ท่ามกลางภาพยนตร์ไทยที่กำลังขาขึ้นอยู่ในขณะนี้ ที่ต่างก็กอบโกยรายได้กันอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาพิสูจน์ว่าวงการภาพยนตร์ของบ้านเรายังมีศักยภาพเพียงพอในการก้าวต่อไปหรือไม่ โดยภาพยนตร์ในตระกูลที่น่าจะเรียกว่าประสบความสำเร็จได้ยากมากที่สุดของบ้านเราอย่าง Sci-fi ก็ดูจะเป็นจังหวะที่ดีในการนำมาฉายในช่วงที่ผู้คนยังครึกครื้นกันอยู่
ไม่มีข้อมูลอะไรเปิดเผยออกมามากนักก่อนหน้าภาพยนตร์จะฉาย มีเพียงแค่ตัวอย่างภาพยนตร์ที่ถูกปล่อยออกมา ซึ่งก็ค่อนข้างจะเดาทิศทางไม่ยากว่าผลลัพธ์สุดท้ายของสลิธอาจจะไม่รุ่งโรจน์เหมือน สัปเหร่อ ธี่หยด หรือกระทั่ง 4Kings 2 เองก็ตาม เพราะถึงแม้จะไม่ได้เผยเนื้อเรื่องออกมามากนัก แต่หลายคนเห็นตรงกันในเรื่องของความไม่สมจริงของตัวละครในฉากแอคชั่น ที่แม้จะกลิ้งตลบ คุกฝุ่น แต่หน้ายังขาวใสเหมือนเพิ่งออกจากสปามากยังไงยังงั้น
ว่ากันตามตรง สลิธ โปรเจกต์ล่า หรือ Slyth The Hunt Saga อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เลวร้ายจนต้องสาปส่งหรือสร้างความหงุดหงิดใจจนอยากจะลุกออกกลางเรื่องแบบนั้น แต่กลับน่าชื่นชมที่ตัวเลขทุนสร้างราวๆ 30 ล้านบาท สามารถเนรมิตให้งานสร้างให้ออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเป็น Sci-fi มันต้องการทุนที่สูงกว่านี้หลายสิบเท่า เพื่อเนรมิตจินตนาการของผู้สร้างออกมาให้ได้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นเมืองที่เต็มไปด้วยไฟนีออนหลากสีแล้วทึกทักเอาว่าเป็นโลกในอนาคตที่ผู้คนอยากใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในผับตลอดเวลา (แสบตาแย่)
หากตัดเรื่องงานสร้างออกไป Slyth ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่มีบทไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก เราไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมผู้กำกับจึงหลงใหลในตัวมอนเตอร์ตนนี้นัก เพราะเอาเข้าจริงๆ สารที่ผู้กำกับอยากจะสื่อ มันสามารถไปในทางอื่นได้อีกหลายทางที่บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นมีสิ่งมีชีวิตครึ่งงูครึ่งจิ้งเหลนกับเมืองไฟนีออนจ้าๆ หากมีการขัดเกลาตัวบทที่ดีกว่านี้ แต่จากตัวภาพยนตร์เองก็พอจะบอกได้แล้วว่า ผู้สร้างมีการจินตนาการถึงโลกในอนาคตได้ไม่มีวิสัยทัศน์เอาซะเลย (แถมตอนจบยังแทบจะกลายเป็นสารคดีรณรงค์เพื่อโลกของเราไปอีก)
