความรู้สึกและอาชีพของกันและกัน หากแต่ระยะเวลาที่นานประกอบกับการอยู่ด้วยกันโดยไม่มีแผนการแต่งงาน ทำให้ความรู้สึกของความเป็นคู่รักจืดจาง สองปีสุดท้ายของเรา อยู่เหมือนแค่ให้รู้ว่ามีอยู่ จากแฟนกลายเป็นเพื่อน ไม่เกิดการพัฒนาในทุกมิติของชีวิตอีกต่อไป เราก็เลยตกลงลดสถานะ แยกย้าย และกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้นดิฉันก็ได้มีโอกาสคุยกับใครหลายคน จนกระทั่งตัดสินใจคบกับคนปัจจุบัน 4 ปี... เมื่อแรกรักหากแต่ทำอะไรที่ไม่ถูกใจเขาแต่ถูกใจดิฉันเขาก็ทำให้ เราดูเหมือนรักกันดีใน 1 ปีแรก ถึงขั้นตกลงกันว่าจะแต่งงานกันในตอนนั้น แต่ด้วยชีวิตคู่มีปัจจัยหลายอย่างที่มันไม่ง่าย ความชอบ ทัศนคติ อุปนิสัย การเลี้ยงดูที่แตกต่างของคนสองคน หรือการเงิน ทำให้ดิฉันกับเขาทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง และในทุกๆ ครั้ง ดิฉันก็ถูกทิ้งให้เผชิญความเสียใจเพียงลำพังเสมอ
ดิฉันไม่ได้อยากกล่าวโทษว่าใครผิด เพราะในทุกครั้งที่เกิดการไม่เข้าใจกันก็มีส่วนมาจากความไม่เข้าใจในตัวเขาของดิฉันด้วย ดิฉันเป็นคนรักความสะอาด ใจร้อน และบ่นบ้างตามประสาผู้หญิง ซึ่งเขาเป็นคนไม่มีระเบียบและเป็นคนสบายๆ อารมณ์โกรธรุนแรง สูบบุหรี่(ดิฉันไม่เคยห้าม) สูบกัญชา มีปัญหาในการจัดการรายจ่ายของตนเอง และดิฉันรู้ว่าเขาไม่สามารถแบ่งสรรเงินมาสร้างครอบครัวร่วมกันได้ เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว มีสมาชิกในบ้าน มีบ้าน รถ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบดูแล และส่วนดิฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยขอเงินหรือเป็นฝ่ายให้เงินแฟน ดิฉันหารครึ่งทุกกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยเหตุและผลของต่างฝ่าย ก็ทำให้เกิดเรื่องราวเล็กใหญ่ที่กระทบกระทั่ง เป็นปัญหาเรื้อรัง แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
เข้าปีที่ 2 เราทะเลาะกัน เขาหายไป 2 คืนบ้าง 7 คืนบ้าง ต่างคนต่างผลัดกันง้อก็ยังกลับมาคบกัน ซึ่งในการทะเลาะแต่ละครั้ง ต่างคนก็ปล่อยความเป็นตัวเองออกมา แต่ดิฉันไม่เคยพูดทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายร่างกายเขาเลย ซึ่งเขามักจะนำอารมณ์มาเหนือความเข้าใจ หนักสุด เขาประทุอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เดินเข้ามาเตะที่ลำตัว แต่ดิฉันเอาแขนกันไว้ แค่เพียงดิฉันพูดไม่ถูกใจในขณะที่เขาเล่นเกมแพ้มา แขนดิฉันหักใส่เฝือกนานอยู่เดือนกว่า ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจเลิกแน่ ถ้าครอบครัวของเขาไม่ได้มาขอร้องอยู่นานและเขาได้สัญญาต่อหน้าแม่ว่าเขาจะไม่ทำร้ายร่างกายกันอีก