ส่วนที่สำคัญนอกจากตัวสลิธแล้ว (อันที่จริงเป็นเนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ) คือ เรื่องของเกม ซึ่งเป็นส่วนที่ตัวอย่างภาพยนตร์งำเอาไว้ไม่ยอมบอก และอาจจะต้องสปอยนิดนึงว่าเหล่าตัวเอกในเรื่องเป็น “นักเล่นเกม” ส่วนความเป็นเกมในเรื่องเป็นแบบไหนนั้นให้ลองนึกถึง Ready Player One (2018) เลย ถอดแบบมาค่อนข้างเป๊ะ แต่กระนั้นก็ยังห่างไกลกันมากในเรื่องของความเนียบในการทำให้เราเชื่อได้ว่า โลกใน Slyth การมีอยู่ของเกมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ (ขอโยนความผิดไปที่ทุนสร้างอีกครั้ง) แม้ว่าตัวละครจะพร่ำบอกว่า โลกทุกวันนี้มันโหดร้ายหันหน้าเล่นเกมดีกว่าทำนองนั้น
การเล่าเรื่องของ Slyth ทำได้พอถูๆ ไถๆ ทุกอย่างแทบจะเป็นสูตรที่เคยใช้มาก่อนในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ จำพวกตัวละครเอกความจำเสื่อม อยู่ในเหตุการณ์สำคัญบางอย่างในอดีต และมีคนมาไล่ล่า แต่เล่าออกมาแบบทื่อๆ ไร้ลูกเล่นเพิ่มเติม เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็วนๆ อยู่กับการเล่นเกมซะเป็นส่วนใหญ่ กว่าจะเข้าเรื่องสลิธจริงๆ ก็ปาจะท้ายเรื่องแล้ว สลิธปริศนาที่โผล่มาก็ไม่ได้ชวนให้อยากรู้ความจริงสักเท่าไหร่ อาการเหมือนนั่งเรือล่องแม่น้ำไปเรื่อยๆ เจออะไรก็ดู เห็นอะไรก็มอง แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในเรื่องราวส่วนไหนแต่อย่างใด
นักแสดงนำทั้งสองอย่าง มุกดา นรินทร์รักษ์ และ ลุค-อิชิกาวะ พลาวเดน ที่ใช้ความสวยหล่อขึ้นกล้อง จนพอจะพยุงเส้นเรื่องความรักโรแมนติกไปได้จนรอด โดยเฉพาะในรายของลุค อิชิกาวะ ที่ไม่รู้ว่าเล่นแข็งจริงหรือไม่ แต่ความแข็งๆ มึนๆ งงๆ กลับเป็นคาแรคเตอร์ที่มีมิติน่าสนใจและน่าเอาใจช่วยเฉยเลย แต่ในส่วนที่เหลืออาจจะเรียกว่าเป็นความ “พัง” ทั้งในแง่ของบทพูดที่ฟังดูติดๆ ขัดๆ และการมีอยู่ของหลายตัวละครที่ดูจะไม่จำเป็นสักเท่าไหร่เลยจริงๆ เพราะไม่ได้ถูกพัฒนาเลย (ใจคอจะไม่ให้บทพวกเขามากกว่านี้เลยหรอ) ไม่รวมความ “หน้าใส” แม้จะผ่านสมรภูมิใดๆ มาก็ตาม (ถือว่ามองข้ามๆ ไปละกัน)
ที่น่าขันที่สุดคงเป็นตัวละคร “พีท” ที่รับบทโดย ปอย-กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช เป็นตัวละครหนึ่งเดียวในเรื่องที่พูดภาษาจีน แล้วน่าเวทนาตรงที่ไม่มีใครในเรื่องพูดจีนกับเขาเลย หลายครั้งที่เขาพูดไปแล้วเพื่อนไม่สนใจ (คงจะฟังไม่ออก) คำถามคือเพื่ออะไร เหตุผลเดียวคงเป็นเพราะต้องการเอาใจตลาดจีน (คาดว่าคงมีไปฉายที่แผ่นดินนู้นบ้างหรือไม่ก็รับทุนจากฝั่งนู้นมา) เพราะสังเกตได้จากฉากหลังหลายๆ ฉากมีตัวอักษรจีนปรากฏอยู่ แต่ถ้าพี่จะไม่ให้เขามีเพื่อนพูดจีนด้วยก็ไม่น่าใส่มาให้ดูรันทดขนาดนี้ เป็นการใส่มาที่แสดงถึงความไร้วิสัยทัศน์ไม่ต่างจากการสร้างโลกในเรื่องเลยจริงๆ
สรุป สลิธ โปรเจกต์ล่า ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่คว้าน้ำเหลวไปด้วยตัวของตัวเอง คงจะไม่สามารถบอกได้ว่า “หนังเรื่องนี้ดี ต้องไปดู สนับสนุนหนังไทย” แต่ก็ยังยอมรับในหัวจิตหัวใจของผู้สร้างที่อยากจะทำอะไรที่ต่างออกไป แต่บางอย่างก็คงต้องรู้จะกำลังของตัวเอง ไม่งั้นก็อาจจะเจ็บตัวฟรี ซึ่งก็อยากจะให้กำลังใจต่อไปกับภาพยนตร์ Sci fi ของไทย
Story Decoder
[รีวิว] สลิธ โปรเจกต์ล่า - โปรเจกต์ที่มีความพยายามดีแต่ยังขาดวิสัยทัศน์ในการเป็นไซไฟที่ดี
ไม่มีข้อมูลอะไรเปิดเผยออกมามากนักก่อนหน้าภาพยนตร์จะฉาย มีเพียงแค่ตัวอย่างภาพยนตร์ที่ถูกปล่อยออกมา ซึ่งก็ค่อนข้างจะเดาทิศทางไม่ยากว่าผลลัพธ์สุดท้ายของสลิธอาจจะไม่รุ่งโรจน์เหมือน สัปเหร่อ ธี่หยด หรือกระทั่ง 4Kings 2 เองก็ตาม เพราะถึงแม้จะไม่ได้เผยเนื้อเรื่องออกมามากนัก แต่หลายคนเห็นตรงกันในเรื่องของความไม่สมจริงของตัวละครในฉากแอคชั่น ที่แม้จะกลิ้งตลบ คุกฝุ่น แต่หน้ายังขาวใสเหมือนเพิ่งออกจากสปามากยังไงยังงั้น
ว่ากันตามตรง สลิธ โปรเจกต์ล่า หรือ Slyth The Hunt Saga อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เลวร้ายจนต้องสาปส่งหรือสร้างความหงุดหงิดใจจนอยากจะลุกออกกลางเรื่องแบบนั้น แต่กลับน่าชื่นชมที่ตัวเลขทุนสร้างราวๆ 30 ล้านบาท สามารถเนรมิตให้งานสร้างให้ออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเป็น Sci-fi มันต้องการทุนที่สูงกว่านี้หลายสิบเท่า เพื่อเนรมิตจินตนาการของผู้สร้างออกมาให้ได้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นเมืองที่เต็มไปด้วยไฟนีออนหลากสีแล้วทึกทักเอาว่าเป็นโลกในอนาคตที่ผู้คนอยากใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในผับตลอดเวลา (แสบตาแย่)
หากตัดเรื่องงานสร้างออกไป Slyth ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่มีบทไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก เราไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมผู้กำกับจึงหลงใหลในตัวมอนเตอร์ตนนี้นัก เพราะเอาเข้าจริงๆ สารที่ผู้กำกับอยากจะสื่อ มันสามารถไปในทางอื่นได้อีกหลายทางที่บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นมีสิ่งมีชีวิตครึ่งงูครึ่งจิ้งเหลนกับเมืองไฟนีออนจ้าๆ หากมีการขัดเกลาตัวบทที่ดีกว่านี้ แต่จากตัวภาพยนตร์เองก็พอจะบอกได้แล้วว่า ผู้สร้างมีการจินตนาการถึงโลกในอนาคตได้ไม่มีวิสัยทัศน์เอาซะเลย (แถมตอนจบยังแทบจะกลายเป็นสารคดีรณรงค์เพื่อโลกของเราไปอีก)
ส่วนที่สำคัญนอกจากตัวสลิธแล้ว (อันที่จริงเป็นเนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ) คือ เรื่องของเกม ซึ่งเป็นส่วนที่ตัวอย่างภาพยนตร์งำเอาไว้ไม่ยอมบอก และอาจจะต้องสปอยนิดนึงว่าเหล่าตัวเอกในเรื่องเป็น “นักเล่นเกม” ส่วนความเป็นเกมในเรื่องเป็นแบบไหนนั้นให้ลองนึกถึง Ready Player One (2018) เลย ถอดแบบมาค่อนข้างเป๊ะ แต่กระนั้นก็ยังห่างไกลกันมากในเรื่องของความเนียบในการทำให้เราเชื่อได้ว่า โลกใน Slyth การมีอยู่ของเกมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ (ขอโยนความผิดไปที่ทุนสร้างอีกครั้ง) แม้ว่าตัวละครจะพร่ำบอกว่า โลกทุกวันนี้มันโหดร้ายหันหน้าเล่นเกมดีกว่าทำนองนั้น