เข้าปีที่ 3 เราทะเลาะกันอยู่ เรื่องที่น่าหนักใจของเรามากที่สุด คือ เรื่องเงิน ถึงแม้เขาจะไม่เคยมาขอความช่วยเหลือ แต่ก็ทำให้คิดอยู่เสมอว่า “เคยใช้ชีวิตไม่มีแฟนอย่างไรในตอนแรก มาในวันนี้มีแฟนก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน”
...พบเจอปัญหาที่ทำงานก็ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ไม่งั้นก็จะถูกบ่นถูกว่า ว่าเป็นเราที่ทำไม่ดีไม่ถูกต้อง และหากดิฉันน้อยใจ ก็ถูกตำหนิต่อว่าว่างี่เง่า กลายเป็นทะเลาะกัน
...หากอยากจะบอกความรู้สึกว่าคิดอย่างไร อยากให้ปรับอย่างไร ก็กลายเป็นว่าถูกต่อว่า ถูกไล่ให้ไปรักกับคนอื่น ดิฉันไม่ได้เป็นคนที่ยอมในทุกๆ เรื่อง ถ้าพูดก็จะได้เถียง เถียงก็ทะเลาะ ก็กลายเป็นคนสองคนทะเลาะด้วยความไม่เข้าใจกัน
ปลายปีที่ 3 หนักเข้า ทะเลาะกันจนครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับรู้ เขาหายไป 6 เดือน... จนครอบครัวของดิฉันไม่เปิดใจรับเขาอีก
ปีที่ 4 เขากลับมาขอคืนดี และดิฉันก็กลับไป
...ทะเลาะกันเขาจะตัดสาย หายไปหลายวัน ทุกครั้งเป็นดิฉันที่โทรไปง้อ เพราะคิดว่าไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด แต่หนึ่งในนั้นตัวดิฉันเองก็ผิดครึ่งหนึ่ง
...ทะเลาะกัน ก็ไล่ให้ไปตาย ถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนกับคนอื่น ใช่ค่ะ ดิฉันก็ง้อเขาอีก
...ทะเลาะกัน ก็กระชาก หยิก เนื้อตัวเขียวมีแต่รอยแผลเป็นจากเล็บ ใช่ค่ะ ดิฉันให้อภัย
มาถึงตอนนี้ทุกคนที่ได้อ่านก็คงอยากปิดหน้าต่างเลิกอ่านไป อยากตำหนิดิฉัน “ผู้หญิงไม่รักตัวเอง” “เจ็บแล้วไม่จำคนหรือค_าย” “ไม่ให้เกียรติตัวเองและครอบครัว” จะหลีกเลี่ยงข้อความที่ทุกคนพูดก็คงไม่ได้
แต่สิ่งที่ดี ความเป็นคนดีของเขาก็มีพอตัว เราทุกคนรู้ดีว่าไม่มีใครดีและชั่วที่สุด สิ่งที่เขาและดิฉันเป็น มันเสมือนเส้นขนานที่ดิฉันพยายามฝืนทำอยู่ฝ่ายเดียวให้มาบรรจบกัน ซึ่งทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ อาจเพราะปัจจัยที่ดิฉันกล่าวมาในตอนต้น ถ้าไม่อย่างนั้นทุกคู่ก็คงได้ครองรักกัน ไม่มีใครเลิกลากัน และดิฉันคนเดียวที่ยังคงพยายามให้ตัวเองประคองความรักอยู่จนถึงเวลานี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอาจไม่มีทางมาบรรจบกันได้
ถามว่าแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คำตอบคือ... มันกำลังเยียวยา เพราะในแต่ละวันของความเสียใจ มันมีความเข้มแข็งที่เพิ่มขึ้นมา มีรอยยิ้มและอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครทางความรู้สึก มันเห็นตัวเองตอนตื่นและก่อนนอนในทุกวัน เห็นรอยยิ้มของครอบครัว เพื่อน และคนที่รักเราที่พวกเขายินดีที่มีเราอยู่
ฉันอาจรักตัวเองน้อยกว่ารักเขาในวันนี้ แต่ฉันไม่เคยตื่นมา โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของตัวเองเลยสักวัน
เป็นกำลังใจให้ผู้หญิงคนนี้บนโลกใบนี้ ให้ได้เจอความสุขและสิ่งที่สวยงามข้างหน้าด้วยนะคะ