การเล่าเรื่องของ Slyth ทำได้พอถูๆ ไถๆ ทุกอย่างแทบจะเป็นสูตรที่เคยใช้มาก่อนในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ จำพวกตัวละครเอกความจำเสื่อม อยู่ในเหตุการณ์สำคัญบางอย่างในอดีต และมีคนมาไล่ล่า แต่เล่าออกมาแบบทื่อๆ ไร้ลูกเล่นเพิ่มเติม เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็วนๆ อยู่กับการเล่นเกมซะเป็นส่วนใหญ่ กว่าจะเข้าเรื่องสลิธจริงๆ ก็ปาจะท้ายเรื่องแล้ว สลิธปริศนาที่โผล่มาก็ไม่ได้ชวนให้อยากรู้ความจริงสักเท่าไหร่ อาการเหมือนนั่งเรือล่องแม่น้ำไปเรื่อยๆ เจออะไรก็ดู เห็นอะไรก็มอง แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในเรื่องราวส่วนไหนแต่อย่างใด
นักแสดงนำทั้งสองอย่าง มุกดา นรินทร์รักษ์ และ ลุค-อิชิกาวะ พลาวเดน ที่ใช้ความสวยหล่อขึ้นกล้อง จนพอจะพยุงเส้นเรื่องความรักโรแมนติกไปได้จนรอด โดยเฉพาะในรายของลุค อิชิกาวะ ที่ไม่รู้ว่าเล่นแข็งจริงหรือไม่ แต่ความแข็งๆ มึนๆ งงๆ กลับเป็นคาแรคเตอร์ที่มีมิติน่าสนใจและน่าเอาใจช่วยเฉยเลย แต่ในส่วนที่เหลืออาจจะเรียกว่าเป็นความ “พัง” ทั้งในแง่ของบทพูดที่ฟังดูติดๆ ขัดๆ และการมีอยู่ของหลายตัวละครที่ดูจะไม่จำเป็นสักเท่าไหร่เลยจริงๆ เพราะไม่ได้ถูกพัฒนาเลย (ใจคอจะไม่ให้บทพวกเขามากกว่านี้เลยหรอ) ไม่รวมความ “หน้าใส” แม้จะผ่านสมรภูมิใดๆ มาก็ตาม (ถือว่ามองข้ามๆ ไปละกัน)
ที่น่าขันที่สุดคงเป็นตัวละคร “พีท” ที่รับบทโดย ปอย-กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช เป็นตัวละครหนึ่งเดียวในเรื่องที่พูดภาษาจีน แล้วน่าเวทนาตรงที่ไม่มีใครในเรื่องพูดจีนกับเขาเลย หลายครั้งที่เขาพูดไปแล้วเพื่อนไม่สนใจ (คงจะฟังไม่ออก) คำถามคือเพื่ออะไร เหตุผลเดียวคงเป็นเพราะต้องการเอาใจตลาดจีน (คาดว่าคงมีไปฉายที่แผ่นดินนู้นบ้างหรือไม่ก็รับทุนจากฝั่งนู้นมา) เพราะสังเกตได้จากฉากหลังหลายๆ ฉากมีตัวอักษรจีนปรากฏอยู่ แต่ถ้าพี่จะไม่ให้เขามีเพื่อนพูดจีนด้วยก็ไม่น่าใส่มาให้ดูรันทดขนาดนี้ เป็นการใส่มาที่แสดงถึงความไร้วิสัยทัศน์ไม่ต่างจากการสร้างโลกในเรื่องเลยจริงๆ
สรุป สลิธ โปรเจกต์ล่า ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่คว้าน้ำเหลวไปด้วยตัวของตัวเอง คงจะไม่สามารถบอกได้ว่า “หนังเรื่องนี้ดี ต้องไปดู สนับสนุนหนังไทย” แต่ก็ยังยอมรับในหัวจิตหัวใจของผู้สร้างที่อยากจะทำอะไรที่ต่างออกไป แต่บางอย่างก็คงต้องรู้จะกำลังของตัวเอง ไม่งั้นก็อาจจะเจ็บตัวฟรี ซึ่งก็อยากจะให้กำลังใจต่อไปกับภาพยนตร์ Sci fi ของไทย
Story Decoder